xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศไทยภายใต้ ‘สมัคร สุนทรเวช’

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

ในการแถลงผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันอังคารที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ผลออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคพลังประชาชนที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุดถึง 233 คนอย่างพรรคพลังประชาชนนั้นมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลมากที่สุด

ส่วนตัวผมไม่คิดอะไรมาก ไม่คิดหลายชั้น ไม่คิดซับซ้อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าควรรอดูผลใบเหลือง-ใบแดงจาก กกต. จนถึงปลายเดือนมกราคมปีหน้าเสียก่อน, ขณะที่ก็มีบางฝ่ายยกประเด็นเรื่องคุณสมบัติของคุณสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กรณีเคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาแย้งการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณสมัคร, ขณะที่อีกบางคนก็บอกว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและพรรคประชาธิปัตย์ยังมีหวังเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรคที่มี ส.ส. 240-250 กว่าเสียง โดยโดดเดี่ยวพรรคพลังประชาชนที่มีเสียง 220-230 กว่าเสียง

กระนั้น ณ ตอนนี้ เวลานี้ผมขออนุญาตสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทยนั้นจะมีนามว่า สมัคร สุนทรเวช!

แล้วสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลที่มีสมาชิกพรรคพลังประชาชนเป็นหลัก และ มีคนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวชดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร หลายคนคงสงสัย?

ผมไม่เชื่อว่าเมื่อพรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาลโดยมีสมาชิกของคณะรัฐมนตรีผู้ทรงเกียรติอย่างเช่น นายเฉลิม อยู่บำรุงที่อาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย, นายนพดล ปัทมะที่อาจได้รับจัดสรรให้เป็นรัฐมนตรียุติธรรม, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณที่อาจได้รับโอกาสให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ที่อาจมีวาสนาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้คู่ควรกับตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ จะออกมติคณะรัฐมนตรีที่บุ่มบ่ามเพื่อช่วยนายใหญ่-นายหญิงให้รอดพ้นจากคดีความทั้งมวล รวมทั้งไม่เชื่อว่า ส.ส. 200 กว่าชีวิตของพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลจะเร่งรีบทำการยุบคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) หรือ ผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมอดีตคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 ราย อย่างทันทีทันใดเมื่อเปิดประชุมสภา ...

มิฉะนั้น ผลลัพธ์จากความพยายามตลอดเวลา 1 ปีกว่า จนถึงชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จะถือว่าสูญค่าไปทันที เนื่องจากประชาชนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงพรรคอื่นๆ กว่า 15 ล้านเสียงในการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไปคงจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ยังมินับว่าฝ่ายค้านในสภาที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์และได้รับการติดอาวุธจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จะเป็นฝ่ายค้านที่ทรงพลังที่สุดในรอบหลายปี

ประการต่อมา แม้ว่าคุณสมัครจะออกมาประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “ผมจะเป็นนอมินีให้นายกฯ ทักษิณ” ตั้งแต่ได้รับเลือกจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า นักการเมืองวัย 72 ย่าง 73 ปีบุตรของเสวกเอก พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) กับ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมา 40-50 ปีผู้นี้คงจะเป็นตัวของตัวเองมากพอ เมื่อได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันทรงเกียรติ

มิฉะนั้นคงเป็นเรื่องพิลึกน่าดูหากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจะต้องวิ่งไปยังบ้านจันทร์ส่องหล้า (หรืออาจจะเรือนจำที่ใดสักแห่ง) ต้องยกหูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา หรือ ต้องมีคนสนิทของนายใหญ่-นายหญิง เดินตามติดเป็นเงาตามตัวเพื่อสะกิดบอกว่า “คุณสมัคร! เรื่องนี้ต้องทำอย่างนี้นะ นายใหญ่สั่งมา” หรือ “คุณสมัคร! มติครม.เรื่องนี้นายหญิงขอมาครับ”

ผมไม่เชื่อว่าผู้ใหญ่อย่างคุณสมัคร เมื่อผ่านการเลือกตั้งทั่วไปและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วจะยอมเป็น “หุ่น” ให้คุณทักษิณหรือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร “เชิด” เอาง่ายๆ โดยที่ไม่มีปากมีเสียงใดๆ

ด้วยข้อจำกัดหลายๆ ประการข้างต้น การเดินหน้าฟอกตัวของคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานจากคดีความทั้งหลายที่หลายคดีขึ้นสู่ชั้นศาลแล้วนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องง่ายแต่อย่างใด จนอาจกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นเป็นความสำเร็จเพียงขั้นต้นๆ เท่านั้นของกระบวนการทั้งหมด

การดำเนินการในกระบวนการดังกล่าว หากคุณทักษิณหรือคุณหญิงพจมานก้าวพลาดไปสักนิด ก้าวผิดไปสักหน่อย หรือกระทั่งใช้คนผิด ยกตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีนอมินีอย่างคุณสมัครเกิดแข็งข้อไม่เชื่อฟังหรือไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในวงกว้างทั้งในระดับคณะรัฐมนตรี ภายในพรรคพลังประชาชนและในสภาผู้แทนราษฎร หรือกระทั่งหากกรณีคดีที่ติดตัวนายสมัครไม่ว่าจะกรณีหมิ่นประมาท อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ หรือคดีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิงของ กทม. ศาลเกิดมีคำตัดสินเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังจนทำให้นายสมัครขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ก็จะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้เช่นกัน

...... โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้สูงทั้งสิ้น!

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อคุณสมัครก้าวเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาล นอกจากจะต้องพร้อมรับมือกับศึกภายในทั้งเรื่องของตัวเอง เรื่องภายในพรรค พร้อมรับมือกับศึกภายนอกพรรคจากทางฝ่ายค้าน จากทางวุฒิสภา จากประชาชน จากสื่อมวลชนแล้ว ก็จะต้องเตรียมพร้อมรับความกดดันทางด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่หลายๆ คนทราบกันดีว่าตัวคุณสมัครเองไม่เป็นที่ยอมรับจากบุคลากรในตลาดเงิน-ตลาดทุน รวมถึงชนชั้นกลางเท่าใดนัก ด้วยบุคลิกลักษณะของคุณสมัครเองที่เป็นคนปากร้ายและชอบระรานหาเรื่องกับทุกคนตั้งแต่คนในระดับล่างสุดจนถึงสูงสุด ตั้งแต่สื่อมวลชนจนถึงประธานองคมนตรี

ปมปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่นายใหญ่ผู้คาดหวังว่าตนจะ “เชิด” คุณสมัครได้ง่ายๆ นั้นจะต้องควบคุมและแก้ไขให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิฉะนั้นชัยชนะอันหอมหวานในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ก็จะกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของ “จุดจบ” รวดเร็วกว่าที่ใครๆ คาดคิดเอาไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น