ท่านผู้อ่านที่เคารพ คนแก่อย่างผมจะทนเคาะแป้นวันละ 2 หมื่นครั้งไปได้นานเท่าใด บทความหนึ่งๆ ต้องเคาะประมาณ 8 พันครั้ง ยังมีข้อเขียนและบันทึกถึงบุคคลต่างๆ หรือตัวเองเขียนเก็บไว้ รวมทั้งตอบอีเมลญาติสนิทมิตรสหายและแฟนที่เขียนมา
ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมจึงเฝ้าอ้อนวอนให้ท่านผู้อ่านมาช่วยกันเขียนแทนผม พลโทฤกษ์ดีรับปากแล้วก็หายไป คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน คงนึกว่าผมพูดเล่นๆ
ผมพูดจริงๆ นะครับ มาช่วยกันเขียนเถิด ถ้าผมมีชีวิตอยู่อีก 1 ปี ก็เท่ากับ 365 วันเท่านั้นเอง คนที่อายุ 20 ถึง 50 ต่างหากที่สมควรช่วยกันคิดอ่าน
ผมไม่เคยรู้จัก ยังไม่เคยเห็นหน้า และไม่เคยพูดกัน ทราบแต่ว่าคุณ “คนผ่านทาง” อายุรุ่น 40 เศษๆ ประกอบอาชีพอยู่ที่เมืองยูสตัน รัฐเท็กซัส ไม่ไกลจากโรงเรียนเก่าของอดีตนายกฯ ทักษิณนัก ไม่ทราบว่าคุณ “คนผ่านทาง” จะช่วยเขียนย้อนรอยอดีตของทักษิณที่เท็กซัสได้หรือไม่
แต่ที่ได้แล้วคือจดหมายฉบับนี้ ซึ่งผมเพิ่งเปิดจากอีเมลตอนตีสี่ของวันที่ 18 ธันวาคม พอดี
ที่ท่านอาจารย์ให้ช่วยเขียนบทความนั้น ผมเขียนไม่ออกครับเพราะมันตีบตันกับความเป็นไปของบ้านเมือง ขอเขียนมาคุยกับท่านอาจารย์แทนแล้วกันครับ มาถึงวันนี้ดูกระแสของบ้านเมืองแล้ว มันคงต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของผู้คนในประเทศนี้ นับตั้งแต่เห็นผิดเป็นชอบเห็นมารเป็นเทวดา เห็นเงินตราเป็นเป้าหมายของชีวิต ไม่สนว่า จะได้มาโดยสุจริตหรือไม่ คนบางคนตื่นได้สติและก็ปลุกกันยกใหญ่เหมือนคนตื่นไฟ และประจวบเหมาะกับมีโอกาสให้คนบางคนทำตัวเป็นฮีโร่หวังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่คงเป็นเพราะคิดการใหญ่กับคนสนิทเพียง 2 คน งานนี้เลยเกิด คมช. (ย่อมาจาก คนมันชุ่ย) โดยแต่งตั้งคนฝ่ายศัตรูมาเป็นประธาน คมช. เพื่อหวังสร้างสมานฉันท์ระหว่างโจรกับคนดี (วันนี้ก็ไปนั่งเป็นผู้ใหญ่ในพรรคที่นายฮีโร่ขับไล่)
หลังจากนั้น นักวิชาการเซ่อบริสุทธิ์ และนายก ฯ ใสสงบ ก็พยายามร่วมกันสร้างประชาธิปไตยในฝัน เห็นการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย โดยหวังกันว่า “ประชาชนเป็นเสียงสวรรค์” เหมือนที่เคยได้ยินว่า “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงได้เห็นว่า เป็นเสียงสวรรค์หรือไม่ เพราะเงื่อนไขอยู่ที่ประชาชนในประเทศนั้นมีสัมมาทิฐิ มีหิริโอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปหรือเปล่า ถ้าใช่เสียงของประชาชนเหล่านี้ย่อมเป็นเสียงสวรรค์ เพราะเป็นเสียงของพวกเหล่าเทพเทวดา แต่ถ้าประชาชนในประเทศนั้นขาดคุณสมบัติดังกล่าว มีมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบเสียงนั้นย่อมไม่มีทางเป็นเสียงของสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเทพเทวดาแน่นอน ดังนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นสวรรค์หรือนรกคงรู้กัน
ตามที่ท่านอาจารย์และผู้ที่ติดตามเฝ้าดูความเป็นไปของบ้านเมืองต่างวิเคราะห์กันไปในทิศทางเดียวกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คือ การชี้ชะตาบ้านเมืองว่า จะเลือกเป็นประชาธิปไตยที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ใช้ทศพิธราชธรรมเป็นหลักนำบ้านเมือง หรือจะเอาระบบประชาธิปไตยที่นายทุนเป็นใหญ่ ใช้เงินตราและความโลภเป็นตัวนำพาประเทศ ถึงวันนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามกระแสที่ดูเหมือนน่าจะนำมาซึ่งความทุกข์ร้อน เพราะทุกโพลชี้บอกว่า พรรคนอมินีของทักษิณกำลังจะกลับมา สิ่งที่ทุกคนห่วงใยว่า ถ้าเป็นอย่างนี้น่าจะเกิดความจลาจลวุ่นวาย เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่เมื่อคิดอีกที สิ่งที่ท่านทั้งหลายหวาดวิตกว่า จะเสียเลือดเนื้อคนไทยอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่จะเป็นการเริ่มต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โดยที่ไม่มีการนองเลือด ผมมองเหตุการณ์ครั้งนี้ออกเป็น 2 กรณี
1. กรณีที่พรรค พปช. ไม่ได้เสียงข้างมาก ไม่สามารถจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ด้วยคะแนนเสียงที่น่าจะเป็นพรรคอันดับ 2 จึงอาจจะต้องไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน การบริหารประเทศย่อมไม่มีทางสงบราบเรียบไปได้ เพราะการทำงานของสภาคือการต่อสู้กันระหว่าง 2 ขั้ว คือ ฝ่ายทักษิณและฝ่ายไม่เอาทักษิณ ย่อมไม่มีทางประนีประนอมกันได้เพราะนโยบายต่างกันสุดขั้วแบบเทพกับมาร ยกเว้นมารกลับกลายมาเป็นเทพซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเข้ามาเล่นการเมืองครั้งนี้เพื่อการกลับมาล้างแค้นเอาคืน ส่วนฝ่ายเทพจะกลับไปเป็นฝ่ายมารก็ไม่ง่าย เพราะเป็นความคาดหวังของคนอีกกลุ่ม การทำงานในสภาจึงจะวุ่นวายปั่นป่วน
ในขณะเดียวกัน นอกสภาพวกเครือข่ายทรราช ที่กลับมามีอำนาจในคราบของผู้แทน ก็จะยังเดินหน้าดำเนินการสร้างความเสียหายในรูปของขบวนการใต้ดินต่อไป ทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองอยู่ในสภาวะที่ชะงักงัน พรรคที่ถูกอุปโลกน์เป็นฝ่ายเทพก็จะบริหารประเทศในเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะเป็นการวางแผนพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของประเทศในระยะยาวไม่ได้ อย่างเช่น ปัญหาพลังงาน ปัญหาการขาดแคลนน้ำจืด ปัญหาความมั่นคงของประเทศ เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ เป็นการบั่นทอนความเชื่อถือของฝ่ายไม่เอาทักษิณ และในที่สุดก็ต้องเรียกหาทักษิณ เหมือนที่เขากำลังจะออกแคมเปญว่า “เลือกพรรค พปช. เกินครึ่ง เศรษฐกิจฟื้นแน่” ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจได้ผลในการเลือกตั้งครั้งนี้เลย เพราะรัฐบาลขิงแก่ไม่ได้สร้างความศรัทธาหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เห็นเป็นรูปธรรม จนทำให้รากหญ้าทั้งหลายเข้าใจผิดว่า เป็นคนที่ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่
