ถ้าผมไม่เขียนเรื่องนี้ ผมคิดว่าชีวิตผมคงจะอยู่ต่อไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนความรู้สึกในความเป็นผู้เป็นคนที่ผมมีอยู่มานานพอสมควร เพราะเรื่องที่กระทบกระเทือนนั้น เป็นเรื่องไร้สาระไร้แก่นสารที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ต้องทนฟังมาเป็นเวลาแรมปี นั่นคือ เรื่องที่มีผู้กล่าวกันว่าเมืองไทยนั้นจะต้องเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็นการปกครองระบบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลแบบที่สหรัฐอเมริกาใช้ปกครองประเทศอยู่ หมายถึงว่าคนไทยจะต้องล้มล้างระบบพระมหากษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองติดต่อกันมาเป็นร้อยปีพันปีนี้เสีย นับตั้งแต่มีการสร้างชาติไทยขึ้นมาเมื่อหลายพันปีที่แล้ว
ถ้าหากว่าเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบพระมหากษัตริย์เป็นระบบประธานาธิบดีได้อย่างที่มันวางแผนไว้ พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ของเราก็จะถูกทำลาย และระบบประธานาธิบดีของมันก็จะเข้ามาแทนวัฒนธรรมประเพณี และคุณงามความดีใดๆ ที่เมืองไทยเคยมีเคยเป็นมาภายใต้ระบบพระมหากษัตริย์ก็จะถูกล้มล้าง ระบอบประชาธิปไตยหรือระบบปล้นชาติปล้นแผ่นดินภายใต้ประธานาธิบดีของมันซึ่งก็จะเข้ามาทำหน้าที่แทน พร้อมด้วยความเจริญรุ่งเรืองประเภทใหม่คือ การคอร์รัปชันอันใหญ่หลวงที่มันทำกันมาแล้ว
เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือความเท็จไม่มีใครรู้ แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้มีการดำเนินการในรูปแบบต่างๆ ที่จะให้เกิดเป็นความจริงขึ้น มีการกระทำและการพูด การสร้างข่าว สร้างสถานการณ์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามจุดมุ่งหมายนั้นโดยการดำเนินการต่างๆ แม้แต่การจัดประชุมกันระหว่างประเทศอย่างเปิดเผยที่รู้กันทั่วไป
เป็นอันแน่นอนว่าประเทศไทยนั้นจะต้องเลิกล้มระบบพระมหากษัตริย์ และตั้งระบบประธานาธิบดีขึ้นมาปกครองประเทศไทยแทนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง!
แม้ว่าเมืองไทยจะมีคนรู้ มีคนเข้าใจกันทั้งชาติ เฉพาะทางรัฐบาล ตำรวจ ทหารที่มีหน้าที่ปกครองประเทศ ก็ยกพวกออกมาประกาศว่าพวกตนเห็นด้วยกับความไม่พอใจของประชาชนในเรื่องนี้ถึงขนาดลงทุนปฏิวัติเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมาเพื่อขับไล่บรรดาชนชั้นปกครองแบบใหม่ของพวกสัตว์นรกพวกนี้ออกไปจากบ้านเมือง โดยทำการปฏิวัติขึ้นมาทำหน้าที่ปกครองขับไล่ออกไปให้พ้นแผ่นดินไทยอย่างที่เห็นๆ กันอยู่
แต่การดำเนินการปฏิวัติของคนไทยพวกนี้ก็เป็นเพียงการหลอกลวงประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และมุ่งหน้าแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองให้มากและมั่นคงขึ้นเท่านั้น
ไม่มีใครทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อแก้ปัญหาการทรยศคิดคดต่อแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่มันกลับร่วมมือกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ได้เสียกินด้วยกัน
แทนการกำราบปราบปรามหรือการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติอย่างรุนแรงเป็นลำดับมานั้น มันเป็นคนพวกเดียวกัน ทำทุกอย่างด้วยความสมานฉันท์ซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะเป็นเล่ห์กระเท่ห์หรือด้วยการหลอกลวงใดๆ ในการที่จะทำลายสถาบันของบ้านเมืองลงให้ได้ มันก็ทำตัวเป็นเครื่องมือของกันและกัน ซึ่งก็ช่วยให้เหตุการณ์เกิดความแตกแยกในหมู่เจ้าของชาติที่จงรักภักดีกับนรกพวกนั้น จนกลายเป็นชนวนรุนแรงยิ่งขึ้นในรูปของการเป็นตัวแทนหรือเป็นนอมินีของกันและกันทีเดียว
ถึงกับมีการแสดงให้เห็นอย่างเปิดเผยว่าบรรดาอ้ายกากเจ้าของแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีเสรีภาพ มีโอกาสในการโฆษณาอุดมการณ์ของตนที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยสะท้านหวั่นไหวไปทั่วโลก โดยไม่มีใครต่อต้านทัดทานใดๆ ได้
มันร่วมมือร่วมใจกันเอาชาติเอาประเทศไปหากินถึงกับประกาศว่าพร้อมที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ประกาศให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ซึ่งในบรรดานักการเมืองที่คาดหมายกันหนักหนาว่าจะต้องขึ้นมาปกครองแทนหรือมาจัดตั้งรัฐบาลประธานาธิบดีนั้นความจริงก็เป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการส่วนใหญ่ ยกเว้นกลุ่มนักกฎหมายและตุลาการ นอกนั้นเป็นคนของพวกกลุ่มนั้นเกือบทั้งหมดซึ่งแสดงออกมาทั้งในรูปตัวแทนหรือที่เรียกว่า นอมินี
ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประธานาธิบดีโจรกันอย่างเปิดเผยและท้าทาย จัดตั้งพรรคการเมืองของตนขึ้นเป็นพรรคการเมืองใหญ่เตรียมการซื้อเสียงซื้อคนอย่างไม่อั้น และทุ่มเทใช้จ่ายในการเลือกตั้งเพื่อทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเพื่อดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลและประธานาธิบดีต่อไป
โดยอ้างแต่เพียงว่ารัฐบาลที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น เป็นรัฐบาลเผด็จการไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย
รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยนั้นต้องมีประธานาธิบดี และประธานาธิบดีที่ว่านั้นคือตัวมันหรือพวกของมัน แล้วแต่ว่าใครเหมาะสำหรับการขายชาติขายแผ่นดินตอนไหนระยะใด คนนั้นก็จะเลือกขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีตามลำดับ
ผมเพิ่งเดินทางกลับจากต่างจังหวัดในภาคอีสาน ดั้นด้นไปตามหมู่บ้านที่ฝนตกน้ำท่วมที่ต่างๆ ในภาคอีสานหลายแห่ง เพื่อดูการเลือกตั้งในชนบทที่ผมรู้จักมานานกว่าจังหวัดในภาคอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่มากก็คือความเงียบเหงาและวังเวงอย่างมาก สำหรับชาวบ้านหรือผู้คนธรรมดาเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากความเงียบเหงาอันเกิดจากความยากจน และความหมดหวังในชีวิตของผู้คนจำนวนมาก เพราะความยากจนและความไม่เพียงพอในการที่จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ค่อยๆ วอดลงไปตามสภาพของชนบทที่เคยแห้งแล้งตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงหรือกำลังเปลี่ยนแปลงใหม่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองที่เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น แต่เชื่อว่ามันจะไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่ใครได้นอกจากความอดอยากยากจนต่อไปอีก อย่างที่มันเคยเป็นมาแล้วตลอดระยะเวลาอันยาวนานของเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย
“มันไม่มีอะไรจะไปแก้ไขได้ คนมันเกิดมากขึ้น แย่งกันกินแย่งกันอยู่มากขึ้น ทุกอย่างมันก็ขาดแคลนสาหัสและก็หายาก!”
