" ศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ " นำทีมบอร์ดใหม่ททท. พิจารณาผ่าน “แผนวิสาหกิจ ททท.” เน้นการทำงานที่ชูบทบาทด้านการตลาดอย่างชัดเจน วางเป้าหมายนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยสู่ความเป็นเลิศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลุยฝึกบุคลากรให้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ เพื่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมสร้างฐานข้อมูลลดอุปสรรคด้านความเสี่ยง
วานนี้(16 ม.ค.51) ในการประชุมนัดแรกของคณะกรรม-การบริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(บอร์ด) ที่แต่งตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ ในฐานะประธาน บอร์ด เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551-2554 ตามที่ ททท.ได้นำเสนอต่อที่ประชุม โดยแผนดังกล่าว ททท.ได้จัดทำร่วมกับสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ(สปร.)
โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบในการปฎิบัติงานของ ททท.ให้มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีระบบและเกิดประสิทธิ-ผล รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน โดยรายละเอียดของแผนทั้งหมด เห็นว่าเหมาะสมแล้ว จึงร่วมกันเห็นชอบ เพื่อให้ ททท.นำไปปฎิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเร็ว
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า แผนวิสาหกิจ ททท. จัดทำโดยประเมินจากผลสำรวจความคิดเห็นจากภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว และ คณะผู้บริหารของ ททท. เป็นมุมมองที่ผ่านการวิเคราะห์และประมวลผลมาแล้ว เช่น สภาพแวดล้อม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สภาพแวดล้อมองค์กร และ ความคิดเห็นภาพอนาคต ททท. เป็นต้น โดยผลของการดำเนินงานตามแผนวิสาหกิจดังกล่าว จะต้องนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศทางด้านการตลาด เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งให้แก่ภาคเอกชน และ เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย
สำหรับวิธีการดำเนินงานตามแผน เนื่องจาก การปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2550 ระบุให้ ททท.มีหน้าที่หลัก คือดูแลงานด้านส่งเสริมการตลาด และต้องถ่ายโอนงานที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักทะเบียนมัคคุเทศก์ และ งานด้านพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ให้ไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ดังนั้นแผนวิสาหกิจของ ททท. จึงเน้น 3 โครงการใหญ่ คือ 1.ดำเนินการตลาดการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิดเชิงกลยุทธ์ 2. ส่งเสริมบุคลากรให้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ และ 3.พัฒนาระบบ บริหารจัดการองค์กรให้ได้มาตรฐานสากล
นางพรศิริ กล่าวว่า ททท.จะให้ความสำคัญกับการฝึกบุคลากรให้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ โดยพนักงานของ ททท. จะต้องมีความเป็นนักการตลาด ส่วนพนักงานที่เคยอยู่ในหน่วยงานด้านพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว หรือ มัคคุเทศก์ จะต้องได้รับการฝึกอบรมมากกว่าแผนกอื่น เพื่อให้มี ความรู้ความสามารถพร้อมปฎิบัติงานได้ในทุกสถานการณ์
นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือด้านความเสี่ยง โดยททท.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่รวบรวมปัจจัยลบที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเป็นความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อเป้าหมายของการดำเนินงาน เช่น ภัยธรรมชาติ สถานการณ์การเมือง การก่อการร้าย การแข่งขันจากตลาดคู่แข่ง ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ ความผันผวนของค่าเงิน ราคาน้ำมัน และ ปัญหาการทุจริต ที่จะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร เป็นต้น ซึ่งอนุกรรมการชุดนี้ จะรวบรวมความเสี่ยง และ จัดเป็นกรอบแนวทางการแก้ไข หรือป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงนั้น หรือ เมื่อเกิดแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของภาคเอกชน ที่น่าสนใจ และจำนำไปแก้ไขปรับปรุง คือเรื่องการการเพิ่มความร่วมมือและประสานการทำงานร่วม
ระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงวิธีการทำงานที่ติดความเป็นราชการมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องของระเบียบและวิธีการ ซึ่งจะมีผลกับการสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน
วานนี้(16 ม.ค.51) ในการประชุมนัดแรกของคณะกรรม-การบริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(บอร์ด) ที่แต่งตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ ในฐานะประธาน บอร์ด เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551-2554 ตามที่ ททท.ได้นำเสนอต่อที่ประชุม โดยแผนดังกล่าว ททท.ได้จัดทำร่วมกับสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ(สปร.)
โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบในการปฎิบัติงานของ ททท.ให้มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีระบบและเกิดประสิทธิ-ผล รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน โดยรายละเอียดของแผนทั้งหมด เห็นว่าเหมาะสมแล้ว จึงร่วมกันเห็นชอบ เพื่อให้ ททท.นำไปปฎิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเร็ว
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า แผนวิสาหกิจ ททท. จัดทำโดยประเมินจากผลสำรวจความคิดเห็นจากภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว และ คณะผู้บริหารของ ททท. เป็นมุมมองที่ผ่านการวิเคราะห์และประมวลผลมาแล้ว เช่น สภาพแวดล้อม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สภาพแวดล้อมองค์กร และ ความคิดเห็นภาพอนาคต ททท. เป็นต้น โดยผลของการดำเนินงานตามแผนวิสาหกิจดังกล่าว จะต้องนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศทางด้านการตลาด เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งให้แก่ภาคเอกชน และ เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย
สำหรับวิธีการดำเนินงานตามแผน เนื่องจาก การปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2550 ระบุให้ ททท.มีหน้าที่หลัก คือดูแลงานด้านส่งเสริมการตลาด และต้องถ่ายโอนงานที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักทะเบียนมัคคุเทศก์ และ งานด้านพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ให้ไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ดังนั้นแผนวิสาหกิจของ ททท. จึงเน้น 3 โครงการใหญ่ คือ 1.ดำเนินการตลาดการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิดเชิงกลยุทธ์ 2. ส่งเสริมบุคลากรให้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ และ 3.พัฒนาระบบ บริหารจัดการองค์กรให้ได้มาตรฐานสากล
นางพรศิริ กล่าวว่า ททท.จะให้ความสำคัญกับการฝึกบุคลากรให้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ โดยพนักงานของ ททท. จะต้องมีความเป็นนักการตลาด ส่วนพนักงานที่เคยอยู่ในหน่วยงานด้านพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว หรือ มัคคุเทศก์ จะต้องได้รับการฝึกอบรมมากกว่าแผนกอื่น เพื่อให้มี ความรู้ความสามารถพร้อมปฎิบัติงานได้ในทุกสถานการณ์
นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือด้านความเสี่ยง โดยททท.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่รวบรวมปัจจัยลบที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเป็นความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อเป้าหมายของการดำเนินงาน เช่น ภัยธรรมชาติ สถานการณ์การเมือง การก่อการร้าย การแข่งขันจากตลาดคู่แข่ง ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ ความผันผวนของค่าเงิน ราคาน้ำมัน และ ปัญหาการทุจริต ที่จะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร เป็นต้น ซึ่งอนุกรรมการชุดนี้ จะรวบรวมความเสี่ยง และ จัดเป็นกรอบแนวทางการแก้ไข หรือป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงนั้น หรือ เมื่อเกิดแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของภาคเอกชน ที่น่าสนใจ และจำนำไปแก้ไขปรับปรุง คือเรื่องการการเพิ่มความร่วมมือและประสานการทำงานร่วม
ระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงวิธีการทำงานที่ติดความเป็นราชการมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องของระเบียบและวิธีการ ซึ่งจะมีผลกับการสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน
