xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค”ลั่นไม่แตะ"คลังหลวง" ป้องโชวห่วย FTA ต้องผ่านสภา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อภิสิทธิ์” ชูวาระประชาชนเร่งด่วน 99 วันทำได้จริง ย้ำนายกฯ ซื่อสัตย์แก้วิกฤตชาติ ลั่นไม่แตะคลังหลวง ปกป้องร้านโชวห่วย จากการเอาเปรียบของห้างยักษ์ ถกเอฟทีเอโปร่งใส-ผ่านสภา พร้อมการันตี “แม้ว” กลับมาสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมเหมือนคนไทยทั่วไป

วานนี้ (18 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ชั่วโมงข่าว” ผ่านทางเอเอสทีวี ถึงนโยบายหลักหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยึดหลัก 4 ประการ คือ 1. คณะรัฐบาลจะต้องไม่ทุจริตและคอร์รัปชัน จะต้องบริหารบ้านเมืองอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ 2. บริหารบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย คือ การให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช้อำนาจรัฐไปในทางมิชอบ 3. การสร้างความสมานฉันท์ โดยยืนอยู่บนความถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม และจะโทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยตัวเอง พร้อมให้การรับประกันความปลอดภัย เพื่อเดินทางกลับเข้าประเทศมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม 4. การสร้างวิสัยทัศน์ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และสังคม

นายอภิสิทธิ์ เชื่อว่า จากการลงพื้นที่หาเสียงด้วยตนเองพบว่า ประชาชนนิยมเลือกระบบพรรค และนโยบายมากกว่าตัวบุคคลอย่างในอดีต ซึ่งพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นรัฐบาลผสม แต่พรรคประชาธิปัตย์ จะใช้วาระประชาชนเป็นตัวตั้งในการบริหาร

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงนโยบายของพรรคเกี่ยวกับเงินในบัญชีสำรองพิเศษ หรือเงินคลังหลวงของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ที่ได้ถอนร่าง พ.รงบ.เงินตราออกไปก่อน เนื่องจากเงินคลังหลวงเป็นเงินสำรอง ซึ่งก็คือเงินออมของประเทศ จะต้องไม่เอาออกมาใช้จ่าย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีแนวคิดที่จะไปแตะต้องเงินคลังหลวง โดยจะปล่อยให้เป็นไปกฎหมายปัจจุบันที่กำกับอยู่ ไม่มีการแก้ไขอะไรอีก นอกจากนั้นยังมีอีกหลายช่องทางในการแก้ไขปัญหาการเงินการคลังของประเทศโดยไม่ต้องไปล้วงเงินคลังหลวง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาหนี้ของแบงก์ชาติขณะนี้มี 2 ส่วน คือการขาดทุนที่เกิดจากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท และหนี้สินจากกองทุนฟื้นฟูฯ รัฐบาลมีหลายกระเป๋า ทั้งกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่จำเป็นที่จะต้องไปแตะต้องอะไรที่จะกระทบกับความเชื่อมั่นด้วยการเอาเงินที่สะสมมาไม่รู้กี่ปีไปทำอะไรที่มีความเสี่ยง

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงการป้องกันไม่ให้ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของต่างชาติเข้ามาเอาเปรียบร้านค้าปลีกรายย่อยของคนไทยหรือร้านโชวห่วย จนไม่สามารถแข่งขันได้ โดยจะใช้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าที่ออกมาตั้งแต่ปี 2542 มาจัดระเบียบควบคุม อย่างไรก็ดี กฎหมายค้าปลีกจำเป็นต้องมีมาดำเนินการภายหลัง ขณะเดียวกัน ในส่วนของคณะกรรมการที่มาพิจารณาอนุมัติห้างค้าปลีกนั้นก็จะต้องมาจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีข้าราชการเข้ามามีส่วนร่วมน้อยที่สุด

สำหรับการทำเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศหรือเอฟทีเอนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังต้องทำต่อไป แต่จะให้ความสำคัญกับองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) และอาเซียน ส่วนการเจรจาแบบทวิภาคีก็ยังมีแต่ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และที่สำคัญต้องผ่านสภา ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความพร้อมมากขึ้นให้กับภาคส่วนที่เสียเปรียบต้องมีมาตรการที่เยียวยาที่เหมาะสม

ส่วนเรื่องการแปรรูป ปตท.นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการแยกธุรกิจท่อก๊าซและที่ดินออกมาจากธุรกิจน้ำมัน ซึ่งจะเป็นในลักษณะเดียวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในอนาคตถ้าเป็นกิจการสาธารณูปโภคจะต้องเป็นของรัฐหรือต้องแยกออกมา

