xs
xsm
sm
md
lg

สิ่งที่แลกมากับ “14 ล้านเสียง” ของพรรคประชาธิปัตย์

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

14,084,265 คะแนนคือจำนวนรวมประชาชนทั่วประเทศไทยที่ได้ตัดสินใจเทคะแนนให้กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ในระบบสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดอย่างพรรคพลังประชาชน กลับได้จำนวนรวมของประชาชนที่ลงคะแนนให้กับ ส.ส.ในระบบสัดส่วนของพรรคพลังประชาชน 14,071,799 คะแนน น้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์อย่างเฉียดฉิวไป 12,466 คะแนน

แต่ด้วยระบบการแบ่งเขตเลือกตั้งสำหรับ ส.ส.ในระบบสัดส่วนที่แบ่งออกเป็น 8 เขตย่อย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียง ส.ส.ในระบบสัดส่วน 33 ที่นั่ง พ่ายแพ้พรรคพลังประชาชนที่ได้ 34 ที่นั่ง

แม้คะแนนนิยมในนามพรรคประชาธิปัตย์จะมีพอๆกับพรรคพลังประชาชน แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้พรรคพลังประชาชนมีผลการนับคะแนนเบื้องต้นทำให้ได้จำนวน ส.ส. ถึง 233 คะแนน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ไปจำนวน 165 ที่นั่ง

ผู้สมัคร ส.ส. หลายคนที่มีทั้งระบบอุปถัมภ์, บารมี, อิทธิพล, เงิน เมื่อรวมกับระบบหัวคะแนนในพื้นที่ที่มีความผูกพันกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญทำให้คะแนนส่วนบุคคลของผู้สมัคร ส.ส. ไม่ได้มีความสอดคล้องไปกับวิธีการลงคะแนน ส.ส.ในระบบสัดส่วนของประชาชน

และที่ต้องยอมรับในส่วนสำคัญที่ทำให้จำนวนส.ส.ในระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง กับ ส.ส.ในระบบสัดส่วนมีความไม่สอดคล้องกันก็เพราะมีการตัดคะแนนของผู้สมัครเป็นที่นิยมของประชาชนกระจายอยู่ในหลายพรรค จนทำให้มีผลคะแนนเป็นอย่างที่เห็น

มิพักต้องพูดถึงการซื้อเสียงในระบบ ส.ส. แบ่งเขตเลือกตั้ง มีความรุนแรงและชัดเจนมากกว่าการลงคะแนนให้กับ ส.ส.ระบบสัดส่วน ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะสามารถทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่

สำหรับคนที่เชื่อว่า พรรคพลังประชาชน แปลงสภาพมาจากพรรคไทยรักไทย ก็ต้องถือว่าตกต่ำลงไม่สามารถได้จำนวน ส.ส. เกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎรเหมือนดังเช่นเดิมได้

19 ล้านเสียงที่พรรคไทยรักไทยเคยอวดอ้างมาตลอดระยะเวลาหลายปี ปัจจุบันลดลงไปกว่า 5 ล้านเสียง เหลือประมาณ 14 ล้านเสียง และคงไม่สามารถนำตัวเลขนี้มาอวดอ้างเต็มปากเต็มคำเมื่อพรรคประชาธิปัตย์จากที่เคยมีประชาชนลงคะแนนเสียงไม่เกิน 8 ล้านเสียง ก็กลับมีคนลงคะแนนให้เพิ่มอีกกว่า 6 ล้านเสียงจนมีคะแนนนิยมถึง 14 ล้านเสียงในวันนี้

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา และจำนวนผู้คนที่ลงคะแนนให้กับ ส.ส. ในระบบสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มากเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

พรรคประชาธิปัตย์ แพ้พรรคพลังประชาชน ในพื้นที่กลุ่ม 1, กลุ่ม 2, กลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 พื้นที่ภาคเหนือและอีสาน แต่ถึงอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้คะแนนเป็นที่สองรองจากพรรคพลังประชาชนในทุกกลุ่ม

ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ชนะพรรคพลังประชาชนในพื้นที่กลุ่ม 5, กลุ่ม 6, กลุ่ม 7, และกลุ่ม 8 ในพื้นที่ภาคตะวันออก, ภาคกลาง, กรุงเทพมหานคร และภาคใต้ โดยที่พรรคพลังประชาชนตามมาเป็นอันดับที่ 2 รองจากพรรคประชาธิปัตย์ในทุกกลุ่มเช่นเดียวกัน

การก้าวกระโดดในคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นมาจากคะแนนพื้นฐานเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียงประมาณ 7-8 ล้านเสียงทั่วประเทศ และมีคะแนนที่เพิ่มเติมขึ้นมาแบบก้าวกระโดดอีกกว่า 6 ล้านคะแนนนั้น เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นคะแนนที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทยมาก่อนที่กลับมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้

นั่นหมายความว่า 6 ล้านคะแนนที่เพิ่มขึ้นมาอาจไม่ได้เป็นฐานเสียงมั่นคงหรือเป็นเพราะชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์เสียทั้งหมด แต่เป็นการแสดงพลังที่ลงคะแนนอย่างเป็นยุทธวิธีที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศนอกเหนือจากภาคอีสานและภาคเหนือ เป็นการแสดงความรู้สึกต่อต้านการกลับมาของนอมินีของพรรคไทยรักไทย หรือความไม่ชื่นชอบต่อหัวหน้าพรรคพลังประชาชนนายสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นได้

การลงคะแนนอย่างเป็นระบบและมียุทธวิธีของภาคประชาชนได้เกิดขึ้นมาแล้ว!

การสอดคล้องกับการลงคะแนนเสียง “โนโหวต” 10 ล้านเสียง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 คือแรงมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการรณรงค์จากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกันอย่างเต็มที่

คะแนนที่พร้อมใจกันเทให้กับ พรรคประชาธิปัตย์ ในหลายพื้นที่ก็มีลักษณะสอดคล้องไปกับพื้นที่ที่มีสมาชิกเคเบิลท้องถิ่น และการเติบโตของ ASTV โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง

กว่า 6 ล้านเสียงของประชาธิปัตย์ จึงได้เพิ่มขึ้นมาพร้อมๆกับการต่อสู้ของประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบทักษิณในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา มีแกนนำภาคประชาชนอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและการขยายตัวของ ASTV โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายในการเคลื่อนไหวในครั้งนั้นด้วยการถูกฟ้องร้องคดีความจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกนับหลายสิบคดีโดยที่ไม่เคยคาดหวังและไม่เคยได้รับ ตำแหน่ง หรือผลประโยชน์ ใดๆเป็นการตอบแทน

กว่า 6 ล้านเสียงของประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้นมาเกิดขึ้นได้อย่างจำกัด เพราะรัฐบาลหรือฝ่ายทหารและอำมาตยาธิปไตย เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและกลัวการเติบโตของภาคประชาชน จึงทำให้ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งในภาคเหนือและภาคอีสานได้รับข้อมูลที่รอบด้าน

กว่า 6 ล้านเสียงของประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีวิธี แสดงให้เห็นแล้วว่าประชาชนมีวิจารณญาณในการลงคะแนนอย่างเป็นระบบ และได้ถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อนักการเมืองที่ไม่ใช่ของแท้ และหลงในตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองอย่างไร้หลักการไม่สามารถหลอกประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ได้

กว่า 6 ล้านเสียงของประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาก็เพราะท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่พยายามปรับปรุงนโยบายและท่าทีในพรรคตัวเอง หนักแน่น และเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของประชาชนมากขึ้น

แต่ก็มีประชาชนอีกบางส่วนที่อาจจะเกิดความเสียใจที่ลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองบางพรรคเพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าจะมีหลักการและยึดมั่นในอุดมการณ์ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงก็เห็นแก่ตำแหน่งและผลประโยชน์โดยพยายามอธิบายต่อประชาชนอย่างเอาสีข้างเข้าถู พูดแบบข้างๆคูๆดูถูกประชาชนที่ลงคะแนนเลือกเข้ามาอย่างหน้าตาเฉย

