รอยเตอร์ - องค์การการท่องเที่ยวโลกเตือนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกอาจหดตัว หากเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยหนักและดึงเศรษฐกิจของประเทศอื่นทรุดตัวตามกันไปด้วย ขณะที่ตะวันออกกลางครองแชมป์ภูมิภาคที่การท่องเที่ยวขยายตัวเร็วสุด
ฟรานเซสโก ฟรานเกียลลี เลขาธิการใหญ่องค์การการท่องเที่ยวโลก(ดับเบิลยูทีโอ) แถลงเมื่อวันอังคาร(29)ว่า ตนไม่คิดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปีนี้จะเติบโตติดลบ เว้นเสียแต่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยอย่างหนัก และดึงให้เศรษฐกิจในประเทศอื่นทรุดตัวตามไปด้วย
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญของดับเบิลยูทีโอได้เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศต่างๆอาจชะลอตัวลงมาอยู่ที่ราว 4% ในปีนี้ ลดลงจาก 6% ในปีที่แล้ว และ 5.4% ในปี2006 สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นจากวิกฤติในภาคสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท "ซับไพรม์"
อย่างไรก็ดี ฟรานเกียลลีเตือนว่า ควรระลึกว่าสหรัฐฯมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพียง 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั่วโลก ถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะมีจีดีพีคิดเป็น1ใน4ของจีดีพีโลก
ทั้งนี้ ดับเบิลยูทีโอคาดการณ์ว่าในปี2006 ยอดรายได้จากการท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่ที่ 733,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.5% ของจีดีพีโลก
ดับเบิลยูทีโอยังแถลงตัวเลขระบุว่าในปีที่แล้ว มีจำนวนเที่ยวเดินทางของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 52,000,000 เที่ยว ทำให้ยอดรวมเที่ยวเดินทางทั่วโลกอยู่ที่ 898,000,000 เที่ยว กว่าครึ่งหนึ่งมีจุดหมายปลายทางที่ยุโรป
ฟรานเกียลลีกล่าวว่า ภายในปี2020 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มายังประเทศต่างๆน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี2005
ดับเบิลยูทีโอกล่าวว่าตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขยายตัวเร็วที่สุดแต่ภูมิภาคที่การท่องเที่ยวสำคัญที่สุดก็คือ เอเชียแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังเอเชียแปซิฟิกนั้น คิดเป็น1ใน5ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 10.2%
จอห์น เคสเตอร์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์แห่งดับเบิลยูทีโอ กล่าวว่าประเทศที่มีการท่องเที่ยวเติบโตเร็วที่สุดเมื่อปีที่แล้ว อาทิเช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม ตุรกี อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย และโมร็อกโก น่าจะยังคงเติบโตเร็วสุดในปีนี้เช่นกัน
เมื่อปีที่แล้ว ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด ตามมาด้วยสเปน ถึงแม้ว่าหากพิจารณาจากรายได้จากการท่องเที่ยวนั้น สหรัฐฯจะครองอันดับหนึ่ง สเปนรั้งอันดับ2
ฟรานเซสโก ฟรานเกียลลี เลขาธิการใหญ่องค์การการท่องเที่ยวโลก(ดับเบิลยูทีโอ) แถลงเมื่อวันอังคาร(29)ว่า ตนไม่คิดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปีนี้จะเติบโตติดลบ เว้นเสียแต่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยอย่างหนัก และดึงให้เศรษฐกิจในประเทศอื่นทรุดตัวตามไปด้วย
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญของดับเบิลยูทีโอได้เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศต่างๆอาจชะลอตัวลงมาอยู่ที่ราว 4% ในปีนี้ ลดลงจาก 6% ในปีที่แล้ว และ 5.4% ในปี2006 สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นจากวิกฤติในภาคสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท "ซับไพรม์"
อย่างไรก็ดี ฟรานเกียลลีเตือนว่า ควรระลึกว่าสหรัฐฯมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพียง 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั่วโลก ถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะมีจีดีพีคิดเป็น1ใน4ของจีดีพีโลก
ทั้งนี้ ดับเบิลยูทีโอคาดการณ์ว่าในปี2006 ยอดรายได้จากการท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่ที่ 733,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.5% ของจีดีพีโลก
ดับเบิลยูทีโอยังแถลงตัวเลขระบุว่าในปีที่แล้ว มีจำนวนเที่ยวเดินทางของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 52,000,000 เที่ยว ทำให้ยอดรวมเที่ยวเดินทางทั่วโลกอยู่ที่ 898,000,000 เที่ยว กว่าครึ่งหนึ่งมีจุดหมายปลายทางที่ยุโรป
ฟรานเกียลลีกล่าวว่า ภายในปี2020 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มายังประเทศต่างๆน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี2005
ดับเบิลยูทีโอกล่าวว่าตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขยายตัวเร็วที่สุดแต่ภูมิภาคที่การท่องเที่ยวสำคัญที่สุดก็คือ เอเชียแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังเอเชียแปซิฟิกนั้น คิดเป็น1ใน5ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 10.2%
จอห์น เคสเตอร์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์แห่งดับเบิลยูทีโอ กล่าวว่าประเทศที่มีการท่องเที่ยวเติบโตเร็วที่สุดเมื่อปีที่แล้ว อาทิเช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม ตุรกี อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย และโมร็อกโก น่าจะยังคงเติบโตเร็วสุดในปีนี้เช่นกัน
เมื่อปีที่แล้ว ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด ตามมาด้วยสเปน ถึงแม้ว่าหากพิจารณาจากรายได้จากการท่องเที่ยวนั้น สหรัฐฯจะครองอันดับหนึ่ง สเปนรั้งอันดับ2