ตลาดหุ้นปีหมูทองปรับตัวเพิ่มขึ้น 178 จุด คิดเป็น 26% แม้ต้องเจอมรสุมปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง โดยจุดต่ำสุดในรอบปีที่ 608.14 จุด และสูงสุด 924.70 จุด ขณะที่มูลค่าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนรายใหม่ลดวูบเหลือแค่ 9.6 พันล้านบาท จากปีก่อนกว่า 3.67 หมื่นล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ระบุต้องลุ้นให้ช่วงปีใหม่ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงเหมือนปีก่อน เชื่อหุ้นปีหน้าพุ่งแนวชี้หากยืนต้านสำคัญ 900 จุดได้มีลุ้นทะลุ 1,000 จุดแน่
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยตลอดปี 2550 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแกว่งตัวอย่างผันผวน จากสารพัดปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมือง ปัญหาในการพิจารณาคดีแปรรูปบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป็นต้น
ทั้งนี้ จากดัชนีสิ้นปี 2549 ซึ่งปิดที่ 679.84 จุด ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 178.26 จุด หรือ 26.22% เมื่อเทียบกับดัชนีปิด ณ วันที่ 28 ธ.ค. 50 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มีการซื้อขายซึ่งดัชนีปิดที่ 858.10 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดของดัชนีในช่วงปี 2550 เกิดขึ้นในวันที่ 10 ม.ค.ซึ่งดัชนีปรับตัวลดลงไปแตะระดับ 608.14 จุด โดยวันที่ดัชนีปิดต่ำที่สุดที่ระดับ 616.75 จุด อยู่ในวันที่ 9 ม.ค. ส่วนวันที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบปีอยู่ที่ 924.70 จุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. แต่วันที่ดัชนีปิดสูงสุดอยู่ที่ 915.03 จุดในวันที่ 29 ต.ค. ซึ่งหากพิจารณาจากส่วนตัวของการเคลื่อนไหวของดัชนี ณ ระดับสูงสุดและต่ำสุดพบว่าดัชนีเคลื่อนไหวแตกต่างกันถึง 316.56 จุด
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 17,097.05 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 16,280.91 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ในปีนี้อยู่ที่ 9,602.50 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าการระดมทุนอยู่ที่ 36,786.88 ล้านบาท โดยลดลงถึง 73.90%
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในวันสุดท้ายของปี (28 ธ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวนก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงบ่าย ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 858.10 จุด เพิ่มขึ้น 6.04 จุด หรือ 0.71% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 859.80 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 846.45 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,356.58 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 273.86 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,496.17 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,770.03 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนหลังเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารนางเบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้านของประเทศปากีสถาน จนทำให้สถานการณ์การเมืองในประเทศตึงเครียดมากขึ้น ในขณะที่การรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.ของสหรัฐที่ออกต่ำกว่าคาดโดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ทำให้นักลงทุนยิ่งวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาดหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันเพื่อปิดงบบัญชี หรือ Window Dressing จึงทำให้กดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายบริษัทจึงทำให้บรรยากาศการลงทุนในวันสุดท้ายของปียังคึกคัก
"แรงซื้อเก็งกำไรมาจากประเด็นการเมืองเนื่องจากมีการเตรียมที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้นปี 2551 ซึ่งสนับสนุนให้ดัชนีฯปรับขึ้นได้"นางสาวสุภากร กล่าว
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ กล่าวว่า นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความสงบในประเทศหากในช่วงวันหยุดสิ้นปีไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงขึ้นเหมือนปีที่ผ่านมาโอกาสที่ตลาดหุ้นในช่วงปีหน้าหลังวันหยุดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ค่อนข้างสูง โดยมีโอกาสที่ดัชนีอาจจะปรับตัวไปทดสอบระดับ 860 จุดซึ่งหากสามารถยืนได้แนวต้านต่อไปก็อยู่ที่ 900 จุด
ทั้งนี้ ส่วนตัวยังเชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองยังเป็นประเด็นที่จะส่งผลบวกต่อตลาดทุน โดยเฉพาะหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สามารถดำเนินการได้ แต่ในขณะเดียวกันนักลงทุนต้องติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบด้วย โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต เปิดเผยว่า แนวโน้วภาวะตลาดหุ้นหลังเทศกาลปีใหม่ ประเด็นที่ยังต้องติดตาม คือ สถานการณ์ในปากีสถานว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างไรกับตลาดหุ้นในโลก ประกอบกับต้องประเมินการกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติเพราะตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างในช่วงก่อนหน้านี้ โดยประเมินแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 860 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับเพิ่มเกินกว่าแนวต้านอาจจะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยตลอดปี 2550 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแกว่งตัวอย่างผันผวน จากสารพัดปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมือง ปัญหาในการพิจารณาคดีแปรรูปบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป็นต้น
