ในรอบปี 2550 อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่ประชาชนต้องแบกรับภาระกับปัญหาน้ำมันแพงเนื่องจากน้ำมันดิบที่ไทยต้องนำมากลั่นจากต่างประเทศได้พุ่งทะยานจนทำสถิติสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 100 ปี ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วน้ำมันดิบที่ว่าสูงยังเฉลี่ยอยู่เพียง 10 เหรียญต่อบาร์เรล เท่านั้น แม้แต่ภาวะสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 2533 ราคาน้ำมันก็ขึ้นมาเพียงระดับ 40 เหรียญต่อบาร์เรล เช่นกัน แต่เวลายิ่งผ่านไป ราคาน้ำมันตลาดโลกกลับเคลื่อนไหวในราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยปี 2549 ราคาน้ำมันดิบอยู่เพียง 60-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ในปี 2550 ราคากลับทำให้หลายสำนักต้องกุมขมับเพราะสิ่งที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าผิดคาดเป็นส่วนใหญ่
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปี 2550 เริ่มต้นในช่วงม.ค. ที่ระดับเพียง 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล และเริ่มไต่ ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงมิ.ย. 2550 เบรนท์ สูงสุดที่ระดับ 74 เหรียญต่อบาร์เรล เวสเท็กซัส (WTI) 70 เหรียญต่อบาร์เรล ดูไบ 67 เหรียญต่อบาร์เรล เดือน ก.ค. เบรนท์ 80 เหรียญต่อบาร์เรล WTI 75 เหรียญต่อบาร์เรล ดูไบ 70 เหรียญต่อบาร์เรล และวันที่ 16 ก.ค. 2550 น้ำมันดิบเบรนท์แตะ 78.12 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และวันที่ 21 พ.ย. น้ำมันดิบไลท์สวีท ตลาดสิงคโปร์ ปรับสูงถึง 99.29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ถือเป็นการทำลายสถิติสูงสุด (นิวไฮ) อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ปรับสูงถึง 98.62 เหรียญสหรัฐ ส่วนเวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 98.22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เบรนท์ 94.47 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดูไบ 87.20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงกดดันให้น้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ปรับเพิ่มตามโดยเฉพาะเดือนช่วงพ.ย. ทั้งเบนซินและดีเซลทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล โดยวันที่ 22 พ.ย. 2550 เบนซิน 95 อยู่ที่ 102.92 เหรียญต่อบาร์เรล ดีเซลอยู่ที่ 110.79 เหรียญต่อบาร์เรล โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและในบางช่วงมีการปรับขึ้นวันเดียว 4-5 เหรียญต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาตลาดโลกที่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องมาจากปัจจัยหลักสำคัญคือ 1. กำลังผลิตของโลกตึงตัวทำให้เกิดการเก็งกำไรจากเฮดจ์ฟันด์ 2.สภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งอากาศที่หนาวเย็นและพายุเฮอร์ริเคนที่กระทบแหล่งผลิตโดยเฉพาะเฮอร์ริเคนดีนที่พัดเข้าอ่าวเม็กซิโกทำให้กระทบต่อการผลิต 3. ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง 4. ภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนที่ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นมากและ 5. ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางทั้งไนจีเรีย อิรัก และอิหร่าน ซึ่งกรณีอิหร่านถือเป็นปัจจัยสำคัญในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมหาอำนาจตะวันตกหารือคว่ำบาตรกรณีนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาขายปลีกในประเทศสูง แต่กระนั้นสิ่งสำคัญที่คนไทยไม่ควรมองข้ามอีกด้านหนึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็น รมว.พลังงาน มีนโยบายที่จะเร่งเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อชดใช้หนี้เก่าจากนโยบายรัฐบาลยุคทักษิณที่เข้าไปตรึงราคาน้ำมันจนทำให้กองทุนฯต้องใช้เงินตรึงไปถึง 9.2 หมื่นล้านบาท
เมื่อย้อนไปในยุครัฐบาลทักษิณที่เข้าไปตรึงราคาน้ำมันช่วง 10 ม.ค.47-13 ก.ค.48 รวมตรึงเบนซิน 286 วัน ดีเซล 551 วันแบ่งเป็นตรึงดีเซล 7,000 ล้านบาท ตรึงดีเซล 85,000 ล้านบาท รวมใช้เงินตรึงราคาทั้งสิ้น 92,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนการตรึงราคานั้นกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เก็บเงินจากเบนซิน 95 และดีเซล อย่างละ 50 สตางค์ต่อลิตร และเบนซิน 91 จำนวน 30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อนำไว้ใช้ยามราคาน้ำมันวิกฤติหรือเหตุฉุกเฉินแต่การตรึงราคาที่มากเกินไปทำให้กองทุนฯ ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินมาตรึงแทน
การเรียกเงินเข้ากองทุนฯ จากผู้ใช้น้ำมันเพื่อใช้หนี้ได้เริ่มนับหนึ่งขึ้นในยุคทักษิณเช่นกัน หลังราคาตลาดโลกเริ่มลดลงและรัฐเลิกการอุดหนุนตั้งแต่กลางปี 2548 เริ่มจากเก็บเบนซิน 95 ที่ 1.50 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เก็บ 1.30 บาทต่อลิตรและดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตรและทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น เบนซิน 95 เก็บ 2.50 บาทต่อลิตร ดีเซล 2 บาทต่อลิตรเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2549 ต่อมาช่วงต.ค. 2549 รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์เข้ามาทำหน้าที่ต่อนายปิยสวัสดิ์จึงมีนโยบายเรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่องเป็นสูงสุด เบนซิน 95 เก็บ 4 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เก็บ 3.70 บาทต่อลิตร และดีเซล 1.50 บาทต่อลิตร ช่วง 2 พ.ย.2550
เมื่อสัดส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ที่สูงจากที่เคยเก็บในอดีตคิดเป็นเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 3.50 บาท ดีเซลลิตรละ 1 บาทเมื่อรวมกับราคาสำเร็จรูปสิงคโปร์ที่พุ่งทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรลจึงผลักดันให้ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยปรับขึ้นอย่างมากและทุบสถิติสูงสุดทั้งเบนซินและดีเซลโดยเบนซินทำสถิติสูงสุดใหม่หรือนิวไฮต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ทั้งเบนซิน 95 และดีเซล โดยเบนซิน95 ทำนิวไฮที่ 32.89 บาทต่อลิตร ดีเซลทำนิวไฮที่ 29.34 บาทต่อลิตร ขณะที่ปี 2549 เบนซิน 95 ทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 30.59 บาทต่อลิตรเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2549 ส่วนดีเซลทำไว้ที่ 28.34 บาทต่อลิตรเมื่อ 15 ก.ค. 2549
พลิกโฉมหน้าพลังงานทดแทน
การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในระดับสูงดังกล่าวมีผลทำให้การใช้หนี้น้ำมันจะหมดอย่างเร็วสิ้นปี 2550 ขณะเดียวกันยังส่งผลให้โครงสร้างการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ มีการเปลี่ยนโฉมหน้าในการเข้าไปอุดหนุนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล โดยล่าสุดวันที่ 7 ธ.ค. 2550 แม้กองทุนฯ จะเก็บเงินจากเบนซินปกติสูงถึงลิตรละ 3-4 บาทแต่แก๊สโซฮอล์ 95 เก็บ 30 สตางค์ต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 กองทุนฯ ต้องอุดหนุนอีกลิตรละ 20 สตางค์ ขณะที่ไบโอดีเซลหรือบี 5 ต้องอุดหนุนอีกลิตรละ 10 สตางค์
จะเห็นว่าในปี 2550 แม้ว่าคนไทยจะเผชิญวิกฤติน้ำมันแพงแต่จะต่างกับวิกฤติน้ำมันในช่วงปี 2547 อย่างสิ้นเชิงที่ ณ ขณะนั้นคนไทยยังไม่มีพลังงานทดแทนทั้งแก๊สโซฮอล์ และบี 5 ไว้เป็นตัวเลือกในการใช้มากพอเช่นปี 2550 โดยรัฐใช้กลไกเงินกองทุนฯอุดหนุนราคาพลังงานทดแทนส่งผลให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 4 บาท ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 91 ต่ำกว่าเบนซิน 91 ลิตรละ 3.50 บาท บี 5 ต่ำกว่าดีเซล 1 บาทต่อลิตร ดังนั้น จะเห็นราคาพลังงานเฉลี่ยแล้วไม่ได้ต่างจากปี 2549 มากนัก
ก๊าซหุงต้มขึ้น 1.20 บาท/กก.