แต่ถ้าแคมเปญนี้ยังใช้ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ในวันข้างหน้าแคมเปญนี้ก็จะต้องกลับมาอีกแน่นอน และครั้งต่อไปก็จะเป็นการตอกย้ำว่า ฝ่ายไม่เอาทักษิณขึ้นมาบริหารประเทศแล้วเศรษฐกิจก็ยังแย่ (แต่รากหญ้าไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้บ่อนทำลาย) ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งเป็นในกรณีแรกนี้ ประเทศชาติก็ยังเสียหาย แต่ข้อดีที่อาจจะมีก็คือ ทำให้ขุมทรัพย์ของฝ่ายมารร่อยหรอ เพราะต้องลงทุนอีกมาก จึงอยู่ที่ว่า ประเทศนี้จะทนกับสถานการณ์ความวุ่นวายในสภาได้ยืดเยื้อขนาดไหน ถ้านานจนสายป่านของฝ่ายมารยาวไม่พอ ก็จะอ่อนกำลังหมดแรงไปเอง แต่ถ้าคนในประเทศนี้ทนกับสถานการณ์นี้ไม่ได้นาน ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ งานของฝ่ายมารก็จะง่ายเข้า
2. ในกรณีที่พรรคฝ่ายมารได้คะแนนเสียงข้างมาก เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ท่านนายกฯ อ้าง เราก็จะได้นอมินีทักษิณบริหารประเทศ ส่วนใครที่คิดดับฝันว่า ทักษิณมาย่อมต้องถูกกฎหมายเล่นงานหรือสมัครจะต้องโดนคดีรถด ับเพลิงนั้น ทุกอย่างมันไม่ง่ายและคราวนี้สถาบันตุลาการจะถูกท้าทายอย่างยิ่งยวด จากที่เคยเป็นหลักให้บ้านเมืองก็อาจสั่นคลอนเพราะอำนาจของกฎหมู่ เพราะการตัดสินอะไรในขณะนี้พร้อมที่จะถูกนำไปปลุกปั่นว่า เป็นการกลั่นแกล้งรังแกทางการเมือง เป็นความอันธพาลของผู้แพ้ ความชอบธรรมในฐานะที่ถูกเลือกมาจะถูุกนำมาเป็นเกราะคุ้มกันทั้งในสายตาของรากหญ้าและนานาชาติ (นานาชาติที่ไม่สนใจเนื้อในของประชาธิปไตย นอกจากเปลือกการเลือกตั้ง หรือรู้เนื้อในแต่ดีใจอย่างเช่น สิงคโปร์หรืออเมริกา เพราะผู้นำพร้อมที่จะขายประเทศให้ต่างชาติได้กลับมามีอำนาจอีก)
นอกจากนี้ที่คาดการณ์กันไปว่า จะต้องเกิดการจลาจลเผชิญหน้าของฝ่ายเอาทักษิณและฝ่ายไม่เอาทักษิณนั้น ขอให้เย็นใจได้ว่า เหตุการณ์นั้นไม่น่าจะเกิด เพราะการปะทะจะเกิดเมื่อทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดการปะทะจลาจลอย่างที่คิด เพราะในครั้งนี้ฝ่ายมารได้เรียนรู้ความผิดพลาดจากการปฏิวัติขับไล่ครั้งที่แล้ว ที่ฝ่ายพันธมิตรเดินขบวนขับไล่ และฝ่ายมารพลาดพลั้งปลุกระดมคนเพื่อเข้าไปชน จนอาจจะนำไปสู่การปะทะนองเลือดของสองฝ่าย ทำให้เป็นเหตุผลข้ออ้างในการปฏิวัติ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น ถ้าฝ่ายมารพยายามนิ่งและใช้กลไกอำนาจที่มีอยู่ ก็จะสามารถต้านทานโดยใช้อำนาจ “นิติ-อ-ธรรม” ที่มีอยู่
ดังนั้นถ้าพรรคมารกลับเข้ามามีอำนาจได้อีกครั้ง เราจะไม่เห็นการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายมารจะนิ่งรับ ไม่ปลุกระดมใครออกมาชนอีกต่อไปและใช้ความได้เปรียบในอำนาจรัฐอย่างใจเย็น และจะใช้นานาชาติเป็นฐานหนุนหลังเพื่อปกป้องความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ฝ่ายพันธมิตรก็จะเป็นฝ่ายอ่อนแอหมดกำลังไปเอง และเมื่อไม่มีการปะทะนองเลือดจนเกิดสภาพสุญญากาศทางการเมือง ใครก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาแก้ไขหรือช่วยเหลืออะไรได้ ที่คิดกันไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเข้ามาแก้ไขวิกฤตก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
นับจากนี้ไปพรรคฝ่ายมารก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพื้นฐานการปกครองของประเทศนี้ จากระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้เป็นไปตามแผนปฏิญญาที่เขาคาดหวังกันไว้ และคราวนี้ก็จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนที่ทำได้มาแล้วก่อนการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นซื้อองค์การอิสระ กกต. วุฒิสภา และต่อไปประเทศนี้ก็จะถูกบริหารประเทศด้วยพรรคเดียวเบ็ดเสร็จ เป็นเผด็จการประชาธิปไตยเหมือนสิงคโปร์ แต่ต่างกันตรงที่ลีกวนยิวทำเพื่อชาติ แต่ทักษิณทำเพื่อวงศ์ตระกูล หลังจากนี้ก็จะเกิดสภาพการเลือกข้าง ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตนก็ต้องถูกฆ่าถูกทำลายไปทีละคน แต่การปลุกระดมเป็นฝ่ายใหญ่ขึ้นมาต่อต้านจะเกิดขึ้นได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ในกรณีหลังนี้จะมีการพลิกผันทั้งนี้ไม่ใช่เหตุปัจจัยของการนองเลือด แต่จะเกิดจากกิเลสตัณหาของคนสองคน คือ ทักษิณกับหัวหน้าพรรค พปช. ที่เคยวาดฝันวางบันได 3 ขั้นจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่บันไดหัก ฝันสลาย แต่ด้วยนิสัยมักมากบ้าอำนาจ ใฝ่สูงและอิจฉาริษยา จนสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจกลับมา และหวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยใช้ประโยชน์ของชื่อเสียงทักษิณ ซึ่งถ้าทำด้วยความศรัทธาชื่นชมยกย่องทักษิณจริง ปัญหาอาจจะไม่เกิด แต่ถ้าทำเพราะเพียงหวังใช้ประโยชน์จากคนที่ศรัทธาทักษิณ งานนี้ก็จะถูกทวงคืนโดยทักษิณ และความวุ่นวายปั่นป่วนที่จะเกิดจากพวกลิ่วล้อทั้งที่ยังจงรักภักดีต่อทักษิณ และพวกที่เคยตีจากก็จะกลับมาต่อรอง จึงเป็นเกมภายในที่ต้องใช้เวลาและกำลังอีกพักใหญ่
แต่ในที่สุดนายกฯ นอมินีที่มีแต่หัว ตัวไม่มีก็จะอยู่ไม่ได้ และถ้าใครคิดว่า ทักษิณคงกลับมาใหญ่อีกไม่ได้เพราะยังมีคดีความที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ทุกอย่างก็ยังไม่แน่เพราะคราวนี้อาจจะยอมมาติดคุก เพื่อกลับมายิ่งใหญ่ในฐานะวีรบุรุษที่ถูกรังแก
ที่เขียนมาทั้งหมดผมอยากให้เป็น จม.ของกระต่ายตื่นตูม แต่เกรงว่า จะกลายเป็น จม.เหตุก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2550 ขอให้คนไทยจงสำนึกให้ดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าคิดผิดอาจจะเป็นตราบาปให้แก่ตนเอง ที่มีส่วนในการขับไล่ความดีงามให้หมดไปจากประเทศนี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง
คนผ่านทาง