ทั้งนี้ จากดัชนีสิ้นปี 2549 ซึ่งปิดที่ 679.84 จุด ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 178.26 จุด หรือ 26.22% เมื่อเทียบกับดัชนีปิด ณ วันที่ 28 ธ.ค. 50 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มีการซื้อขายซึ่งดัชนีปิดที่ 858.10 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดของดัชนีในช่วงปี 2550 เกิดขึ้นในวันที่ 10 ม.ค.ซึ่งดัชนีปรับตัวลดลงไปแตะระดับ 608.14 จุด โดยวันที่ดัชนีปิดต่ำที่สุดที่ระดับ 616.75 จุด อยู่ในวันที่ 9 ม.ค. ส่วนวันที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบปีอยู่ที่ 924.70 จุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. แต่วันที่ดัชนีปิดสูงสุดอยู่ที่ 915.03 จุดในวันที่ 29 ต.ค. ซึ่งหากพิจารณาจากส่วนตัวของการเคลื่อนไหวของดัชนี ณ ระดับสูงสุดและต่ำสุดพบว่าดัชนีเคลื่อนไหวแตกต่างกันถึง 316.56 จุด
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 17,097.05 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 16,280.91 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ในปีนี้อยู่ที่ 9,602.50 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าการระดมทุนอยู่ที่ 36,786.88 ล้านบาท โดยลดลงถึง 73.90%
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในวันสุดท้ายของปี (28 ธ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวนก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงบ่าย ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 858.10 จุด เพิ่มขึ้น 6.04 จุด หรือ 0.71% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 859.80 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 846.45 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,356.58 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 273.86 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,496.17 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,770.03 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนหลังเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารนางเบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้านของประเทศปากีสถาน จนทำให้สถานการณ์การเมืองในประเทศตึงเครียดมากขึ้น ในขณะที่การรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.ของสหรัฐที่ออกต่ำกว่าคาดโดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ทำให้นักลงทุนยิ่งวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาดหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันเพื่อปิดงบบัญชี หรือ Window Dressing จึงทำให้กดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายบริษัทจึงทำให้บรรยากาศการลงทุนในวันสุดท้ายของปียังคึกคัก
"แรงซื้อเก็งกำไรมาจากประเด็นการเมืองเนื่องจากมีการเตรียมที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้นปี 2551 ซึ่งสนับสนุนให้ดัชนีฯปรับขึ้นได้"นางสาวสุภากร กล่าว
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ กล่าวว่า นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความสงบในประเทศหากในช่วงวันหยุดสิ้นปีไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงขึ้นเหมือนปีที่ผ่านมาโอกาสที่ตลาดหุ้นในช่วงปีหน้าหลังวันหยุดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ค่อนข้างสูง โดยมีโอกาสที่ดัชนีอาจจะปรับตัวไปทดสอบระดับ 860 จุดซึ่งหากสามารถยืนได้แนวต้านต่อไปก็อยู่ที่ 900 จุด
ทั้งนี้ ส่วนตัวยังเชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองยังเป็นประเด็นที่จะส่งผลบวกต่อตลาดทุน โดยเฉพาะหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สามารถดำเนินการได้ แต่ในขณะเดียวกันนักลงทุนต้องติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบด้วย โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต เปิดเผยว่า แนวโน้วภาวะตลาดหุ้นหลังเทศกาลปีใหม่ ประเด็นที่ยังต้องติดตาม คือ สถานการณ์ในปากีสถานว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างไรกับตลาดหุ้นในโลก ประกอบกับต้องประเมินการกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติเพราะตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างในช่วงก่อนหน้านี้ โดยประเมินแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 860 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับเพิ่มเกินกว่าแนวต้านอาจจะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา