ผู้เชี่ยวชาญแนะสามีช่วยทำงานบ้านมากขึ้น อาจมีรางวัลจากภรรยาเป็นบทรักดูดดื่มบ่อยครั้งขึ้น ขณะที่ผลสำรวจอีกชิ้นระบุไฮเทคทำให้คู่ครองไม่ได้ร่วมเรียงเคียงเขนยเหมือนเคย
สก็อต คอลเทรน นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย์, ริเวอร์ไซด์ ผู้ร่วมจัดทำรายงานที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเคาน์ซิล ออฟ คอนเทมโพรารี แฟมิลีส์ (ซีซีเอฟ) เปิดเผยผลศึกษาที่ระบุว่า ผู้ชายอเมริกันสมัยนี้ช่วยทำงานบ้านมากขึ้นสองเท่า และการที่พ่อบ้านมีส่วนร่วมในบ้านมากขึ้น ย่อมทำให้แม่บ้านสุขใจกว่าเดิม
“เมื่อผู้ชายช่วยทำงานบ้านมากขึ้น มุมมองในด้านของความเท่าเทียมและความพึงพอใจในชีวิตแต่งงานของผู้หญิงย่อมดีขึ้น คู่ครองมีปัญหาถกเถียงกันน้อยลง นักบำบัดยังระบุว่ามีความเกี่ยวพันโดยตรงระหว่างการที่ผู้ชายทำงานบ้านมากขึ้นกับความถี่ในการมีเซ็กซ์”
โจชัว โคลแมน นักจิตวิทยาจากซีซีเอฟเสริมว่า การช่วยทำงานบ้านเกี่ยวโยงกับระดับความพึงพอใจในชีวิตคู่ที่เพิ่มขึ้น และบางครั้งอาจหมายถึงการแสดงความรักต่อกันบ่อยครั้งขึ้น
“ผู้หญิงเปิดใจว่ามีความสนใจทางเพศและอารมณ์รักใคร่กับสามีมากขึ้นเมื่อสามีช่วยทำงานบ้าน”
นอกจากจะช่วยทำงานบ้านแล้ว หนุ่มมะกันยังใช้เวลาอยู่กับลูกมากกว่าผู้ชายยุคทศวรรษ 1960 ถึงสามเท่า ขณะที่ผู้หญิงใช้เวลาอยู่กับลูกเพิ่มขึ้นสองเท่า บ่งชี้ว่าหญิง-ชายสมัยนี้กำหนดมาตรฐานการเป็นพ่อเป็นแม่ของตัวเองสูงกว่าในอดีต
กระนั้น โคลแมนตั้งข้อสังเกตว่า การที่หญิง-ชายให้เวลาลูกมากขึ้นอาจส่งผลลบต่อสัมพันธภาพลึกซึ้ง เพราะไปเบียดบังเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
ขณะเดียวกัน รายงานจากโอเรียล ซัลลิแวน ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบน กูเรียนในอิสราเอล ระบุว่าปรากฏการณ์ในการที่ผู้ชายยอมหยิบจับดูแลภาระในบ้านมากขึ้นไม่ได้ปรากฏเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีให้เห็นทั่วโลกแม้แต่ในอิตาลีและสเปน แม้ว่าจะไม่ชัดเจนเท่าหนุ่มเมืองลุงแซมก็ตาม
ข้ามไปที่อังกฤษ มีผลสำรวจออกมาจากสลีป เคาน์ซิล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเครื่องนอน ระบุว่าสามี-ภรรยา 1 ใน 4 นอนแยกห้องกันเป็นประจำ, 9% นอนคนเดียวเป็นปกติ และ 16% แยกเตียงอย่างน้อยเดือนละครั้ง
สาเหตุเนื่องมาจากของเล่นไฮเทคอย่างแบล็กเบอร์รี และเครื่องเล่นเกมมือถือ ที่ทำให้ห้องนอนไม่สงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น
ผลสำรวจคนทุกเพศทุกวัย 1,400 คนในอังกฤษพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 80% ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคอย่างน้อยหนึ่งชิ้นก่อนนอน, 1 ใน 3 โทรศัพท์หรือส่งอีเมลขณะอยู่บนเตียง และ 1 ใน 5 ยอมรับว่าเข้าเว็บเครือข่ายสังคม เช่น เฟซบุ๊ก เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงพกพาก่อนนอน อีก 1 ใน 5 ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือก่อนปิดไฟ
ในทางกลับกัน มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่สวดมนตร์ก่อนหัวถึงหมอน
เจสสิกา อเล็กซานเดอร์ จากสลีป เคาน์ซิล กล่าวว่าการที่สังคมแทรกซึมการดำเนินชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่เว้นวันหยุด และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ แบล็กเบอร์รี และอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคมากมาย ทำให้การพักผ่อนมีความยุ่งยากขึ้น และทำให้คู่ครองตัดสินใจแยกห้องกันนอน
“โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่กล้าขึ้นที่จะบอกคู่ของตนว่าไม่อยากถูกรบกวนจากการดูทีวี การเช็คเฟซบุ๊ก หรือชอปปิ้งออนไลน์จากบนเตียง แต่อยากนอนหลับสบายคนเดียว อย่างไรก็ดี การนอนแยกห้องไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตคู่สั่นคลอนลงแต่อย่างใด”
