ผู้จัดการรายวัน- "เฮาส์ เฟรนด์ลี่" ผู้ผลิตโครงหลังค้าสำเร็จรูป ประกาศรุกตลาดเต็มตัว เน้นเจาะลูกค้ารับสร้างบ้าน คาดตลาดรับรู้สินค้าส่งผลความต้องการขยายตัวเพิ่ม ตั้งเป้าขาย 60ล้านบาท พร้อมปรับขึ้นราคาขายตามต้นทุน 1-2% หลังราคานำมันปรับขึ้น ชูจุดเด่นประหยัดเวลาลดต้นทุนก่อสร้าง ด้านแลนด์ดี้โฮม เผยผลศึกษาพบลูกค้าหลักเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ แนะออกแบบบ้านที่เน้นพื้นที่ใช้สอยรองรับความต้องการลูกค้า พร้อมเตือนลูกค้าเลือกผู้ประกอบการน่าเชื่อถือลดปัญหาการทิ้งงาน
ด้านนายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการบริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูป แบรนด์" อีซี่ ทรัส" กล่าวถึงแผนการตลาดปี 51ว่า บริษัทจะรุกตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูปเต็มรูปแบบ โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่มียอดขายถึง 80% และลูกค้าโครงการจัดสรร 20% สำหรับกลุ่มลูกค้ารับสร้างบ้านนั้น บริษัทจะขายผ่านกลุ่มลูกค้าในสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเริ่มยอมรับสินค้ามากขึ้นเนื่องจากมีข้อดีในด้านความสะดวกรวดเร็วในการติดตั้ง ช่วยประหยัดระยะเวลาในการก่อสร้างและลดต้นทุนการก่อสร้างได้มาก นอกจากนี้ลูกค้านี้ยังมีความต้องการอีกมาก
สำหรับกลุ่มลูกค้าโครงการจัดสรรนั้นในปีนี้ จะยังไม่เน้นมาก โดยในปี 50 ที่ผ่านมาตั้งเป้ายอดขายที่ 40 ล้านบาท แต่สามารถทำยอดขายได้เพียง 20 ล้านบาท เนื่องจากตลาดยังไม่รับทราบข้อมูล และข้อดีของผลิตภัณฑ์ โดยในปี 50 บริษัทใช้กำลังการผลิตไปเพียง 25% เท่านั้นส่วนในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตประมาณ 50% โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 60 ล้านบาท เพิ่มจากปี 50 ที่ผ่านมา 40 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเริ่มที่ยอมรับสินค้าของบริษัทมากขึ้น ซึ่งล่าสุดผู้ประกอบการรับสร้างบ้านใหม่เข้ามา เช่น รอยัลเฮาส์ แลนด์ดีโฮม ฯลฯ
อย่างไรก็ตามขณะนี้มีลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรที่สั่งซื้อโครงหลังคาสำเร็จรูปแล้ว 30 ยูนิต เป็นผู้ประกอบการในอำเภอหัวหิน นอกจากนี้ในปี 51 บริษัทมีสินค้าใหม่ที่เริ่มได้รับการตอบรับมากขึ้นโดยเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 50 ที่ผ่านมา คือคานรองหลังคาสำเร็จรูปซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างยอดขายให้สูงขึ้นในปีนี้ สำหรับการปรับาคาน้ำมัน ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทมีการปรับราคาขายโครงสร้างหลังคาสำเร็จรูปเพิ่ม 1-2% ซึ่งถือว่าปรับขึ้นไม่มาก แต่สาเหตุที่ต้องปรับราคาขายขึ้นนั้นเป็นการปรับตามต้นทุนที่แท้จริง และบริษัทไม่ต้องการสร้างภาระให้ลูกค้ามากนัก ส่วนในปีนี้แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง ไม่น่าจะกระทบมากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าหลักบริษัทรับสร้างบ้านยังมีอัตราการเติบโตที่ส่วนกระแสตลาดอยู่
ด้านนายพิเชษฐ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2551 ว่า แนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากความชัดเจนทางด้านการเมืองที่กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ต้องติดตามปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นราคาของวัสดุ ซึ่งเป็นผลให้หลายบริษัทในธุรกิจรับสร้างบ้านมีการปรับราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ดีในภาพรวมของเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะมีนโยบายสนันสนุบการลงทุนให้เติบโตขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคเกี่ยวกับรูปแบบบ้านที่ต้องการ ณ ปัจจุบันพบว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจรับสร้างบ้านจะเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้น จึงเห็นว่านอกจากรูปแบบบ้านที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายแล้ว การออกแบบบ้านควรที่จะเน้นตอบสนองความต้องการของคนทุกวัยด้วย โดยต้องเน้นเรื่องพื้นที่ใช้สอย และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
"สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2551 แลนดี้ โฮม มีนโยบายที่จะเน้นความคุ้มค่าของงานก่อสร้างเป็นหลัก ได้แก่ ความคุ้มค่าทางด้านราคา, วัสดุก่อสร้าง, คุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญของงานก่อสร้าง ดังนั้น บริษัทจึงมีนโยบายทางด้านความคุ้มค่า เพื่อที่จะตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกวัย พร้อมทั้งขยายสาขาเพื่อการให้บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่เป้าหมาย ด้วยมาตรฐานบริการเดียวกัน"
ทั้งนี้ ปัญหาที่ลูกค้าได้รับจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่มากในปัจจุบัน ดังนั้นผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านควรใช้ความระมัดระวังในการเลือกผู้ประกอบการรับสร้างบ้านก่อนตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านอยากให้ลูกค้ามีความเข้าใจในธุรกิจรับสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น และรู้จักเลือกใช้บริการกับบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพื่อลดปัญหาการทิ้งงานก่อสร้างที่มีมากในปัจจุบัน
ด้านนายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการบริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูป แบรนด์" อีซี่ ทรัส" กล่าวถึงแผนการตลาดปี 51ว่า บริษัทจะรุกตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูปเต็มรูปแบบ โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่มียอดขายถึง 80% และลูกค้าโครงการจัดสรร 20% สำหรับกลุ่มลูกค้ารับสร้างบ้านนั้น บริษัทจะขายผ่านกลุ่มลูกค้าในสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเริ่มยอมรับสินค้ามากขึ้นเนื่องจากมีข้อดีในด้านความสะดวกรวดเร็วในการติดตั้ง ช่วยประหยัดระยะเวลาในการก่อสร้างและลดต้นทุนการก่อสร้างได้มาก นอกจากนี้ลูกค้านี้ยังมีความต้องการอีกมาก
สำหรับกลุ่มลูกค้าโครงการจัดสรรนั้นในปีนี้ จะยังไม่เน้นมาก โดยในปี 50 ที่ผ่านมาตั้งเป้ายอดขายที่ 40 ล้านบาท แต่สามารถทำยอดขายได้เพียง 20 ล้านบาท เนื่องจากตลาดยังไม่รับทราบข้อมูล และข้อดีของผลิตภัณฑ์ โดยในปี 50 บริษัทใช้กำลังการผลิตไปเพียง 25% เท่านั้นส่วนในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตประมาณ 50% โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 60 ล้านบาท เพิ่มจากปี 50 ที่ผ่านมา 40 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเริ่มที่ยอมรับสินค้าของบริษัทมากขึ้น ซึ่งล่าสุดผู้ประกอบการรับสร้างบ้านใหม่เข้ามา เช่น รอยัลเฮาส์ แลนด์ดีโฮม ฯลฯ
อย่างไรก็ตามขณะนี้มีลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรที่สั่งซื้อโครงหลังคาสำเร็จรูปแล้ว 30 ยูนิต เป็นผู้ประกอบการในอำเภอหัวหิน นอกจากนี้ในปี 51 บริษัทมีสินค้าใหม่ที่เริ่มได้รับการตอบรับมากขึ้นโดยเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 50 ที่ผ่านมา คือคานรองหลังคาสำเร็จรูปซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างยอดขายให้สูงขึ้นในปีนี้ สำหรับการปรับาคาน้ำมัน ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทมีการปรับราคาขายโครงสร้างหลังคาสำเร็จรูปเพิ่ม 1-2% ซึ่งถือว่าปรับขึ้นไม่มาก แต่สาเหตุที่ต้องปรับราคาขายขึ้นนั้นเป็นการปรับตามต้นทุนที่แท้จริง และบริษัทไม่ต้องการสร้างภาระให้ลูกค้ามากนัก ส่วนในปีนี้แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง ไม่น่าจะกระทบมากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าหลักบริษัทรับสร้างบ้านยังมีอัตราการเติบโตที่ส่วนกระแสตลาดอยู่
ด้านนายพิเชษฐ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2551 ว่า แนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากความชัดเจนทางด้านการเมืองที่กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ต้องติดตามปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นราคาของวัสดุ ซึ่งเป็นผลให้หลายบริษัทในธุรกิจรับสร้างบ้านมีการปรับราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ดีในภาพรวมของเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะมีนโยบายสนันสนุบการลงทุนให้เติบโตขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคเกี่ยวกับรูปแบบบ้านที่ต้องการ ณ ปัจจุบันพบว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจรับสร้างบ้านจะเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้น จึงเห็นว่านอกจากรูปแบบบ้านที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายแล้ว การออกแบบบ้านควรที่จะเน้นตอบสนองความต้องการของคนทุกวัยด้วย โดยต้องเน้นเรื่องพื้นที่ใช้สอย และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
"สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2551 แลนดี้ โฮม มีนโยบายที่จะเน้นความคุ้มค่าของงานก่อสร้างเป็นหลัก ได้แก่ ความคุ้มค่าทางด้านราคา, วัสดุก่อสร้าง, คุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญของงานก่อสร้าง ดังนั้น บริษัทจึงมีนโยบายทางด้านความคุ้มค่า เพื่อที่จะตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกวัย พร้อมทั้งขยายสาขาเพื่อการให้บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่เป้าหมาย ด้วยมาตรฐานบริการเดียวกัน"
ทั้งนี้ ปัญหาที่ลูกค้าได้รับจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่มากในปัจจุบัน ดังนั้นผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านควรใช้ความระมัดระวังในการเลือกผู้ประกอบการรับสร้างบ้านก่อนตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านอยากให้ลูกค้ามีความเข้าใจในธุรกิจรับสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น และรู้จักเลือกใช้บริการกับบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพื่อลดปัญหาการทิ้งงานก่อสร้างที่มีมากในปัจจุบัน