ป.ล. ท่านอาจารย์ครับ ถ้าจะเอา จม.นี้ลงคอลัมน์ท่านอาจารย์ คงต้องคิดหลายเที่ยวนะครับ เพราะถ้าเกิดฝ่ายมารยังคิดไม่ถึง จม.ผมอาจจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกทันที
ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมจึงเฝ้าอ้อนวอนให้ท่านผู้อ่านมาช่วยกันเขียนแทนผม พลโทฤกษ์ดีรับปากแล้วก็หายไป คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน คงนึกว่าผมพูดเล่นๆ
ผมพูดจริงๆ นะครับ มาช่วยกันเขียนเถิด ถ้าผมมีชีวิตอยู่อีก 1 ปี ก็เท่ากับ 365 วันเท่านั้นเอง คนที่อายุ 20 ถึง 50 ต่างหากที่สมควรช่วยกันคิดอ่าน
ผมไม่เคยรู้จัก ยังไม่เคยเห็นหน้า และไม่เคยพูดกัน ทราบแต่ว่าคุณ “คนผ่านทาง” อายุรุ่น 40 เศษๆ ประกอบอาชีพอยู่ที่เมืองยูสตัน รัฐเท็กซัส ไม่ไกลจากโรงเรียนเก่าของอดีตนายกฯ ทักษิณนัก ไม่ทราบว่าคุณ “คนผ่านทาง” จะช่วยเขียนย้อนรอยอดีตของทักษิณที่เท็กซัสได้หรือไม่
แต่ที่ได้แล้วคือจดหมายฉบับนี้ ซึ่งผมเพิ่งเปิดจากอีเมลตอนตีสี่ของวันที่ 18 ธันวาคม พอดี
ที่ท่านอาจารย์ให้ช่วยเขียนบทความนั้น ผมเขียนไม่ออกครับเพราะมันตีบตันกับความเป็นไปของบ้านเมือง ขอเขียนมาคุยกับท่านอาจารย์แทนแล้วกันครับ มาถึงวันนี้ดูกระแสของบ้านเมืองแล้ว มันคงต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของผู้คนในประเทศนี้ นับตั้งแต่เห็นผิดเป็นชอบเห็นมารเป็นเทวดา เห็นเงินตราเป็นเป้าหมายของชีวิต ไม่สนว่า จะได้มาโดยสุจริตหรือไม่ คนบางคนตื่นได้สติและก็ปลุกกันยกใหญ่เหมือนคนตื่นไฟ และประจวบเหมาะกับมีโอกาสให้คนบางคนทำตัวเป็นฮีโร่หวังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่คงเป็นเพราะคิดการใหญ่กับคนสนิทเพียง 2 คน งานนี้เลยเกิด คมช. (ย่อมาจาก คนมันชุ่ย) โดยแต่งตั้งคนฝ่ายศัตรูมาเป็นประธาน คมช. เพื่อหวังสร้างสมานฉันท์ระหว่างโจรกับคนดี (วันนี้ก็ไปนั่งเป็นผู้ใหญ่ในพรรคที่นายฮีโร่ขับไล่)
หลังจากนั้น นักวิชาการเซ่อบริสุทธิ์ และนายก ฯ ใสสงบ ก็พยายามร่วมกันสร้างประชาธิปไตยในฝัน เห็นการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย โดยหวังกันว่า “ประชาชนเป็นเสียงสวรรค์” เหมือนที่เคยได้ยินว่า “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงได้เห็นว่า เป็นเสียงสวรรค์หรือไม่ เพราะเงื่อนไขอยู่ที่ประชาชนในประเทศนั้นมีสัมมาทิฐิ มีหิริโอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปหรือเปล่า ถ้าใช่เสียงของประชาชนเหล่านี้ย่อมเป็นเสียงสวรรค์ เพราะเป็นเสียงของพวกเหล่าเทพเทวดา แต่ถ้าประชาชนในประเทศนั้นขาดคุณสมบัติดังกล่าว มีมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบเสียงนั้นย่อมไม่มีทางเป็นเสียงของสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเทพเทวดาแน่นอน ดังนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นสวรรค์หรือนรกคงรู้กัน
