xs
xsm
sm
md
lg

สคิบตั้งเป้าสินเชื่อโต12% หวังปีหน้าศก.เอื้อ-รุกปล่อยกู้รายย่อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - สคิบประกาศแผนปี 51 จับมือบริษัทในเครือเดินหน้าลุยธุรกิจ หลังซุ่มปรับโครงสร้างองค์กรมาเกือบทั้งปี ตั้งเป้าปล่อยกู้เพิ่ม 12%หรือ 3 หมื่นล้าน เน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีและรายย่อยเป็น 58% และขยายรายได้ค่าฟีโต 22% ยันไม่มีสิทธิ์ในการเลือกหาผู้ร่วมทุน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกองทุนฟื้นฟูแต่มั่นใจต้องเป็นผลดีต่อธนาคาร-ระบบโดยรวม

นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนงานในปี 2551 ว่า ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวในระดับ 12% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อรวม 240,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2550 ที่ขยายตัว 6% โดยจะมุ่งเน้นขยายสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)และสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 58%ของสินเชื่อรวมจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 51% รวมทั้งปรับโครงสร้างเงินฝาก โดยเพิ่มสัดส่วนบัญชีเงินฝากเดินสะพัดและเงินฝากออมทรัพย์เป็น 32%ของเงินฝากรวมที่อยู่ในระดับ 360,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 30% ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารต้นทุนมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

ในส่วนของรายได้จากค่าธรรมเนียมในปีหน้าตั้งเป้าขยายตัวไว้ที่ระดับ 22% จากในปีนี้ที่รายได้ส่วนดังกล่าวไม่ขยายตัว และบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)นั้น ธนาคารตั้งเป้าลดสัดส่วนให้เหลือ 4.5%จากปัจจุบันที่ในระดับ 7%กว่าโดยการเร่งปรับโครงสร้างหนี้และตัดขายออก ซึ่งขณะนี้ธนาคารก็อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหนี้เอ็นพีแอลบางส่วนออกไป

"ปีหน้าเมื่อทุกอย่างกระเตื้อง ขณะที่ธนาคารเองก็ได้ใช้เวลาในปีนี้ปรับตัวมาระดับหนึ่งแล้ว ก็เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจของธนาคารจะดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านของรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ธนาคารมีสัดส่วนแค่ 13-14%ของรายได้รวม จึงทำให้ยังมีช่องทางขยายตัวอีกมาก โดยใช้นโยบาย scib family ที่พยายามเชื่อมโยงธุรกิจของบริษัทในเครือธนาคารได้เอื้อประโยชน์ต่อกันมากที่สุดเป็นตัวช่วยเสริม"นายชัยวัฒน์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 นั้น ธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองครบถ้วนตามมาตรฐานบัญชี IAS 39 แล้ว โดยภายหลังการตั้งสำรองธนาคารมีเงินกองทุน 12.86% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 11.78% ดังนั้น จึงเชื่อว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ผลการดำเนินงานของธนาคารจะดีขึ้น ส่วนหนี้เอ็นพีแอล(Gross NPL)อยู่ในระดับ 8.07% ซึ่งเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงจากอยู่ในระดับ 4.7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ลูกค้ารายใหญ่บางรายประสบปัญหาในการจ่ายชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ได้เร่งปัญหาต่างๆโดยการติดตามดูแลลูกหนี้ที่มีปัญหาอย่างใกล้ และเชื่อว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง ก็คงจะไม่ทำให้หนี้เอ็นพีแอลของธนาคารเพิ่มขึ้นอีก

ด้านการบริหารบริษัทในเครือนั้น หลังจากที่ธนาคารได้นำนโยบาย scib family มาใช้ประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่าสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น อาทิ บริษัท Max Life ประกันชีวิต มียอดขายประกันเพิ่มขึ้นมากผ่านช่องทางการขายผ่านธนาคาร ขณะที่บริษัทราชธานี ลิสซิ่งได้มีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารอย่างเต็มรูปแบบแล้ว จากเดิมที่ไม่เคยทำธุรกรรมร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจได้เต็มที่ในปีหน้า

ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารปัจจุบัน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฯ)ถือหุ้น 47.58% นักลงทุนต่างชาติ 25% นักลงทุนต่างชาติที่ถือผ่าน NDVR 15% และอื่น 11%กว่า ซึ่งตามนโยบายของกองทุนฯแล้วจะมีการขายหุ้นของธนาคารออกมาในระยะเวลาและราคาที่เหมาะสม แต่ยังไม่ได้มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน

นายชัยวัฒน์กล่าวว่า นับแต่รับตำแหน่งมาเกือบปีได้มีการหารือกับกองทุนฯในการเรื่องการขายหุ้นหรือหาพันธมิตรใหม่ 2 ครั้ง ซึ่งทางกองทุนฯเองก็มองว่าธนาคารมีความพร้อมที่เป็นธนาคารพาณิชย์เอกชน แต่ก็ไม่ได้เร่งร้อนในการขายหุ้น และอยากให้ธนาคารได้เตรียมความพร้อมตั้งแต่เบื้องต้นในการบริหารงานร่วมกับพันธมิตรที่จะเข้ามา โดยธนาคารก็ได้จ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยแล้ว

ทั้งนี้ กองทุนฯได้มีหลักในการขายหุ้นของธนาคาร 3 ข้อใหญ่ ก็คือ การขายจะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส รวมทั้งเป็นการขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่จะสามารถทำประโยชน์ให้กับธนาคารและเป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงินโดยรวมต่อไป และหุ้นที่จะขายออกไปต้องได้ราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งอาจไม่ใช่ราคาสูงสุดก็ได้ แล้วก็ไม่ได้กำหนดที่จะต้องขายหุ้นธนาคารทั้ง 3 แห่งที่กองทุนฯถืออยู่พร้อมๆกัน แล้วแต่ธนาคารแห่งใดจะพร้อม ซึ่งเมื่อธนาคารนครหลวงไทยพร้อมก็อาจจะเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่กองทุนฯขายหุ้นออกไป ซึ่งก็ยังมีเวลาจนกว่ากองทุนฯจะเลิกดำเนินการไปในปี 2556

"ธนาคารไม่มีสิทธิ์เลือกว่าใครจะมาเป็นพาร์ตเนอร์ สิ่งที่ทำให้ได้ก็คือทำตัวเองให้พร้อมที่สุดเมื่อกองทุนฯขายหุ้นไม่ว่าจะขายให้นักลงทุนไทยหรือต่างประเทศ แต่สิ่งที่อยากได้ก็คืออยากได้พันธมิตรที่มีอะไรเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีหรือธุรกิจอื่นๆ"นายชัยวัฒน์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น