สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย แบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ของบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) โดยนางสาวฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 51 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 4.41% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 11.16% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้นางสาวฉัตรสุดา ได้แจ้งการได้มาของหุ้น IEC เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 51 จำนวน 2.05% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด รวมเดือนกุมภาพันธ์เก็บหุ้น IEC เพิ่ม 6.46%
ส่วนความเคลื่อนไหวหุ้น IEC วานนี้(5 มี.ค.) ปิดที่ 2.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาท หรือ 15.38% โดยปรับสูงสุดระหว่างวันที่ 2.10 บาท และต่ำสุดที่ 1.85 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 806.57 ล้านบาท โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 5 มี.ค.51 ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 0.83 บาท หรือคิดเป็น 65.35% จากราคา 1.27 บาท
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ราคาหุ้น IEC ปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลง 6 จุด คาดว่าเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่กลับมามีกำไรในปี 50 และหลังจากที่นักลงทุนรายใหญ่ได้เก็บหุ้นเพิ่ม โดยมีแนวรับที่ 1.90 บาท และแนวต้านที่ 2.20 บาท ขณะที่นักลงทุนต้องมีความระมัดระวังในการเข้ามาเก็งกำไร
โดย ผลการดำเนินงานงวดล่าสุดปี 50 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 50 นั้น พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 187.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,169.30 ล้านบาท คิดเป็น 119.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 981.66 ล้านบาท
ส่วนความเคลื่อนไหวหุ้น IEC วานนี้(5 มี.ค.) ปิดที่ 2.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาท หรือ 15.38% โดยปรับสูงสุดระหว่างวันที่ 2.10 บาท และต่ำสุดที่ 1.85 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 806.57 ล้านบาท โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 5 มี.ค.51 ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 0.83 บาท หรือคิดเป็น 65.35% จากราคา 1.27 บาท
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ราคาหุ้น IEC ปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลง 6 จุด คาดว่าเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่กลับมามีกำไรในปี 50 และหลังจากที่นักลงทุนรายใหญ่ได้เก็บหุ้นเพิ่ม โดยมีแนวรับที่ 1.90 บาท และแนวต้านที่ 2.20 บาท ขณะที่นักลงทุนต้องมีความระมัดระวังในการเข้ามาเก็งกำไร
โดย ผลการดำเนินงานงวดล่าสุดปี 50 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 50 นั้น พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 187.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,169.30 ล้านบาท คิดเป็น 119.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 981.66 ล้านบาท