ตามที่ท่านอาจารย์และผู้ที่ติดตามเฝ้าดูความเป็นไปของบ้านเมืองต่างวิเคราะห์กันไปในทิศทางเดียวกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คือ การชี้ชะตาบ้านเมืองว่า จะเลือกเป็นประชาธิปไตยที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ใช้ทศพิธราชธรรมเป็นหลักนำบ้านเมือง หรือจะเอาระบบประชาธิปไตยที่นายทุนเป็นใหญ่ ใช้เงินตราและความโลภเป็นตัวนำพาประเทศ ถึงวันนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามกระแสที่ดูเหมือนน่าจะนำมาซึ่งความทุกข์ร้อน เพราะทุกโพลชี้บอกว่า พรรคนอมินีของทักษิณกำลังจะกลับมา สิ่งที่ทุกคนห่วงใยว่า ถ้าเป็นอย่างนี้น่าจะเกิดความจลาจลวุ่นวาย เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่เมื่อคิดอีกที สิ่งที่ท่านทั้งหลายหวาดวิตกว่า จะเสียเลือดเนื้อคนไทยอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่จะเป็นการเริ่มต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โดยที่ไม่มีการนองเลือด ผมมองเหตุการณ์ครั้งนี้ออกเป็น 2 กรณี
1. กรณีที่พรรค พปช. ไม่ได้เสียงข้างมาก ไม่สามารถจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ด้วยคะแนนเสียงที่น่าจะเป็นพรรคอันดับ 2 จึงอาจจะต้องไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน การบริหารประเทศย่อมไม่มีทางสงบราบเรียบไปได้ เพราะการทำงานของสภาคือการต่อสู้กันระหว่าง 2 ขั้ว คือ ฝ่ายทักษิณและฝ่ายไม่เอาทักษิณ ย่อมไม่มีทางประนีประนอมกันได้เพราะนโยบายต่างกันสุดขั้วแบบเทพกับมาร ยกเว้นมารกลับกลายมาเป็นเทพซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเข้ามาเล่นการเมืองครั้งนี้เพื่อการกลับมาล้างแค้นเอาคืน ส่วนฝ่ายเทพจะกลับไปเป็นฝ่ายมารก็ไม่ง่าย เพราะเป็นความคาดหวังของคนอีกกลุ่ม การทำงานในสภาจึงจะวุ่นวายปั่นป่วน
ในขณะเดียวกัน นอกสภาพวกเครือข่ายทรราช ที่กลับมามีอำนาจในคราบของผู้แทน ก็จะยังเดินหน้าดำเนินการสร้างความเสียหายในรูปของขบวนการใต้ดินต่อไป ทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองอยู่ในสภาวะที่ชะงักงัน พรรคที่ถูกอุปโลกน์เป็นฝ่ายเทพก็จะบริหารประเทศในเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะเป็นการวางแผนพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของประเทศในระยะยาวไม่ได้ อย่างเช่น ปัญหาพลังงาน ปัญหาการขาดแคลนน้ำจืด ปัญหาความมั่นคงของประเทศ เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ เป็นการบั่นทอนความเชื่อถือของฝ่ายไม่เอาทักษิณ และในที่สุดก็ต้องเรียกหาทักษิณ เหมือนที่เขากำลังจะออกแคมเปญว่า “เลือกพรรค พปช. เกินครึ่ง เศรษฐกิจฟื้นแน่” ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจได้ผลในการเลือกตั้งครั้งนี้เลย เพราะรัฐบาลขิงแก่ไม่ได้สร้างความศรัทธาหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เห็นเป็นรูปธรรม จนทำให้รากหญ้าทั้งหลายเข้าใจผิดว่า เป็นคนที่ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่