สก็อต คอลเทรน นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย์, ริเวอร์ไซด์ ผู้ร่วมจัดทำรายงานที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเคาน์ซิล ออฟ คอนเทมโพรารี แฟมิลีส์ (ซีซีเอฟ) เปิดเผยผลศึกษาที่ระบุว่า ผู้ชายอเมริกันสมัยนี้ช่วยทำงานบ้านมากขึ้นสองเท่า และการที่พ่อบ้านมีส่วนร่วมในบ้านมากขึ้น ย่อมทำให้แม่บ้านสุขใจกว่าเดิม
“เมื่อผู้ชายช่วยทำงานบ้านมากขึ้น มุมมองในด้านของความเท่าเทียมและความพึงพอใจในชีวิตแต่งงานของผู้หญิงย่อมดีขึ้น คู่ครองมีปัญหาถกเถียงกันน้อยลง นักบำบัดยังระบุว่ามีความเกี่ยวพันโดยตรงระหว่างการที่ผู้ชายทำงานบ้านมากขึ้นกับความถี่ในการมีเซ็กซ์”
โจชัว โคลแมน นักจิตวิทยาจากซีซีเอฟเสริมว่า การช่วยทำงานบ้านเกี่ยวโยงกับระดับความพึงพอใจในชีวิตคู่ที่เพิ่มขึ้น และบางครั้งอาจหมายถึงการแสดงความรักต่อกันบ่อยครั้งขึ้น
“ผู้หญิงเปิดใจว่ามีความสนใจทางเพศและอารมณ์รักใคร่กับสามีมากขึ้นเมื่อสามีช่วยทำงานบ้าน”
นอกจากจะช่วยทำงานบ้านแล้ว หนุ่มมะกันยังใช้เวลาอยู่กับลูกมากกว่าผู้ชายยุคทศวรรษ 1960 ถึงสามเท่า ขณะที่ผู้หญิงใช้เวลาอยู่กับลูกเพิ่มขึ้นสองเท่า บ่งชี้ว่าหญิง-ชายสมัยนี้กำหนดมาตรฐานการเป็นพ่อเป็นแม่ของตัวเองสูงกว่าในอดีต
กระนั้น โคลแมนตั้งข้อสังเกตว่า การที่หญิง-ชายให้เวลาลูกมากขึ้นอาจส่งผลลบต่อสัมพันธภาพลึกซึ้ง เพราะไปเบียดบังเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
ขณะเดียวกัน รายงานจากโอเรียล ซัลลิแวน ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบน กูเรียนในอิสราเอล ระบุว่าปรากฏการณ์ในการที่ผู้ชายยอมหยิบจับดูแลภาระในบ้านมากขึ้นไม่ได้ปรากฏเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีให้เห็นทั่วโลกแม้แต่ในอิตาลีและสเปน แม้ว่าจะไม่ชัดเจนเท่าหนุ่มเมืองลุงแซมก็ตาม
ข้ามไปที่อังกฤษ มีผลสำรวจออกมาจากสลีป เคาน์ซิล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเครื่องนอน ระบุว่าสามี-ภรรยา 1 ใน 4 นอนแยกห้องกันเป็นประจำ, 9% นอนคนเดียวเป็นปกติ และ 16% แยกเตียงอย่างน้อยเดือนละครั้ง
สาเหตุเนื่องมาจากของเล่นไฮเทคอย่างแบล็กเบอร์รี และเครื่องเล่นเกมมือถือ ที่ทำให้ห้องนอนไม่สงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น
ผลสำรวจคนทุกเพศทุกวัย 1,400 คนในอังกฤษพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 80% ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคอย่างน้อยหนึ่งชิ้นก่อนนอน, 1 ใน 3 โทรศัพท์หรือส่งอีเมลขณะอยู่บนเตียง และ 1 ใน 5 ยอมรับว่าเข้าเว็บเครือข่ายสังคม เช่น เฟซบุ๊ก เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงพกพาก่อนนอน อีก 1 ใน 5 ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือก่อนปิดไฟ
ในทางกลับกัน มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่สวดมนตร์ก่อนหัวถึงหมอน
เจสสิกา อเล็กซานเดอร์ จากสลีป เคาน์ซิล กล่าวว่าการที่สังคมแทรกซึมการดำเนินชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่เว้นวันหยุด และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ แบล็กเบอร์รี และอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคมากมาย ทำให้การพักผ่อนมีความยุ่งยากขึ้น และทำให้คู่ครองตัดสินใจแยกห้องกันนอน
“โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่กล้าขึ้นที่จะบอกคู่ของตนว่าไม่อยากถูกรบกวนจากการดูทีวี การเช็คเฟซบุ๊ก หรือชอปปิ้งออนไลน์จากบนเตียง แต่อยากนอนหลับสบายคนเดียว อย่างไรก็ดี การนอนแยกห้องไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตคู่สั่นคลอนลงแต่อย่างใด”