xs
xsm
sm
md
lg

กฎหมายความมั่นคงคือกฎหมายเกสตาโป(อันตรายต่อสิทธิเสรีภาพ)

เผยแพร่:   โดย: นพ.โชติช่วง ชุตินธร นักสิทธิมนุษยชน

รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรนี้ ต้องการให้ประชาชนเสียสิทธิเสรีภาพ เพื่อ “ความมั่นคง” ของประเทศ ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาผู้ก่อการร้าย ฟังดูแล้วเป็นเจตนาที่ดี

แต่ถ้าเราถูกหลอกให้เสียสิทธิและเสรีภาพเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตยและขาดคุณธรรมก็น่าเสียดาย โง่เขลา และอันตรายอย่างยิ่ง เพราะกฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวางและมากเกินไปเหมือนการเซ็นเช็คเปล่า (blank cheque) ที่ไม่ได้ระบุจำนวนเงินเพราะผู้ที่ได้อำนาจมหาศาลไปอาจจะหลงอำนาจแล้วอาจจะกลับมากดขี่เรา (ม. 17 )

เบนจมิน แฟรงกินส์ (Benjamin Franklin) กล่าวว่า “ผู้ใดที่ยอมสละสิทธิเสรีภาพแม้เพียงประการเดียว เพื่อแลกกับความปลอดภัยหรือความมั่นคง เขาผู้นั้นไม่สมควรจะได้รับทั้งเสรีภาพและความมั่นคงปลอดภัย” “He that would give up even one freedom for security, deserves neither freedom nor security”

แต่กฎหมายนี้ไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพเพียงประการเดียวซึ่งแม้เพียงประการเดียวก็เสียไม่ได้ แต่กฎหมายความมั่นคงนี้ทำลายหลักการของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (basic human rights) ของรัฐธรรมนูญใน (หมวด 3) ทั้งหมดหรือเกือบหมด หมวด 3 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เป็นหมวดที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญ ถ้าขาดหมวดนี้รัฐธรรมนูญก็หมดความหมายเหมือนถูกฉีกทิ้ง

กฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่จำกัดเวลาในการใช้ (ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินอย่างถาวร โดยไม่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน) เป็นการปฏิวัติเงียบไม่ต้องใช้รถถังแต่ใช้กฎหมายยึดอำนาจโดยทหารหรือฝ่ายบริหาร กฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่จำกัดเวลาในการกักขังทำให้ถูกขังลืม ไม่มีสิทธิ์ร้องเรียนตามกระบวนการยุติธรรมของศาล (due process) เช่น ไม่จำเป็นต้องมีข้อกล่าวหา ไม่มีการนำตัวผู้ต้องหามาให้ศาลพิจารณาไต่สวนว่าจะให้ปล่อยตัวหรือฝากขังต่อ (habeas corpus) และไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องต่อศาลให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำผิดทำให้กระบวนการในการตรวจสอบหมดไป

กฎหมายความมั่นคงเป็นกฎหมายที่ใช้มาตรการรุนแรง เพียงแค่สงสัยเท่านั้นก็มีอำนาจจับกุมคุมขังแล้ว กฎหมายที่รุนแรง จะแก้ปัญหาความรุนแรงของผู้ก่อการร้ายไม่ได้ แต่ความรุนแรงจะทวีมากขึ้น เป็นการ ราดน้ำมันในกองไฟ ประชาชนผู้สุจริตที่โดนกลั่นแกล้ง หรือถูกลูกหลง และถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพอาจจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายด้วยความจำเป็นหรือด้วยความโกรธแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราลืมบทเรียนในประวัติศาสตร์เราใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์และกฎอัยการศึก (ล้วนเป็นกฎหมายความมั่นคง) ปราบคอมมิวนิสต์ ผลลัพธ์ คือยิ่งปราบยิ่งเยอะ จึงเป็นที่มาของภาษิต “หญ้าคอมมิวนิสต์ ยิ่งปราบยิ่งเยอะ” ตัวอย่างเช่น รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ใช้กฎอัยการศึกและเพิ่ม พ.ร.ก ฉุกเฉิน (พ.ศ. 2548) โดยอ้างว่าจำเป็นเพื่อจะปราบผู้ก่อการร้ายที่ภาคใต้แต่ปรากฎว่ายิ่งปราบผู้ก่อการร้ายก็ยิ่งมากขึ้น นโยบายของนายกฯ ทักษิณ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” มีแต่จะสร้างปัญหาให้รุนแรงยิ่งขึ้น มหาตมะ คานธีกล่าวว่า การใช้นโยบาย ตาต่อตา จะทำให้คนทั้งโลกตาบอด “An eye for an eye will make the whole world blind”

กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่นี้เป็นกฎหมายป้องกัน (preventive law) (ม.3, ม.14, ม.15 ม.17) กฎหมายป้องกันเป็นกฎหมายเผด็จการใช้ในประเทศเผด็จการเท่านั้น เช่น ประเทศเยอรมนี สมัยนาซี ฮิตเลอร์ ประเทศรัสเซีย สตาลิน และประเทศคอมมิวนิสต์หรือประเทศเผด็จการต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลัง 11กันยายน ตึกเวิลด์เทรดถูกเครื่องบินถล่ม รัฐบาลอเมริกันจึงหยิบเอาแนวความคิดของการออกกฎหมายป้องกันอาชญากรรมจากผู้ก่อการร้ายมาใช้ และประเทศไทยก็กำลังจะออกกฎหมายป้องกันเช่นเดียวกันซึ่งเ ป็นแนวคิดใหม่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน กฎหมายแนวนี้อันตรายมากขัดต่อหลักนิติธรรม และขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะกฎหมายมีไว้ลงโทษผู้กระทำผิดแล้วแต่ กฎหมายป้องกันจะลงโทษไว้ก่อนเพราะเพียงแค่สงสัยก็ถูกดำเนินการเอาผิดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมไม่จำเป็นต้องมีหมายศาลก็จับและขังหรือตรวจค้นบ้านได้ ในที่สุดเพื่อจะเค้นข้อมูลโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันเหตุร้ายจึงทรมานผู้ที่ถูกสงสัยเหมือนคุก-ลับของอเมริกาที่ Guantanamo

ถ้ากฎหมายความมั่นคงผ่านและประกาศใช้ฝ่ายบริหาร นายกรัฐมนตีและ ฝ่าย กอ.รมน. (ทหาร) ก็จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะเป็นการยึดอำนาจของฝ่ายตุลาการเพราะไม่ต้องผ่านขบวนการยุติธรรมของศาล (ม. 17, ม.21, ม. 22,) และถ้าสภาอ่อนแอเป็นสภาตรายางอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติก็จะถูกยึด ก็จะขาดการตรวจสอบขาดการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันก็จะกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการ โดยมีกฎหมายรับรองเป็นการปฏิวัติเงียบไม่ต้องใช้รถถังแค่ออกกฎหมายเผด็จการในนามกฎหมายรักษาความมั่นคงก็ยึดอำนาจได้แล้ว

สรุป ถ้ากฎหมายความมั่นคงนี้ผ่านสภา กอ.รมน. จะกลายเป็นเหมือนหน่วยงานเกสตาโป Gestapo ของพวกนาซี บริหารโดย ฮิตเลอร์ทรราชคนใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินแต่ใช้อำนาจเหมือนกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน (ม. 14)

รัฐบุรุษ ลอร์ด เอกซ์ตัน ของอังกฤษเคยเตือนไว้ว่า “อำนาจทำให้เกิดการทุจริตและชั่วร้าย เมื่อมีอำนาจเด็ดขาดก็ยิ่งทำให้ยิ่งทุจริต และยิ่งชั่วร้ายอย่างแน่นอน Power corrupts. Absolute power corrupts absolutely.”

**********************

กฎหมายรักษาความมั่นคง สิทธิเสรีภาพที่จะต้องสูญเสียไป

ถ้าพิจารณาให้ดีๆ จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย หลักการของสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของทุกมาตราหรือเกือบทุกมาตรา (ในทางตรงหรือทางอ้อม) ถูกละเมิดด้วยกฎหมายความมั่นคงนี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการกระทบกระเทือน สาระสำคัญของสิทธิและเสรีภาพเช่น มาตรา 17 ของร่างกฎหมายความมั่นคง มีข้อห้ามหลายข้อ เช่น

1. “ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด” หมายความว่าเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ไม่ทำอะไรก็ได้ ข้อนี้อันตรายมากเป็นการให้อำนาจมากเกินไปไม่มีขอบเขตประชาชนต้องแล้วแต่ท่านจะเมตตาจะฆ่าจะแกงก็ได้ไม่ผิดกฎหมาย (ม. 21, ม. 22 )

2. “ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ...” (หมายความว่า อาจจะเป็นการเริ่มต้นของค่ายกักกันหรือค่ายนรก (concentration camp)หรือ คุก- ลับ ขังลืมก็ได้)

3. “ห้ามออกจากเคหสถานในเวลาที่กำหนด” (เท่ากับประกาศเคอร์ฟิวได้แม้บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบสุข โดยไม่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน)

4. “ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน” (ข้อนี้ก็ยุ่งยากแล้วแต่รัฐจะนิยามว่าอะไรคืออาวุธ เช่นเดี๋ยวนี้ห้ามนำของเหลวหรือของมีคมขึ้นเครื่องบินกลายเป็นว่าแม้แต่น้ำเปล่าหรือมีดพกเล็กๆ ไว้ปลอกผลไม้ก็ห้ามนำเข้าเครื่องบินแล้ว)

5. “ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ...” (ห้ามเดินทาง ห้ามขึ้นเครื่องบิน ห้ามขับขี่รถยนต์หรือจักรยานยนต์หรือแม้แต่จักรยาน)

6. “ให้บุคคลปฏิบัติหรือหรืองดเว้นการปฏิบัติ.... เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์...” (หมายความว่ารัฐมีสิทธิ์ล้วงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หรือปิดเว็บไซต์แอบดูข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต (Email) หรือดักฟังโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์บ้านและที่ทำงาน...)
กำลังโหลดความคิดเห็น