แต่ถ้าแคมเปญนี้ยังใช้ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ในวันข้างหน้าแคมเปญนี้ก็จะต้องกลับมาอีกแน่นอน และครั้งต่อไปก็จะเป็นการตอกย้ำว่า ฝ่ายไม่เอาทักษิณขึ้นมาบริหารประเทศแล้วเศรษฐกิจก็ยังแย่ (แต่รากหญ้าไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้บ่อนทำลาย) ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งเป็นในกรณีแรกนี้ ประเทศชาติก็ยังเสียหาย แต่ข้อดีที่อาจจะมีก็คือ ทำให้ขุมทรัพย์ของฝ่ายมารร่อยหรอ เพราะต้องลงทุนอีกมาก จึงอยู่ที่ว่า ประเทศนี้จะทนกับสถานการณ์ความวุ่นวายในสภาได้ยืดเยื้อขนาดไหน ถ้านานจนสายป่านของฝ่ายมารยาวไม่พอ ก็จะอ่อนกำลังหมดแรงไปเอง แต่ถ้าคนในประเทศนี้ทนกับสถานการณ์นี้ไม่ได้นาน ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ งานของฝ่ายมารก็จะง่ายเข้า
2. ในกรณีที่พรรคฝ่ายมารได้คะแนนเสียงข้างมาก เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ท่านนายกฯ อ้าง เราก็จะได้นอมินีทักษิณบริหารประเทศ ส่วนใครที่คิดดับฝันว่า ทักษิณมาย่อมต้องถูกกฎหมายเล่นงานหรือสมัครจะต้องโดนคดีรถด ับเพลิงนั้น ทุกอย่างมันไม่ง่ายและคราวนี้สถาบันตุลาการจะถูกท้าทายอย่างยิ่งยวด จากที่เคยเป็นหลักให้บ้านเมืองก็อาจสั่นคลอนเพราะอำนาจของกฎหมู่ เพราะการตัดสินอะไรในขณะนี้พร้อมที่จะถูกนำไปปลุกปั่นว่า เป็นการกลั่นแกล้งรังแกทางการเมือง เป็นความอันธพาลของผู้แพ้ ความชอบธรรมในฐานะที่ถูกเลือกมาจะถูุกนำมาเป็นเกราะคุ้มกันทั้งในสายตาของรากหญ้าและนานาชาติ (นานาชาติที่ไม่สนใจเนื้อในของประชาธิปไตย นอกจากเปลือกการเลือกตั้ง หรือรู้เนื้อในแต่ดีใจอย่างเช่น สิงคโปร์หรืออเมริกา เพราะผู้นำพร้อมที่จะขายประเทศให้ต่างชาติได้กลับมามีอำนาจอีก)
นอกจากนี้ที่คาดการณ์กันไปว่า จะต้องเกิดการจลาจลเผชิญหน้าของฝ่ายเอาทักษิณและฝ่ายไม่เอาทักษิณนั้น ขอให้เย็นใจได้ว่า เหตุการณ์นั้นไม่น่าจะเกิด เพราะการปะทะจะเกิดเมื่อทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดการปะทะจลาจลอย่างที่คิด เพราะในครั้งนี้ฝ่ายมารได้เรียนรู้ความผิดพลาดจากการปฏิวัติขับไล่ครั้งที่แล้ว ที่ฝ่ายพันธมิตรเดินขบวนขับไล่ และฝ่ายมารพลาดพลั้งปลุกระดมคนเพื่อเข้าไปชน จนอาจจะนำไปสู่การปะทะนองเลือดของสองฝ่าย ทำให้เป็นเหตุผลข้ออ้างในการปฏิวัติ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น ถ้าฝ่ายมารพยายามนิ่งและใช้กลไกอำนาจที่มีอยู่ ก็จะสามารถต้านทานโดยใช้อำนาจ “นิติ-อ-ธรรม” ที่มีอยู่
ดังนั้นถ้าพรรคมารกลับเข้ามามีอำนาจได้อีกครั้ง เราจะไม่เห็นการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายมารจะนิ่งรับ ไม่ปลุกระดมใครออกมาชนอีกต่อไปและใช้ความได้เปรียบในอำนาจรัฐอย่างใจเย็น และจะใช้นานาชาติเป็นฐานหนุนหลังเพื่อปกป้องความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ฝ่ายพันธมิตรก็จะเป็นฝ่ายอ่อนแอหมดกำลังไปเอง และเมื่อไม่มีการปะทะนองเลือดจนเกิดสภาพสุญญากาศทางการเมือง ใครก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาแก้ไขหรือช่วยเหลืออะไรได้ ที่คิดกันไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเข้ามาแก้ไขวิกฤตก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
นับจากนี้ไปพรรคฝ่ายมารก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพื้นฐานการปกครองของประเทศนี้ จากระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้เป็นไปตามแผนปฏิญญาที่เขาคาดหวังกันไว้ และคราวนี้ก็จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนที่ทำได้มาแล้วก่อนการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นซื้อองค์การอิสระ กกต. วุฒิสภา และต่อไปประเทศนี้ก็จะถูกบริหารประเทศด้วยพรรคเดียวเบ็ดเสร็จ เป็นเผด็จการประชาธิปไตยเหมือนสิงคโปร์ แต่ต่างกันตรงที่ลีกวนยิวทำเพื่อชาติ แต่ทักษิณทำเพื่อวงศ์ตระกูล หลังจากนี้ก็จะเกิดสภาพการเลือกข้าง ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตนก็ต้องถูกฆ่าถูกทำลายไปทีละคน แต่การปลุกระดมเป็นฝ่ายใหญ่ขึ้นมาต่อต้านจะเกิดขึ้นได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ในกรณีหลังนี้จะมีการพลิกผันทั้งนี้ไม่ใช่เหตุปัจจัยของการนองเลือด แต่จะเกิดจากกิเลสตัณหาของคนสองคน คือ ทักษิณกับหัวหน้าพรรค พปช. ที่เคยวาดฝันวางบันได 3 ขั้นจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่บันไดหัก ฝันสลาย แต่ด้วยนิสัยมักมากบ้าอำนาจ ใฝ่สูงและอิจฉาริษยา จนสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจกลับมา และหวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยใช้ประโยชน์ของชื่อเสียงทักษิณ ซึ่งถ้าทำด้วยความศรัทธาชื่นชมยกย่องทักษิณจริง ปัญหาอาจจะไม่เกิด แต่ถ้าทำเพราะเพียงหวังใช้ประโยชน์จากคนที่ศรัทธาทักษิณ งานนี้ก็จะถูกทวงคืนโดยทักษิณ และความวุ่นวายปั่นป่วนที่จะเกิดจากพวกลิ่วล้อทั้งที่ยังจงรักภักดีต่อทักษิณ และพวกที่เคยตีจากก็จะกลับมาต่อรอง จึงเป็นเกมภายในที่ต้องใช้เวลาและกำลังอีกพักใหญ่
แต่ในที่สุดนายกฯ นอมินีที่มีแต่หัว ตัวไม่มีก็จะอยู่ไม่ได้ และถ้าใครคิดว่า ทักษิณคงกลับมาใหญ่อีกไม่ได้เพราะยังมีคดีความที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ทุกอย่างก็ยังไม่แน่เพราะคราวนี้อาจจะยอมมาติดคุก เพื่อกลับมายิ่งใหญ่ในฐานะวีรบุรุษที่ถูกรังแก
ที่เขียนมาทั้งหมดผมอยากให้เป็น จม.ของกระต่ายตื่นตูม แต่เกรงว่า จะกลายเป็น จม.เหตุก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2550 ขอให้คนไทยจงสำนึกให้ดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าคิดผิดอาจจะเป็นตราบาปให้แก่ตนเอง ที่มีส่วนในการขับไล่ความดีงามให้หมดไปจากประเทศนี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง
คนผ่านทาง
ป.ล. ท่านอาจารย์ครับ ถ้าจะเอา จม.นี้ลงคอลัมน์ท่านอาจารย์ คงต้องคิดหลายเที่ยวนะครับ เพราะถ้าเกิดฝ่ายมารยังคิดไม่ถึง จม.ผมอาจจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกทันที