ผลวิจัยระบุเด็กที่มีพ่อคอยใส่ใจดูแล มีแนวโน้มเกเรน้อยกว่า เรียนดี และปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ดีกว่าเด็กที่พ่อไม่สนใจ หรือมีแม่ดูแลตามลำพัง นักวิจัยยังพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อจะส่งผลยืนนานต่อชีวิตของลูกในสองทศวรรษให้หลัง
ดร.แอนนา ซาร์คาดี จากมหาวิทยาลัยอัปซาลา สวีเดน เผยว่าการวิเคราะห์รายงานที่จัดทำขึ้นตลอดช่วง20 ปีที่ผ่านมา พบว่าโดยรวมแล้วเด็กจะได้ประโยชน์หากได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อหรือผู้ที่มีบทบาทเสมือนเป็นพ่อ โดยเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มต่ำที่จะสูบบุหรี่ ก่อปัญหา อีกทั้งยังเรียนดี สามารถสร้างมิตรภาพกับเพื่อนทั้งสองเพศ
“ข้อดีระยะยาวยังรวมถึงการที่ผู้หญิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ครอง และมีสภาพจิตใจและร่างกายที่แข็งแรงเมื่ออายุ 33 ปี หากเมื่ออายุ 16 ปียังสนิทสนมกับพ่อดีอยู่”
ซาร์คาดีเสริมว่า ผลศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นคุณค่าของพ่อในฐานะต้นแบบตั้งแต่ที่ลูกยังเป็นทารกจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
งานวิจัยชิ้นนี้ที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารแอ็กตา เพเดียทริกา มาจากการวิเคราะห์รายงาน 24 ฉบับที่เผยแพร่ระหว่างปี 1987-2007 และเป็นผลงานจากหลายประเทศตั้งแต่สวีเดนจนถึงอิสราเอล
ในจำนวนนี้ รายงานที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กที่สุดมุ่งเน้นทารก 17 คน ขณะที่รายงานที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุดประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่าง 8,441 คน ตั้งแต่ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจนถึงผู้ใหญ่วัย 33 ปี
นักวิจัยสวีเดนพบว่า เด็กที่มีพ่อแม่พร้อมหน้ามีปัญหาพฤติกรรมน้อยกว่าเด็กที่อยู่กับแม่ตามลำพัง นอกจากนั้น การที่สนิทสนมกับทั้งพ่อและแม่ ยังทำให้เด็กผู้ชายมีปัญหาพฤติกรรมน้อยลง เช่นเดียวกับที่เด็กผู้หญิงมีปัญหาด้านจิตใจน้อยลง ขณะที่ระดับสติปัญญา การรู้จักใช้เหตุผล และทักษะด้านภาษาก้าวหน้ากว่า
“การวิจัยของเราสนับสนุนสมมติฐานดั้งเดิมที่ว่า การมีพ่อแท้ๆ หรือผู้ที่มีบทบาทเสมือนพ่อ เป็นประโยชน์ต่อเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ด้อยโอกาสด้านสังคมและเศรษฐกิจ
“เด็กที่อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาจะมีปัญหาพฤติกรรมน้อยกว่าเด็กที่มีแม่เพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถบอกได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเพราะพ่อเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น หรือแม่สามารถเลี้ยงดูอบรมลูกได้ดีขึ้นเพราะได้รับการสนับสนุนจากสามีกันแน่”
นอร์แมน เวลส์ จากแฟมิลี แอนด์ ยูท คอนเซิร์น องค์กรการกุศลของอังกฤษ ขานรับว่างานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า พ่อไม่ใช่ตัวเลือกพิเศษ แต่พ่อและแม่ต่างเติมเต็มให้กันในบทบาทของการดูแลครอบครัว
ดร.แอนนา ซาร์คาดี จากมหาวิทยาลัยอัปซาลา สวีเดน เผยว่าการวิเคราะห์รายงานที่จัดทำขึ้นตลอดช่วง20 ปีที่ผ่านมา พบว่าโดยรวมแล้วเด็กจะได้ประโยชน์หากได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อหรือผู้ที่มีบทบาทเสมือนเป็นพ่อ โดยเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มต่ำที่จะสูบบุหรี่ ก่อปัญหา อีกทั้งยังเรียนดี สามารถสร้างมิตรภาพกับเพื่อนทั้งสองเพศ
“ข้อดีระยะยาวยังรวมถึงการที่ผู้หญิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ครอง และมีสภาพจิตใจและร่างกายที่แข็งแรงเมื่ออายุ 33 ปี หากเมื่ออายุ 16 ปียังสนิทสนมกับพ่อดีอยู่”
ซาร์คาดีเสริมว่า ผลศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นคุณค่าของพ่อในฐานะต้นแบบตั้งแต่ที่ลูกยังเป็นทารกจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
งานวิจัยชิ้นนี้ที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารแอ็กตา เพเดียทริกา มาจากการวิเคราะห์รายงาน 24 ฉบับที่เผยแพร่ระหว่างปี 1987-2007 และเป็นผลงานจากหลายประเทศตั้งแต่สวีเดนจนถึงอิสราเอล
ในจำนวนนี้ รายงานที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กที่สุดมุ่งเน้นทารก 17 คน ขณะที่รายงานที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุดประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่าง 8,441 คน ตั้งแต่ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจนถึงผู้ใหญ่วัย 33 ปี
นักวิจัยสวีเดนพบว่า เด็กที่มีพ่อแม่พร้อมหน้ามีปัญหาพฤติกรรมน้อยกว่าเด็กที่อยู่กับแม่ตามลำพัง นอกจากนั้น การที่สนิทสนมกับทั้งพ่อและแม่ ยังทำให้เด็กผู้ชายมีปัญหาพฤติกรรมน้อยลง เช่นเดียวกับที่เด็กผู้หญิงมีปัญหาด้านจิตใจน้อยลง ขณะที่ระดับสติปัญญา การรู้จักใช้เหตุผล และทักษะด้านภาษาก้าวหน้ากว่า
“การวิจัยของเราสนับสนุนสมมติฐานดั้งเดิมที่ว่า การมีพ่อแท้ๆ หรือผู้ที่มีบทบาทเสมือนพ่อ เป็นประโยชน์ต่อเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ด้อยโอกาสด้านสังคมและเศรษฐกิจ
“เด็กที่อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาจะมีปัญหาพฤติกรรมน้อยกว่าเด็กที่มีแม่เพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถบอกได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเพราะพ่อเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น หรือแม่สามารถเลี้ยงดูอบรมลูกได้ดีขึ้นเพราะได้รับการสนับสนุนจากสามีกันแน่”
นอร์แมน เวลส์ จากแฟมิลี แอนด์ ยูท คอนเซิร์น องค์กรการกุศลของอังกฤษ ขานรับว่างานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า พ่อไม่ใช่ตัวเลือกพิเศษ แต่พ่อและแม่ต่างเติมเต็มให้กันในบทบาทของการดูแลครอบครัว