ศาลจำคุก “สมหมาย ภาษี” รมช.คลังกับพวกรวมคนละ 3 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีพักงานอดีตรอง ผอ.บทด.มีเจตนาไม่สุจริต สกัดการขุดคุ้ย-เปิดโปงความบกพร่องภายในบริษัท แต่ศาลปราณีในฐานะเคยทำความดี คง "จำคุกคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา" เจ้าตัวยื่นประกัน-อุทธรณ์ พร้อมพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีตามกฎหมาย รธน. บอกดีใจไม่ต้องยุ่งเกี่ยวการเมืองอีก "ฉลองภพ" ยันไม่กระทบต่อกฎหมายทางการเงินที่คั่งค้าง สนช.
วานนี้ (13 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่นายทัศพงศ์ วิชชุประภา อดีต รองผู้อำนวยการ บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ซึ่งเคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตประธานสภากรรมการบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 และนายสมพร แก้วงาม, นายนพพร เทพสิทธา, นายจิระเสกข์ ตรีเมธสุนทร และนายเตชะ บุณยะชัย กรรมการบริษัทไทยเดินเรือ ฯ เป็นจำเลยที่ 2-5 ร่วมกันเป็นจำเลย ตามลำดับ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษฐานกระทำผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้วเห็นว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ได้ตรวจพบรายรับรายจ่ายที่ไม่ชอบด้วยระเบียบของบริษัท ฯ และไม่เป็นไปตามสัญญาเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินให้แก่คู่สัญญาคือ บริษัท อี พี แคร์เออร์ ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ จึงทำรายงานเป็นหนังสือถึงความไม่ถูกต้อง ถึงผู้อำนวยการบริษัท ฯ ให้แก้ไขแต่บริษัท ฯ ก็มิได้มีการแก้ไขตามรายงานของโจทก์ แต่กลับมีคำสั่งยกเลิกมิให้โจทก์รักษาการตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน โจทก์จึงทำหนังสือส่งมอบงานในตำแหน่งดังกล่าวต่อผู้อำนวยการบริษัท ฯ และได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของงานที่เกิดขึ้นรวมทั้งเรื่องการเบิกจ่ายเงินและรับเงินด้วยพร้อมสำเนาหนังสือให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ,คณะกรรมการตรวจสอบภายในรัฐวิสาหกิจ ,รองผู้อำนวยการปฏิบัติการและหัวหน้ากองต่าง ๆ ของบริษัท ฯ ที่เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัท ฯ และป้องกันว่าโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
และต่อมาโจทก์ยังได้ทำรายงานเพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 2 เกี่ยวกับการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสของการทำธุรกิจเรือ “โรโร” และ “เรือ ฟีดเดอร์” ที่จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นผู้อนุมัติให้เรือทั้งสองลำดำเนินธุรกิจได้ซึ่งมีความเสียหายเกิดขึ้นประมาณ 100 ล้านบาท ถึงรองประธานสภากรรมการบริษัทและกรรมการสภากรรมการบริษัททุกคนโดยชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดข้างต้นซ้ำอีกพร้อมกับสำเนาให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทราบ หลังจากโจทก์ทำหนังสือดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พ.ย.47 สภากรรมการบริษัทซึ่งมีพวกจำเลย ได้มีมติให้พักงานโจทก์และผู้อำนวยการบริษัท ฯ โดยอาศัยบัตรสนเท่ห์ ฉบับเดียวที่กล่าวหาโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ส่วนตัวและนำไปให้ครอบครัวใช้ ทั้ง ๆ ที่นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมช.คมนาคม ได้เกษียรสั่งในบัตรสนเท่ห์เอกสาร ถึงผู้อำนวยการบริษัท ฯ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานผลภายใน 15 วัน ผู้อำนวยการบริษัท ฯ ได้เสนอเรื่องต่อให้จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานสภากรรมการบริษัททราบจำเลยที่ 1 ยังได้สั่งให้ผู้อำนวยการบริษัทดำเนินการสอบข้อเท็จจริงในทางลับด้วยซึ่งล้วนอยู่ในขั้นตอนสอบข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามบัตรสนเท่ห์หรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกมีมติสั่งพักงานโจทก์ระหว่างระหว่างรอผลการสอบข้อเท็จจริงโดยปราศจากหลักฐานชัดแจ้งว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ผิดวินัยร้ายแรงเป็นการกระทำที่มิชอบ