ผลพวงจากน้ำมันราคาสูงทำให้รถยนต์โดยเฉพาะแท็กซี่หันมาใช้ก๊าซหุงต้มมากขึ้นและหากปล่อยไว้อาจทำให้การผลิตก๊าซหุงต้มของไทยไม่พอกับความต้องการต้องนำเข้ามาในราคาตลาดโลกที่สูง รัฐจึงตัดสินใจ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนและรถยนต์อีก 1.20 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2550 เป็นต้นไปส่งท้ายปี 2550 ซึ่งเป็นไปตามแผนการทยอยลอยตัวก๊าซหุงต้มซึ่งครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นเนื่องจากรัฐยกเลิกการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดเนื่องจากภาครัฐตระหนักถึงความไม่เป็นธรรมกรณีที่ทุกลิตรที่คนใช้น้ำมันเติมจะต้องถูกหักไปช่วยเหลือผู้ที่ใช้ราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นสินค้าการเมืองที่รู้กันดีว่าโครงสร้าง บิดเบือนแต่ก็เป็นการหาเสียงหรือประชานิยมกับประชาชน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงโครงสร้างราคาที่แท้จริงยังพบว่าคนไทยยังใช้ก๊าซหุงต้มต่ำกว่าตลาดโลกอยู่ดีโดยกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นต้องไม่เกิน 320 เหรียญต่อตันทั้งที่ตลาดโลกสูงถึง 750- 800 เหรียญต่อตันแล้วและในปี 2551-2552 ได้กำหนดที่จะค่อยๆ เพิ่มราคาหน้าโรงกลั่นที่จะอิงราคาโลกประมาณ 40% เนื่องจากเล็งเห็นว่าก๊าซส่วนหนึ่งมาจากอ่าวไทยจึงไม่จำเป็นต้องสะท้อนต้นทุนต่างประเทศทั้งหมดแต่ราคาจะมีการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น
สินค้าอั้นไม่ไหวขึ้นแล้วหลายรายการ
ทุกข์ของประชาชนในปีนี้ ไม่เพียงแต่ต้องบริโภคพลังงานในราคาที่แพงขึ้น ราคาก๊าซหุงต้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะราคาสินค้าที่ปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะพยายามที่จะตรึงราคาให้นานที่สุดก็ตาม
ก่อนที่จะมีการปฎิรูปการปกครองวันที่ 19 ก.ย.2549 มีสินค้า 14 รายการที่ยื่นขอปรับราคามายังกรมการค้าภายใน ได้แก่ ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ ปุ๋ยเคมี กาแฟผงสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ยารักษาโรค น้ำมันพืช ผงซักฟอก ยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ผลิตภัณฑ์ล้างจาน น้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์นม (นมผง นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยว) และรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกเล็ก
หลังจากมีรัฐบาลใหม่ชุดขิงแก่ กระทรวงพาณิชย์โชคดีอยู่อย่างหนึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ก็คือ ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ห้ามไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ แต่หลังจากนั้น ประมาณช่วงกลางปีก็ได้มีการเสนอยกเลิกประกาศคปค.ฉบับดังกล่าว จึงเป็นการปลดแอก ผู้ผลิตจึงทำเรื่องมายังกรมการค้าภายในของปรับขึ้นราคากันยกใหญ่
สินค้าที่ขอปรับขึ้นราคาหลังยกเลิกประกาศคปค. ก็ยังคงอยู่ในกลุ่ม 14 รายการข้างต้น แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ดีเล แทคติก ในการชะลอการปรับราคา โดยขอให้ผู้ผลิตที่ต้องการขอปรับราคาสินค้ายื่นต้นทุนมาให้พิจารณาใหม่ พร้อมกับจัดประชุมโดยเชิญผู้ประกอบการสินค้าต่างๆ มาขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าไปจนถึงปีใหม่ แต่เปิดเงื่อนไขให้ว่า ใครต้นทุนเพิ่มจริง สามารถยื่นขอปรับราคามาได้ โดยยึดหลักความเหมาะสม เป็นธรรม และปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่ทว่า กลยุทธ์นี้ก็ใช้ได้เฉพาะบางสินค้า แต่บางสินค้าก็อั้นราคาต่อไปไม่ไหว เริ่มจากมาม่า สินค้าวัดดัชนีเศรษฐกิจคนไทยอีกรายการหนึ่ง ที่ขอปรับราคาก่อนถึงปีใหม่ซองละ 1 บาท ตามต่อด้วยน้ำมันพืชทั้งน้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลือง ที่ให้ปรับราคาได้สูงถึงขวดละ 5.50 บาท ซึ่งเดิมให้ปรับเป็น 2 ช่วงๆ แรก 3 บาท และอีก 2.50 บาทหลังปีใหม่ แต่ผู้ผลิตยื่นอุทธรณ์ว่าแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว สุดท้ายก็ให้ปรับราคาเต็มเพดานตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้น้ำมันปาล์ม ปรับขึ้นจากขวดละ (1 ลิตร) 41 บาท ราคาใหม่เป็นขวดละ 43.50 บาท และน้ำมันพืชจากขวดละ 43 บาท ขึ้นเป็น 45.50 บาท
จึงถือได้ว่าปีนี้ ประชาชนยังโชคดีพอสมควร เพราะมีสินค้าที่ปรับราคาขึ้นไปเพียงไม่กี่รายการ โดยรายการที่เหลือผู้ผลิตยอมให้ความร่วมมือในการปรับขึ้นราคาหลังจากพ้นปีใหม่ไปแล้ว
โชคดีค่าไฟลดตลอดปี 2550
ปีนี้ยังมีโชคดีซ้ำสอง แม้ว่าคนไทยจะรับข่าวร้ายทั้งน้ำมันที่ราคาสูง การปรับขึ้นก๊าซหุงต้ม และราคาสินค้าแพงขึ้น แต่กระนั้นค่าไฟฟ้าที่คนไทยทุกครัวเรือนใช้นั้นภาพรวมในปี 2550 ราคาค่าไฟกลับตรงกันข้ามกับราคาน้ำมันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft ที่จะปรับทุก 4 เดือนเริ่มช่วงมิ.ย.49-ม.ค. 50 ปรับลด 7.02 สตางค์ต่อหน่วยรอบ ก.พ.-พ.ค. 50 ปรับลดลงอีก 5 สตางค์ต่อหน่วย รอบมิ.ย.-ก.ย.50 ปรับลดอีก 5 สตางค์ต่อหน่วย รอบต.ค.50-ม.ค. 51 ปรับลด 2.31 สตางค์ต่อหน่วย
สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าไฟปรับลดตลอดปีมาจาก 1. ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มไม่มากนักหากเทียบกับน้ำมันจะย้อนหลังไป 6 เดือนหรือ 1 ปีและสะท้อนในเนื้อก๊าซเพียง 25-30% เท่านั้น 2.ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าทำให้สามารถลดการใช้จ่ายได้ค่อนข้างสูง 3.ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลให้การใช้ไฟไม่ได้เพิ่มสูงผิดปกติจนนำไปสู่การผลิตไฟจากน้ำมันเตา 4.ปริมาณน้ำฝนที่ค่อนข้างมากจึงทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือกฟผ.ผลิตไฟจากเขื่อนที่มีต้นทุนต่ำ 5. โรงไฟฟ้าถ่านหินจากบีแอลซีพีเข้าระบบช่วงต้นปีทำให้ต้นทุนค่าไฟต่ำ
บทสรุปแล้วตลอดปี 2550 คนไทยต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำมันแพงอีกปีหนึ่งตามภาวะตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก พร้อมๆ กับการปรับขึ้นราคาสินค้าบางรายการ และการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มฉลองท้ายปี แต่ก็ยังมีค่าไฟที่ปรับลดและพลังงานทดแทนเป็นทางเลือกในการช่วยลดภาระรายจ่าย แต่ตราบใดที่ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกยังคงสูง การผลิตเริ่มถดถอย ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าก็ยังต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำมันอยู่ร่ำไป