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีมีการผลักดันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบว่า ปัจจุบันดำเนินการผิดทิศผิดทางไปจนสับสน จากเดิมที่ต้องการให้อยู่ในภาครัฐ ไม่ใช่ลักษณะเอกชน หรือแค่เปลี่ยนการจัดงบประมาณเท่านั้น

ในตอนท้าย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตอบคำถามของประชาชน โดยย้ำว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะให้ความเป็นธรรมแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตามกระบวนการยุติธรรม และจะต่อสายให้กลับมาสู้คดีอย่างยุติธรรมโดยไม่มีการแทรกแซงกระบวนการอย่างไม่โปร่งใส พร้อมทั้งย้ำว่าหากได้รับโอกาสจะดูแลพี่น้องชาวอีสานเหมือนกับทุกภาคเหมือนกับคนไทยทุกคน

“ผมย้ำว่าจะทำได้และทำได้ดี หากพี่น้องให้โอกาสผมและพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้” นายอภิสิทธิ์ให้คำมั่นเมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะดูแลคนภาคอีสานได้ดีแค่ไหนหากเป็นรัฐบาล

ขรก.โดนใจนโยบาย“ประชัย”ขึ้นเงินเดือน-พักหนี้

รายงานข่าวจากพรรคมัชฌิมาธิปไตยแจ้งว่า เมื่อเย็นวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตัวแทนข้าราชการหลายกระทรวงในนามกลุ่มข้าราชการเพื่อนมัชฌิมาญ ได้เข้าพบนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ห่วงใยสถานการณ์บ้านเมืองหลังเลือกตั้ง

สำหรับนโยบายของพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งชูแนวคิดหลักนโยบายรัฐสวัสดิการสังคม กลุ่มข้าราชการเห็นว่าพรรคมัชฌิมาธิปไตยเป็นพรรคเดียวที่กล้าประกาศนโยบายรัฐสวัสดิการ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งในภาวการณ์ปัจจุบันที่ประเทศจะไม่ก้าวไปสู่ทุนนิยมสุดโต่ง เป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน และคนชั้นล่างจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะนโยบายการเรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี จะทำให้ลูกหลานของชนชั้นล่างมีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานเท่าเทียมและทั่วถึง โดยเฉพาะลูกหลานของข้าราชการชั้นผู้น้อยจะได้รับโอกาสนี้ด้วย

นอกจากนั้นนโยบายที่โดนใจข้าราชการที่สุดคือ การขึ้นเงินเดือนข้าราชการคนละ 5,000 บาท เป็นการยกระดับรายได้และชีวิตข้าราชการให้มีศักดิ์ศรีในสังคม เพราะอัตราเงินเดือนข้าราชการในปัจจุบันต่ำกว่าภาคเอกชนเป็นอย่างมาก เพื่อนฝูงในระดับเดียวกันทำงานเอกชนมีรายได้สูงกว่า ผ่อนรถ ผ่อนบ้านได้ ในขณะที่พวกตนยังอยู่บ้านเช่า ขึ้นรถโดยสาร ซึ่งหากมีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ จะทำให้ข้าราชการทำงานรับใช้ประชาชนได้มากยิ่งขึ้นและจะลดการหาเศษหาเลย แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้เป็นอย่างดี

นโยบายการพักหนี้ข้าราชการเป็นเวลา 10 ปี โดยเฉพาะการพักหนี้บัตรเครดิต ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะทุกวันนี้ข้าราชการถูกเจ้าหนี้บัตรเครดิตตามทวงไม่เว้นแต่ละวัน ดอกเบี้ยก็โหด เห็นชอบที่จะเปิดเสรีธนาคารและลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง

นอกจากนี้นโยบายรถไฟฟ้า 15 สาย การลดราคาน้ำมันลิตรละ 5 บาท การสร้างรถไฟรางคู่ความเร็วสูง จะช่วยทำให้ข้าราชการและประชาชนได้รับการบริการขนส่งมวลชนที่ดีขึ้น ประหยัดขึ้น จะช่วยลดต้นทุนของสังคมในการพึ่งพลังงานน้ำมัน ที่นับวันราคาจะสูงขึ้น ลดต้นทุนของประเทศจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมีรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันรายจ่ายของประชาชนจะลดลง

ตัวแทนข้าราชการเพื่อมัชฌิมาฯ ยังกล่าวอีกว่า ขอมอบกำลังใจให้นายประชัยต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง และขอให้ประสบความสำเร็จในการทำงานการเมือง เพราะขณะนี้ประเทศชาติขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสบการณ์ ที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า

“คุณประชัย เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ พวกเรามีความเชื่อมั่นและขอให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”ตัวแทนข้าราชการ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น