บิ๊กดีทแฮล์มประเมินเศรษฐกิจน่าจะโงหัวขึ้น แต่ยังมึนผู้บริโภคยังไม่จับจ่าย หวั่นเป็นสัญญาณอันตราย มีเงินแต่ไม่ใช้ แนะธุรกิจปรับตัว ต้องมีแผนสำรองใช้แต่ละสถานการณ์ ปีนี้ดีทแฮล์มเข้มงวดรับจำหน่ายสินค้า
นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจยังซบเซาอยู่นี้ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศแล้วก็ตาม คาดว่าในไตรมาสแรกปีนี้ยังคงไม่ดีขึ้นเท่าไร ประชาชนยังไม่มั่นใจในการจับจ่ายมากเท่าใด ยังคงเก็บเงินเอาไว้ พิจารณาการใช้จ่ายเม็ดเงินอย่างรอบคอบ
“ตอนนี้ผู้บริโภคดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมั่นต่อภาคการเมือง เศรษฐกิจมากขึ้นก็ตาม แต่ปัญหาคือ ผู้บริโภคยังไม่ยอมใช้จ่ายเงินเท่าใด ทั้งๆที่กำลังซื้อยังมีอยู่ แต่เก็บเงินไว้ ซึ่งตรงนี้อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับผู้บริโภคอย่างไรได้ ต้องสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นกว่าเดิม”
สำหรับนโยบายที่ภาครัฐบาลประกาศออกมานั้น ถือว่าเป็นภาพใหญ่ คงต้องรอดูกันต่อไป แต่ในแง่ของเศรษฐกิจโดยรวมหลังจากนี้คาดว่าน่าจะดีขึ้น เพราะว่า ชาวนา ชาวไร่ เริ่มมีกำลังมากขึ้น เหตุผลเพราะสินค้าเกษตรราคาดี ทำให้มีรายได้มากขึ้น ภาวะคนตกงานก็น้อยลง ภาคการลงทุนก็มีมากขึ้น ด้านตลาดส่งออกก็ดี
แต่สิ่งที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจต่างๆทั้งการค้า ค้าปลีก คอนซูเมอร์ คงต้องเร่งเครื่องในการทำตลาด ส่งเสริมการขายเต็มที่ เพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่าย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะกระทบกระเทือนภาพรวมมากกว่านี้ เพราะว่าถ้ามีเงินแต่ไม่ใช้ไม่จับจ่ายจะเป็นอันตรายต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมาก
ตลาดค้าปลีกในช่วงปีที่ผ่านมาโดยรวมเติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้นเอง จากปรกติที่จะต้องมีการเติบโตมากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องเติบโตมากกว่าจีดีพี และเมื่อต้นปีนี้ก็พบว่า บรรยากาศการจับจ่ายสินค้าและการขายสินค้าในช่วงตรุษจีนไม่ค่อยคึกคักเท่าใด
“ตอนนี้เอกชนต้องมีแผนสำรองไว้เพื่อใช้ในแต่ละสถานการณ์ เช่น ถ้าหากผู้คนไม่ใช้เงินต้องมีแผนสำรอง หรือถ้าผู้บริโภคมีเงินแล้วจับจ่ายเล็กน้อยก็ต้องใช้อีกแผน แต่ถ้าดีที่สุดใช้เงินมากขึ้นก็งัดแผนตลาดลุยเต็มที่เลย” นายสมบุญกล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของดีทแฮล์มในปีนี้ นายสมบุญกล่าวว่า จะต้องมีการปรับตัวในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการจัดจำหน่าย การตลาด การเข้าถึงผู้บริโภคและความร่วมมือกับพันธมิตรในการที่จะผลักดันสินค้าเข้าตลาดมากขึ้น ซึ่งจะต้องสร้างอัตราการเติบโตให้กับทั้งสินค้าแบรนด์เก่าที่ทำอยู่แล้วกับแบรนด์ใหม่ที่จะมีเข้ามาเสริมอีก และต้องหาทางทำอย่างไรว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้บ้างในภาวะการณ์เช่นนี้
ส่วนเรื่องการบริหารต้นทุนนั้นก็มีความจำเป็นเช่นกัน จะบริหารจัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ การขนส่งซึ่งเกี่ยวกับต้นทุนด้านน้ำมันจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันปีนี้ดีทแฮล์มจะให้ความสำคับกับเรื่องคน บุคลากรอย่างมาก
นายสมบุญกล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯต้องเข้มงวดและรอบคอบในการพิจารณารับจัดจำหน่ายสินค้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีสินค้าใหม่เข้ามาประมาณ 3-4 รายการเท่านั้น ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มีประมาณ 4 รายการ เช่น ปีที่แล้วสินค้าใหม่คือ เครื่องสำอางเฉพาะผู้ชายอาดิดาส แมนดอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของยูทีดี สาหร่ายเถ้าแก่น้อย เป็นต้น ขณะที่ปีที่แล้วก็มีการยกเลิกจำหน่ายสินค้าไปบ้าง 1-2 รายการ
นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจยังซบเซาอยู่นี้ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศแล้วก็ตาม คาดว่าในไตรมาสแรกปีนี้ยังคงไม่ดีขึ้นเท่าไร ประชาชนยังไม่มั่นใจในการจับจ่ายมากเท่าใด ยังคงเก็บเงินเอาไว้ พิจารณาการใช้จ่ายเม็ดเงินอย่างรอบคอบ
“ตอนนี้ผู้บริโภคดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมั่นต่อภาคการเมือง เศรษฐกิจมากขึ้นก็ตาม แต่ปัญหาคือ ผู้บริโภคยังไม่ยอมใช้จ่ายเงินเท่าใด ทั้งๆที่กำลังซื้อยังมีอยู่ แต่เก็บเงินไว้ ซึ่งตรงนี้อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับผู้บริโภคอย่างไรได้ ต้องสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นกว่าเดิม”
สำหรับนโยบายที่ภาครัฐบาลประกาศออกมานั้น ถือว่าเป็นภาพใหญ่ คงต้องรอดูกันต่อไป แต่ในแง่ของเศรษฐกิจโดยรวมหลังจากนี้คาดว่าน่าจะดีขึ้น เพราะว่า ชาวนา ชาวไร่ เริ่มมีกำลังมากขึ้น เหตุผลเพราะสินค้าเกษตรราคาดี ทำให้มีรายได้มากขึ้น ภาวะคนตกงานก็น้อยลง ภาคการลงทุนก็มีมากขึ้น ด้านตลาดส่งออกก็ดี
แต่สิ่งที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจต่างๆทั้งการค้า ค้าปลีก คอนซูเมอร์ คงต้องเร่งเครื่องในการทำตลาด ส่งเสริมการขายเต็มที่ เพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่าย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะกระทบกระเทือนภาพรวมมากกว่านี้ เพราะว่าถ้ามีเงินแต่ไม่ใช้ไม่จับจ่ายจะเป็นอันตรายต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมาก
ตลาดค้าปลีกในช่วงปีที่ผ่านมาโดยรวมเติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้นเอง จากปรกติที่จะต้องมีการเติบโตมากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องเติบโตมากกว่าจีดีพี และเมื่อต้นปีนี้ก็พบว่า บรรยากาศการจับจ่ายสินค้าและการขายสินค้าในช่วงตรุษจีนไม่ค่อยคึกคักเท่าใด
“ตอนนี้เอกชนต้องมีแผนสำรองไว้เพื่อใช้ในแต่ละสถานการณ์ เช่น ถ้าหากผู้คนไม่ใช้เงินต้องมีแผนสำรอง หรือถ้าผู้บริโภคมีเงินแล้วจับจ่ายเล็กน้อยก็ต้องใช้อีกแผน แต่ถ้าดีที่สุดใช้เงินมากขึ้นก็งัดแผนตลาดลุยเต็มที่เลย” นายสมบุญกล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของดีทแฮล์มในปีนี้ นายสมบุญกล่าวว่า จะต้องมีการปรับตัวในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการจัดจำหน่าย การตลาด การเข้าถึงผู้บริโภคและความร่วมมือกับพันธมิตรในการที่จะผลักดันสินค้าเข้าตลาดมากขึ้น ซึ่งจะต้องสร้างอัตราการเติบโตให้กับทั้งสินค้าแบรนด์เก่าที่ทำอยู่แล้วกับแบรนด์ใหม่ที่จะมีเข้ามาเสริมอีก และต้องหาทางทำอย่างไรว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้บ้างในภาวะการณ์เช่นนี้
ส่วนเรื่องการบริหารต้นทุนนั้นก็มีความจำเป็นเช่นกัน จะบริหารจัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ การขนส่งซึ่งเกี่ยวกับต้นทุนด้านน้ำมันจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันปีนี้ดีทแฮล์มจะให้ความสำคับกับเรื่องคน บุคลากรอย่างมาก
นายสมบุญกล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯต้องเข้มงวดและรอบคอบในการพิจารณารับจัดจำหน่ายสินค้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีสินค้าใหม่เข้ามาประมาณ 3-4 รายการเท่านั้น ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มีประมาณ 4 รายการ เช่น ปีที่แล้วสินค้าใหม่คือ เครื่องสำอางเฉพาะผู้ชายอาดิดาส แมนดอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของยูทีดี สาหร่ายเถ้าแก่น้อย เป็นต้น ขณะที่ปีที่แล้วก็มีการยกเลิกจำหน่ายสินค้าไปบ้าง 1-2 รายการ