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปี 2550 เริ่มต้นในช่วงม.ค. ที่ระดับเพียง 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล และเริ่มไต่ ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงมิ.ย. 2550 เบรนท์ สูงสุดที่ระดับ 74 เหรียญต่อบาร์เรล เวสเท็กซัส (WTI) 70 เหรียญต่อบาร์เรล ดูไบ 67 เหรียญต่อบาร์เรล เดือน ก.ค. เบรนท์ 80 เหรียญต่อบาร์เรล WTI 75 เหรียญต่อบาร์เรล ดูไบ 70 เหรียญต่อบาร์เรล และวันที่ 16 ก.ค. 2550 น้ำมันดิบเบรนท์แตะ 78.12 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และวันที่ 21 พ.ย. น้ำมันดิบไลท์สวีท ตลาดสิงคโปร์ ปรับสูงถึง 99.29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ถือเป็นการทำลายสถิติสูงสุด (นิวไฮ) อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ปรับสูงถึง 98.62 เหรียญสหรัฐ ส่วนเวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 98.22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เบรนท์ 94.47 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดูไบ 87.20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงกดดันให้น้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ปรับเพิ่มตามโดยเฉพาะเดือนช่วงพ.ย. ทั้งเบนซินและดีเซลทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล โดยวันที่ 22 พ.ย. 2550 เบนซิน 95 อยู่ที่ 102.92 เหรียญต่อบาร์เรล ดีเซลอยู่ที่ 110.79 เหรียญต่อบาร์เรล โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและในบางช่วงมีการปรับขึ้นวันเดียว 4-5 เหรียญต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาตลาดโลกที่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องมาจากปัจจัยหลักสำคัญคือ 1. กำลังผลิตของโลกตึงตัวทำให้เกิดการเก็งกำไรจากเฮดจ์ฟันด์ 2.สภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งอากาศที่หนาวเย็นและพายุเฮอร์ริเคนที่กระทบแหล่งผลิตโดยเฉพาะเฮอร์ริเคนดีนที่พัดเข้าอ่าวเม็กซิโกทำให้กระทบต่อการผลิต 3. ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง 4. ภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนที่ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นมากและ 5. ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางทั้งไนจีเรีย อิรัก และอิหร่าน ซึ่งกรณีอิหร่านถือเป็นปัจจัยสำคัญในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมหาอำนาจตะวันตกหารือคว่ำบาตรกรณีนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาขายปลีกในประเทศสูง แต่กระนั้นสิ่งสำคัญที่คนไทยไม่ควรมองข้ามอีกด้านหนึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็น รมว.พลังงาน มีนโยบายที่จะเร่งเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อชดใช้หนี้เก่าจากนโยบายรัฐบาลยุคทักษิณที่เข้าไปตรึงราคาน้ำมันจนทำให้กองทุนฯต้องใช้เงินตรึงไปถึง 9.2 หมื่นล้านบาท
เมื่อย้อนไปในยุครัฐบาลทักษิณที่เข้าไปตรึงราคาน้ำมันช่วง 10 ม.ค.47-13 ก.ค.48 รวมตรึงเบนซิน 286 วัน ดีเซล 551 วันแบ่งเป็นตรึงดีเซล 7,000 ล้านบาท ตรึงดีเซล 85,000 ล้านบาท รวมใช้เงินตรึงราคาทั้งสิ้น 92,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนการตรึงราคานั้นกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เก็บเงินจากเบนซิน 95 และดีเซล อย่างละ 50 สตางค์ต่อลิตร และเบนซิน 91 จำนวน 30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อนำไว้ใช้ยามราคาน้ำมันวิกฤติหรือเหตุฉุกเฉินแต่การตรึงราคาที่มากเกินไปทำให้กองทุนฯ ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินมาตรึงแทน
การเรียกเงินเข้ากองทุนฯ จากผู้ใช้น้ำมันเพื่อใช้หนี้ได้เริ่มนับหนึ่งขึ้นในยุคทักษิณเช่นกัน หลังราคาตลาดโลกเริ่มลดลงและรัฐเลิกการอุดหนุนตั้งแต่กลางปี 2548 เริ่มจากเก็บเบนซิน 95 ที่ 1.50 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เก็บ 1.30 บาทต่อลิตรและดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตรและทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น เบนซิน 95 เก็บ 2.50 บาทต่อลิตร ดีเซล 2 บาทต่อลิตรเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2549 ต่อมาช่วงต.ค. 2549 รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์เข้ามาทำหน้าที่ต่อนายปิยสวัสดิ์จึงมีนโยบายเรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่องเป็นสูงสุด เบนซิน 95 เก็บ 4 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เก็บ 3.70 บาทต่อลิตร และดีเซล 1.50 บาทต่อลิตร ช่วง 2 พ.ย.2550
เมื่อสัดส่วนการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ที่สูงจากที่เคยเก็บในอดีตคิดเป็นเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 3.50 บาท ดีเซลลิตรละ 1 บาทเมื่อรวมกับราคาสำเร็จรูปสิงคโปร์ที่พุ่งทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรลจึงผลักดันให้ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยปรับขึ้นอย่างมากและทุบสถิติสูงสุดทั้งเบนซินและดีเซลโดยเบนซินทำสถิติสูงสุดใหม่หรือนิวไฮต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ทั้งเบนซิน 95 และดีเซล โดยเบนซิน95 ทำนิวไฮที่ 32.89 บาทต่อลิตร ดีเซลทำนิวไฮที่ 29.34 บาทต่อลิตร ขณะที่ปี 2549 เบนซิน 95 ทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 30.59 บาทต่อลิตรเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2549 ส่วนดีเซลทำไว้ที่ 28.34 บาทต่อลิตรเมื่อ 15 ก.ค. 2549
พลิกโฉมหน้าพลังงานทดแทน
การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในระดับสูงดังกล่าวมีผลทำให้การใช้หนี้น้ำมันจะหมดอย่างเร็วสิ้นปี 2550 ขณะเดียวกันยังส่งผลให้โครงสร้างการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ มีการเปลี่ยนโฉมหน้าในการเข้าไปอุดหนุนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล โดยล่าสุดวันที่ 7 ธ.ค. 2550 แม้กองทุนฯ จะเก็บเงินจากเบนซินปกติสูงถึงลิตรละ 3-4 บาทแต่แก๊สโซฮอล์ 95 เก็บ 30 สตางค์ต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 กองทุนฯ ต้องอุดหนุนอีกลิตรละ 20 สตางค์ ขณะที่ไบโอดีเซลหรือบี 5 ต้องอุดหนุนอีกลิตรละ 10 สตางค์
จะเห็นว่าในปี 2550 แม้ว่าคนไทยจะเผชิญวิกฤติน้ำมันแพงแต่จะต่างกับวิกฤติน้ำมันในช่วงปี 2547 อย่างสิ้นเชิงที่ ณ ขณะนั้นคนไทยยังไม่มีพลังงานทดแทนทั้งแก๊สโซฮอล์ และบี 5 ไว้เป็นตัวเลือกในการใช้มากพอเช่นปี 2550 โดยรัฐใช้กลไกเงินกองทุนฯอุดหนุนราคาพลังงานทดแทนส่งผลให้แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 4 บาท ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 91 ต่ำกว่าเบนซิน 91 ลิตรละ 3.50 บาท บี 5 ต่ำกว่าดีเซล 1 บาทต่อลิตร ดังนั้น จะเห็นราคาพลังงานเฉลี่ยแล้วไม่ได้ต่างจากปี 2549 มากนัก
ก๊าซหุงต้มขึ้น 1.20 บาท/กก.