**ระบุพักงานผู้บริสุทธิ์จำคุก 2 ปี
ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้สถานเดียวว่า จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาไม่สุจริตต้องการให้โจทก์พ้นจากงานในหน้าที่ในบริษัทฯ ไปเสีย เพื่อป้องกันมิให้โจทก์ขุดคุ้ยหรือเปิดโปงการดำเนินกิจการบริษัทฯ ที่บกพร่องหรือที่ไม่โปร่งใสอีกต่อไปและเพื่อปกปิดการบริหารงานของจำเลยที่ 1 กับพวก ที่บกพร่องหรือผิดพลาดหรือที่ไม่โปร่งใสนั่นเอง นั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งหมด จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริษัทไทยเดินเรือ ฯได้นั้น บริษัทฯ จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ จึงไว้วางใจให้เข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทฯ สำหรับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุก็เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ฟังได้ว่าจะต้องรับราชการด้วยความอุตสาหะวิริยะและมีความรู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบในเรื่องกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์หนักแน่นมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกมีเจตนาไม่สุจริต ร่วมกันกลั่นแกล้งโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นความผิดฐานเป็นพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด พยานหลักฐานของจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พิพากษาว่า จำเลยทั้งห้า มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี
อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 เคยรับราชการด้วยความอุตสาหะวิริยะมานานจนได้รับตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง ส่วนจำเลยที่ 2 - 5 เป็นกรรมการสภาบริษัทไทยเดินเรือ ฯ รักษาผลประโยชน์ของบริษัทในเรื่องอื่นๆ พอสมควร นับได้ว่าเคยมีคุณงามความดีมาก่อน จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าได้กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ที่พยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองไม่ไห้ได้รับความเสียหาย พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงไม่รอการลงโทษจำคุก ต่อมาญาติของพวกจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์หลายรายการ อาทิ สมุดเงินฝาก ธนาคาร โฉนดที่ดิน ขอประกันตัวจำเลย โดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้จำเลยมีประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท
**พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีตาม รธน.
วันเดียวกัน นายสมหมายแถลงข่าวได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังจากที่เดินทางกลับมายังกระทรวงการคลังว่า สิ่งที่จะดำเนินการเป็นสิ่งแรกนับจากนี้คือ การยื่นประกันตัว และดำเนินการอุทธรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 182 ระบุว่า รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อศาลตัดสินโทษจำคุก ดังนั้นตำแหน่งรมช.คลังถือว่าสิ้นสภาพตั้งแต่มีคำพิพากษาออกมา
“ระเบียบของบริษัทกำหนดไว้ว่าถ้าจะพักงานรองผู้อำนวยการต้องดำเนินการโดยผู้อำนวยการเท่านั้น แต่ตอนนั้นผมเป็นประธานจึงคิดว่าน่าจะทำได้ จึงสั่งพักงานด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่อให้องค์กรดีขึ้น” นายสมหมายกล่าว
โดยหลังจากนี้จะสรุปเรื่องราวต่างๆ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังได้รับทราบ ส่วนงานที่รับผิดชอบในกระทรวงการคลัง เช่น งานกฎหมายการเงินต่างๆ นั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากสามารถผลักดันกฎหมายผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาถึงสาระ 2 วาระ 3 แล้ว
"สิ่งที่ผมห่วงในกระทรวงการคลังคงเป็นเรื่องข้าราชการ และบุคคลากรในกระทรวง ที่ผมถือว่าปีนี้เป็นปีกรรมเวรของกระทรวงการคลังที่ต้องเจอเรื่องต่างๆ เข้ามากมาย ทั้งเรื่องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลปกครอง เรื่องการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ผมอยากเห็นการจัดระเบียบข้าราชการกระทรวงการคลัง โดยผู้นำที่จะมีขึ้นในอนาคต อยากให้อบรมบุคคลากรให้เป็นไปในทิศทางให้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อบริการประชาชน ซึ่งเรื่องการฟื้นภาพลักษณ์เหล่านี้ก็ต้องใช้เวลา" นายสมหมายกล่าว
ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับราย งานเรื่องดังกล่าว แต่หากนายสมหมายต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็จะไม่ส่งผล กระทบต่อกฎหมายทางการเงินที่คั่งค้างการพิจารณาของสนช. เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องทางการเงิน มีคณะทำงานที่สามารถเป็นผู้ชี้แจงได้
**“สุรยุทธ์” ขอคุยฉลองภพก่อน
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ชัดเจนโดยไม่ต้องยื่นใบลาออกอะไรทั้งสิ้น ถือว่าพ้นไปโดยอัตโนมัติ เมื่อศาลมีคำสั่ง ส่วนการจะตั้งรัฐมนตรีใหม่มาแทนหรือไม่นั้น ต้องขอคุยกับ รมว.คลัง ก่อน แต่ตอนนี้เหลือเวลาไม่มาก และไม่ค่อยมีอะไรที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากนัก
**เส้นทาง รมช.คลังก่อนเจอวิบากกรรม
สำหรับนายสมหมาย จบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Vanderbilt, Tennessee, U.S.A. เริ่มงานที่กระทรวงการคลังในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านเงินกู้ สศค. ต่อมาปี 2540 ขึ้นเป็นผู้อำนวยการ สศค. ปี 2541 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง นอกจากเป็นประธาน บทด.ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย ก่อนลาออกเมื่อรับตำแหน่ง รมช.คลัง ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2549 นอกจากนี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมายังถูก ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลการถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5% และมีชื่อในคณะกรรมการบริษัท แต่เจ้าตัวไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่า ไม่มีการจ่ายเงินร่วมหุ้น ไม่เคยเข้าประชุมหรือรับเงินปันผลและพยายามขอยกเลิกการเป็นกรรมการแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อผู้เกี่ยวข้องได้.
วานนี้ (13 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่นายทัศพงศ์ วิชชุประภา อดีต รองผู้อำนวยการ บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ซึ่งเคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตประธานสภากรรมการบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 และนายสมพร แก้วงาม, นายนพพร เทพสิทธา, นายจิระเสกข์ ตรีเมธสุนทร และนายเตชะ บุณยะชัย กรรมการบริษัทไทยเดินเรือ ฯ เป็นจำเลยที่ 2-5 ร่วมกันเป็นจำเลย ตามลำดับ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษฐานกระทำผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้วเห็นว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ได้ตรวจพบรายรับรายจ่ายที่ไม่ชอบด้วยระเบียบของบริษัท ฯ และไม่เป็นไปตามสัญญาเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินให้แก่คู่สัญญาคือ บริษัท อี พี แคร์เออร์ ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ จึงทำรายงานเป็นหนังสือถึงความไม่ถูกต้อง ถึงผู้อำนวยการบริษัท ฯ ให้แก้ไขแต่บริษัท ฯ ก็มิได้มีการแก้ไขตามรายงานของโจทก์ แต่กลับมีคำสั่งยกเลิกมิให้โจทก์รักษาการตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน โจทก์จึงทำหนังสือส่งมอบงานในตำแหน่งดังกล่าวต่อผู้อำนวยการบริษัท ฯ และได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของงานที่เกิดขึ้นรวมทั้งเรื่องการเบิกจ่ายเงินและรับเงินด้วยพร้อมสำเนาหนังสือให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ,คณะกรรมการตรวจสอบภายในรัฐวิสาหกิจ ,รองผู้อำนวยการปฏิบัติการและหัวหน้ากองต่าง ๆ ของบริษัท ฯ ที่เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัท ฯ และป้องกันว่าโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
และต่อมาโจทก์ยังได้ทำรายงานเพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 2 เกี่ยวกับการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสของการทำธุรกิจเรือ “โรโร” และ “เรือ ฟีดเดอร์” ที่จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นผู้อนุมัติให้เรือทั้งสองลำดำเนินธุรกิจได้ซึ่งมีความเสียหายเกิดขึ้นประมาณ 100 ล้านบาท ถึงรองประธานสภากรรมการบริษัทและกรรมการสภากรรมการบริษัททุกคนโดยชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดข้างต้นซ้ำอีกพร้อมกับสำเนาให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทราบ หลังจากโจทก์ทำหนังสือดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พ.ย.47 สภากรรมการบริษัทซึ่งมีพวกจำเลย ได้มีมติให้พักงานโจทก์และผู้อำนวยการบริษัท ฯ โดยอาศัยบัตรสนเท่ห์ ฉบับเดียวที่กล่าวหาโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ส่วนตัวและนำไปให้ครอบครัวใช้ ทั้ง ๆ ที่นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมช.คมนาคม ได้เกษียรสั่งในบัตรสนเท่ห์เอกสาร ถึงผู้อำนวยการบริษัท ฯ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานผลภายใน 15 วัน ผู้อำนวยการบริษัท ฯ ได้เสนอเรื่องต่อให้จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานสภากรรมการบริษัททราบจำเลยที่ 1 ยังได้สั่งให้ผู้อำนวยการบริษัทดำเนินการสอบข้อเท็จจริงในทางลับด้วยซึ่งล้วนอยู่ในขั้นตอนสอบข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามบัตรสนเท่ห์หรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกมีมติสั่งพักงานโจทก์ระหว่างระหว่างรอผลการสอบข้อเท็จจริงโดยปราศจากหลักฐานชัดแจ้งว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ผิดวินัยร้ายแรงเป็นการกระทำที่มิชอบ
**ระบุพักงานผู้บริสุทธิ์จำคุก 2 ปี
ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้สถานเดียวว่า จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาไม่สุจริตต้องการให้โจทก์พ้นจากงานในหน้าที่ในบริษัทฯ ไปเสีย เพื่อป้องกันมิให้โจทก์ขุดคุ้ยหรือเปิดโปงการดำเนินกิจการบริษัทฯ ที่บกพร่องหรือที่ไม่โปร่งใสอีกต่อไปและเพื่อปกปิดการบริหารงานของจำเลยที่ 1 กับพวก ที่บกพร่องหรือผิดพลาดหรือที่ไม่โปร่งใสนั่นเอง นั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งหมด จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริษัทไทยเดินเรือ ฯได้นั้น บริษัทฯ จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ จึงไว้วางใจให้เข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทฯ สำหรับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุก็เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ฟังได้ว่าจะต้องรับราชการด้วยความอุตสาหะวิริยะและมีความรู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบในเรื่องกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์หนักแน่นมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกมีเจตนาไม่สุจริต ร่วมกันกลั่นแกล้งโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นความผิดฐานเป็นพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด พยานหลักฐานของจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พิพากษาว่า จำเลยทั้งห้า มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี
อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 เคยรับราชการด้วยความอุตสาหะวิริยะมานานจนได้รับตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง ส่วนจำเลยที่ 2 - 5 เป็นกรรมการสภาบริษัทไทยเดินเรือ ฯ รักษาผลประโยชน์ของบริษัทในเรื่องอื่นๆ พอสมควร นับได้ว่าเคยมีคุณงามความดีมาก่อน จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าได้กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ที่พยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองไม่ไห้ได้รับความเสียหาย พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงไม่รอการลงโทษจำคุก ต่อมาญาติของพวกจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์หลายรายการ อาทิ สมุดเงินฝาก ธนาคาร โฉนดที่ดิน ขอประกันตัวจำเลย โดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้จำเลยมีประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท
**พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีตาม รธน.
วันเดียวกัน นายสมหมายแถลงข่าวได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังจากที่เดินทางกลับมายังกระทรวงการคลังว่า สิ่งที่จะดำเนินการเป็นสิ่งแรกนับจากนี้คือ การยื่นประกันตัว และดำเนินการอุทธรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 182 ระบุว่า รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อศาลตัดสินโทษจำคุก ดังนั้นตำแหน่งรมช.คลังถือว่าสิ้นสภาพตั้งแต่มีคำพิพากษาออกมา
“ระเบียบของบริษัทกำหนดไว้ว่าถ้าจะพักงานรองผู้อำนวยการต้องดำเนินการโดยผู้อำนวยการเท่านั้น แต่ตอนนั้นผมเป็นประธานจึงคิดว่าน่าจะทำได้ จึงสั่งพักงานด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่อให้องค์กรดีขึ้น” นายสมหมายกล่าว
โดยหลังจากนี้จะสรุปเรื่องราวต่างๆ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังได้รับทราบ ส่วนงานที่รับผิดชอบในกระทรวงการคลัง เช่น งานกฎหมายการเงินต่างๆ นั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากสามารถผลักดันกฎหมายผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาถึงสาระ 2 วาระ 3 แล้ว
"สิ่งที่ผมห่วงในกระทรวงการคลังคงเป็นเรื่องข้าราชการ และบุคคลากรในกระทรวง ที่ผมถือว่าปีนี้เป็นปีกรรมเวรของกระทรวงการคลังที่ต้องเจอเรื่องต่างๆ เข้ามากมาย ทั้งเรื่องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลปกครอง เรื่องการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ผมอยากเห็นการจัดระเบียบข้าราชการกระทรวงการคลัง โดยผู้นำที่จะมีขึ้นในอนาคต อยากให้อบรมบุคคลากรให้เป็นไปในทิศทางให้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อบริการประชาชน ซึ่งเรื่องการฟื้นภาพลักษณ์เหล่านี้ก็ต้องใช้เวลา" นายสมหมายกล่าว
ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับราย งานเรื่องดังกล่าว แต่หากนายสมหมายต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็จะไม่ส่งผล กระทบต่อกฎหมายทางการเงินที่คั่งค้างการพิจารณาของสนช. เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องทางการเงิน มีคณะทำงานที่สามารถเป็นผู้ชี้แจงได้
**“สุรยุทธ์” ขอคุยฉลองภพก่อน
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ชัดเจนโดยไม่ต้องยื่นใบลาออกอะไรทั้งสิ้น ถือว่าพ้นไปโดยอัตโนมัติ เมื่อศาลมีคำสั่ง ส่วนการจะตั้งรัฐมนตรีใหม่มาแทนหรือไม่นั้น ต้องขอคุยกับ รมว.คลัง ก่อน แต่ตอนนี้เหลือเวลาไม่มาก และไม่ค่อยมีอะไรที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากนัก
**เส้นทาง รมช.คลังก่อนเจอวิบากกรรม
สำหรับนายสมหมาย จบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Vanderbilt, Tennessee, U.S.A. เริ่มงานที่กระทรวงการคลังในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านเงินกู้ สศค. ต่อมาปี 2540 ขึ้นเป็นผู้อำนวยการ สศค. ปี 2541 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง นอกจากเป็นประธาน บทด.ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย ก่อนลาออกเมื่อรับตำแหน่ง รมช.คลัง ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2549 นอกจากนี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมายังถูก ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลการถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5% และมีชื่อในคณะกรรมการบริษัท แต่เจ้าตัวไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่า ไม่มีการจ่ายเงินร่วมหุ้น ไม่เคยเข้าประชุมหรือรับเงินปันผลและพยายามขอยกเลิกการเป็นกรรมการแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อผู้เกี่ยวข้องได้.