นักการเมืองบางพรรคการเมืองที่ต่อต้านระบอบทักษิณในทุกวิถีทาง ถึงกลับไปประณามระบอบทักษิณว่า โกงชาติ หรือขายชาติ จนประชาชนจำนวนหนึ่งหลงเชื่อลงคะแนนให้ด้วยความสงสารหรือศรัทธาก็สุดแท้แต่ วันนี้ก็มาอ้างว่าต้องไปร่วมมือกับพรรคในระบอบทักษิณเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใจดำไม่เลือกเข้ามาให้มากพอ โดยไม่สนใจคะแนนที่ประชาชนเลือกเข้ามา ทั้งๆ ที่เบื้องหลังกลับไปใช้วิธีการเจรจาเพื่อขอตำแหน่งและเรียกร้องค่าใช้จ่ายกันอย่างไม่อายฟ้าดิน

นักการเมืองประเภทนี้จึงสมควรแล้วที่ประชาชนจะเลือกเข้ามาได้เท่าที่เห็น และไม่หลงกลไปเลือกพรรคการเมืองที่ไร้จิตวิญญาณ หลงในตำแหน่งและผลประโยชน์ส่วนตัว

ยังมีนักการเมืองบางประเภทที่ออกมาจากระบอบทักษิณตั้งพรรคตัวเองขึ้นมา ด่าระบอบทักษิณอย่างสาดเสียเทเสีย จนประชาชนเห็นใจเพราะถูกรังแกจากระบอบทักษิณและตัดสินใจลงคะแนนให้ วันนี้พอหลังเลือกตั้งยังมีหน้าจะไปร่วมกับระบอบทักษิณเพียงเพื่อให้ตัวเองและคนในครอบครัวได้ตำแหน่งและเคลียร์ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยไม่สนใจว่าลูกหลานจะถูกก่นด่าสาปแช่งจากประชาชนมากเท่าใด นับว่าหลังการเลือกตั้งทำให้ได้เห็นสันดานของนักการเมืองเหล่านี้ได้โดยแท้

ยังมีนักการเมืองบางประเภทออกมาต่อสู้โดยอ้างอิงการเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยผู้ริเริ่มในการก่อตั้งพรรคนี้ก็ไม่สามารถทนความเลวร้ายของการพาดพิงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ปัจจุบันก็กำลังถูกท้าทายด้วยผลประโยชน์ในตำแหน่งและเงิน

นักการเมืองบางพรรคที่กระสันอยากเข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่างก็พยายามสรรหาเหตุผลต่างๆแบบดูถูกประชาชนอย่างน่าเกลียด ถึงขนาดหยิบยกอ้างเหตุว่ายอมไปร่วมรัฐบาลเพราะกลัวว่าเพื่อไม่ให้เสียงในการจัดตั้งรัฐบาลปริ่มเกินไปจนไม่มีเสถียรภาพ ทั้งๆที่ไม่ใช่กงการอะไรของพรรคการเมืองนั้นจะต้องทำลายอุดมการณ์และความเชื่อในพรรคการเมืองของตัวเองเพื่อทำให้พรรคการเมืองฝั่งตรงกันข้ามตัวเองมีเสถียรภาพ

การเลือกตั้งในครั้งนี้ประชาชนจึงควรจะต้องตรวจสอบพฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมืองหลังจากที่ลงคะแนนให้ว่าได้ทำตามความต้องการของประชาชนที่เลือกเข้าไปจริงหรือไม่?

และถ้าประชาชนเกิดเสียใจกับการลงคะแนนในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพราะพฤติกรรมของนักการเมืองที่เลือกเข้าไปนั้นเปลี่ยนแปลงไป ก็จงจดจำเก็บบทเรียนในการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ดี และอย่าผิดพลาดซ้ำอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

การเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานเกินรอ!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น