ผลพวงจากน้ำมันราคาสูงทำให้รถยนต์โดยเฉพาะแท็กซี่หันมาใช้ก๊าซหุงต้มมากขึ้นและหากปล่อยไว้อาจทำให้การผลิตก๊าซหุงต้มของไทยไม่พอกับความต้องการต้องนำเข้ามาในราคาตลาดโลกที่สูง รัฐจึงตัดสินใจ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนและรถยนต์อีก 1.20 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2550 เป็นต้นไปส่งท้ายปี 2550 ซึ่งเป็นไปตามแผนการทยอยลอยตัวก๊าซหุงต้มซึ่งครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นเนื่องจากรัฐยกเลิกการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดเนื่องจากภาครัฐตระหนักถึงความไม่เป็นธรรมกรณีที่ทุกลิตรที่คนใช้น้ำมันเติมจะต้องถูกหักไปช่วยเหลือผู้ที่ใช้ราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นสินค้าการเมืองที่รู้กันดีว่าโครงสร้าง บิดเบือนแต่ก็เป็นการหาเสียงหรือประชานิยมกับประชาชน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงโครงสร้างราคาที่แท้จริงยังพบว่าคนไทยยังใช้ก๊าซหุงต้มต่ำกว่าตลาดโลกอยู่ดีโดยกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นต้องไม่เกิน 320 เหรียญต่อตันทั้งที่ตลาดโลกสูงถึง 750- 800 เหรียญต่อตันแล้วและในปี 2551-2552 ได้กำหนดที่จะค่อยๆ เพิ่มราคาหน้าโรงกลั่นที่จะอิงราคาโลกประมาณ 40% เนื่องจากเล็งเห็นว่าก๊าซส่วนหนึ่งมาจากอ่าวไทยจึงไม่จำเป็นต้องสะท้อนต้นทุนต่างประเทศทั้งหมดแต่ราคาจะมีการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น
สินค้าอั้นไม่ไหวขึ้นแล้วหลายรายการ
ทุกข์ของประชาชนในปีนี้ ไม่เพียงแต่ต้องบริโภคพลังงานในราคาที่แพงขึ้น ราคาก๊าซหุงต้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะราคาสินค้าที่ปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะพยายามที่จะตรึงราคาให้นานที่สุดก็ตาม
ก่อนที่จะมีการปฎิรูปการปกครองวันที่ 19 ก.ย.2549 มีสินค้า 14 รายการที่ยื่นขอปรับราคามายังกรมการค้าภายใน ได้แก่ ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ ปุ๋ยเคมี กาแฟผงสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ยารักษาโรค น้ำมันพืช ผงซักฟอก ยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ผลิตภัณฑ์ล้างจาน น้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์นม (นมผง นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยว) และรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกเล็ก
หลังจากมีรัฐบาลใหม่ชุดขิงแก่ กระทรวงพาณิชย์โชคดีอยู่อย่างหนึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ก็คือ ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ห้ามไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ แต่หลังจากนั้น ประมาณช่วงกลางปีก็ได้มีการเสนอยกเลิกประกาศคปค.ฉบับดังกล่าว จึงเป็นการปลดแอก ผู้ผลิตจึงทำเรื่องมายังกรมการค้าภายในของปรับขึ้นราคากันยกใหญ่
สินค้าที่ขอปรับขึ้นราคาหลังยกเลิกประกาศคปค. ก็ยังคงอยู่ในกลุ่ม 14 รายการข้างต้น แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ดีเล แทคติก ในการชะลอการปรับราคา โดยขอให้ผู้ผลิตที่ต้องการขอปรับราคาสินค้ายื่นต้นทุนมาให้พิจารณาใหม่ พร้อมกับจัดประชุมโดยเชิญผู้ประกอบการสินค้าต่างๆ มาขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าไปจนถึงปีใหม่ แต่เปิดเงื่อนไขให้ว่า ใครต้นทุนเพิ่มจริง สามารถยื่นขอปรับราคามาได้ โดยยึดหลักความเหมาะสม เป็นธรรม และปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่ทว่า กลยุทธ์นี้ก็ใช้ได้เฉพาะบางสินค้า แต่บางสินค้าก็อั้นราคาต่อไปไม่ไหว เริ่มจากมาม่า สินค้าวัดดัชนีเศรษฐกิจคนไทยอีกรายการหนึ่ง ที่ขอปรับราคาก่อนถึงปีใหม่ซองละ 1 บาท ตามต่อด้วยน้ำมันพืชทั้งน้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลือง ที่ให้ปรับราคาได้สูงถึงขวดละ 5.50 บาท ซึ่งเดิมให้ปรับเป็น 2 ช่วงๆ แรก 3 บาท และอีก 2.50 บาทหลังปีใหม่ แต่ผู้ผลิตยื่นอุทธรณ์ว่าแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว สุดท้ายก็ให้ปรับราคาเต็มเพดานตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้น้ำมันปาล์ม ปรับขึ้นจากขวดละ (1 ลิตร) 41 บาท ราคาใหม่เป็นขวดละ 43.50 บาท และน้ำมันพืชจากขวดละ 43 บาท ขึ้นเป็น 45.50 บาท
จึงถือได้ว่าปีนี้ ประชาชนยังโชคดีพอสมควร เพราะมีสินค้าที่ปรับราคาขึ้นไปเพียงไม่กี่รายการ โดยรายการที่เหลือผู้ผลิตยอมให้ความร่วมมือในการปรับขึ้นราคาหลังจากพ้นปีใหม่ไปแล้ว
โชคดีค่าไฟลดตลอดปี 2550
ปีนี้ยังมีโชคดีซ้ำสอง แม้ว่าคนไทยจะรับข่าวร้ายทั้งน้ำมันที่ราคาสูง การปรับขึ้นก๊าซหุงต้ม และราคาสินค้าแพงขึ้น แต่กระนั้นค่าไฟฟ้าที่คนไทยทุกครัวเรือนใช้นั้นภาพรวมในปี 2550 ราคาค่าไฟกลับตรงกันข้ามกับราคาน้ำมันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft ที่จะปรับทุก 4 เดือนเริ่มช่วงมิ.ย.49-ม.ค. 50 ปรับลด 7.02 สตางค์ต่อหน่วยรอบ ก.พ.-พ.ค. 50 ปรับลดลงอีก 5 สตางค์ต่อหน่วย รอบมิ.ย.-ก.ย.50 ปรับลดอีก 5 สตางค์ต่อหน่วย รอบต.ค.50-ม.ค. 51 ปรับลด 2.31 สตางค์ต่อหน่วย
สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าไฟปรับลดตลอดปีมาจาก 1. ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มไม่มากนักหากเทียบกับน้ำมันจะย้อนหลังไป 6 เดือนหรือ 1 ปีและสะท้อนในเนื้อก๊าซเพียง 25-30% เท่านั้น 2.ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าทำให้สามารถลดการใช้จ่ายได้ค่อนข้างสูง 3.ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลให้การใช้ไฟไม่ได้เพิ่มสูงผิดปกติจนนำไปสู่การผลิตไฟจากน้ำมันเตา 4.ปริมาณน้ำฝนที่ค่อนข้างมากจึงทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือกฟผ.ผลิตไฟจากเขื่อนที่มีต้นทุนต่ำ 5. โรงไฟฟ้าถ่านหินจากบีแอลซีพีเข้าระบบช่วงต้นปีทำให้ต้นทุนค่าไฟต่ำ
บทสรุปแล้วตลอดปี 2550 คนไทยต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำมันแพงอีกปีหนึ่งตามภาวะตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก พร้อมๆ กับการปรับขึ้นราคาสินค้าบางรายการ และการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มฉลองท้ายปี แต่ก็ยังมีค่าไฟที่ปรับลดและพลังงานทดแทนเป็นทางเลือกในการช่วยลดภาระรายจ่าย แต่ตราบใดที่ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกยังคงสูง การผลิตเริ่มถดถอย ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าก็ยังต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำมันอยู่ร่ำไป