“อะไรหายาก?” ผมถามเพื่อนร่วมวงเหล้าคนหนึ่งที่เรานั่งคุยกันนานเป็นชั่วโมงมาแล้ว
“เงิน!” เสียงตอบสั้นๆ
“ที่ไหนก็หายาก ไม่มีลู่ทางอะไรขึ้นมาที่จะทำให้หาได้ง่าย” เสียงหนึ่งบอกชัด “ทุกวันนี้มีทางได้ทางเดียวคือพวกเด็กมันทำงานที่กรุงเทพฯ กัน นั่นพอจะได้พึ่งอยู่บ้างทุกวันนี้มันก็ไม่พอ”
“อีกกี่ปีมันก็ไม่พอ” รายหนึ่งตอบออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย “คนมันเกิดมาไม่หยุด”
“มึงยังดีกว่าพวกเรา” อีกรายหนึ่งยืนยันออกมา “มีลูกผู้หญิงหลายคน ตอนนี้มันก็หาเงินได้กันแล้ว รอดตายไปหน่อย”
“ไหนว่ามันไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ?”
“ก็เรียนหนังสือนั่นแหละ แต่มึงก็รู้ว่ามันไม่ได้เรียนทั้งวันทั้งคืนเมื่อไร ตอนที่ไม่ต้องเรียนก็หาเงินกัน ซ่องมันมีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด”
“เสียเวลาพูด อ้ายบ้า ตอนนี้เขากำลังจะเลือกตั้งกันแล้ว มันจะไม่มีอะไรดีขึ้นมามั่งหรือไง?”
เราเริ่มต้นกันมาอย่างนั้น และก่อนที่เราจะแยกกันเพื่อกลับบ้านใครบ้านมันเสียงที่สอดขึ้นมาก็คือ เสียงนักเลงประจำหมู่บ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียนเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องประธานาธิบดีนั่นล่ะจะว่ายังไง ตัวไหนมันจะเป็นตอนนี้?”
เงียบ!
หลายคนหุบปากเงียบมองหน้าเหมือนกับตื่นเต้นตกใจอะไรสักอย่างหนึ่งที่ตนไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีใครหยิบยกขึ้นมาพูดกับคนบ้านนอกบ้านนาที่ผมมาร่วมสนทนาอยู่ในขณะนี้
ถือกันว่าเป็นเรื่องอุบาทว์ที่ไม่มีใครบังอาจเข้าไปแตะต้อง
เพราะเรื่องประเภทนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดเวลาที่เราสร้างประเทศสร้างชาติขึ้นมา ย้อนกลับไปเริ่มต้นที่สุโขทัยเรื่อยมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไม่เคยมีใครชั่วร้ายที่คิดจะทำอุบาทว์จัญไรที่ว่านี้คือ การทำลายล้างพระมหากษัตริย์เพราะตนเองพวกตัวเองต้องการขึ้นมาปกครองประเทศชาติแทน โดยใช้ระบบประธานาธิบดีแบบฝรั่งมาใช้แทนเพื่อให้เกิดความสะดวกในการกินบ้านกินเมือง
สำคัญก็คือความเชื่อที่ว่าเมืองไทยนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ ในยามที่บ้านเมืองจะมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาแตะต้องแล้ว คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองบ้านเมืองจะจัดการมันเอง โดยการหยิบยื่นความฉิบหายวายวอดให้แก่ตัวมันและพวกมันอย่างไม่ยอมเว้น!
ผมอาจจะไม่เคยได้เห็นชัดๆ ด้วยตัวเอง แต่พอจะได้อ่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของความเป็นไทยและการสร้างบ้านสร้างเมืองของคนไทย ที่ได้มีการบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยขจัดปัดเป่าคุ้มครองประเทศไทย และผู้นำของเขาที่ประชาชนยอมรับ
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีการมุ่งทำลายประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ขนาดไหนก็ตาม ใจหนึ่งผมก็เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองจะสามารถปกป้องสถาบันอันสำคัญของชาติไว้ได้ ในขณะเดียวกันบรรดาเดียรถีย์ทางการเมืองที่พยายามเอาความชั่วมาหากินกับชาติไทยนั้น มันน่าจะไม่สำเร็จประการเดียว!
เพราะเป็นเรื่องการแข่งขันกันด้วยวาสนาและบุญบารมี นั่นคือเอามนุษย์ชาติชั่วที่มีเงินซื้อทุกอย่างจากการปล้นประเทศประชาชนกับหมาหัวเน่าทางการเมืองที่หาที่เกิดที่ตายไม่ได้ รวมตัวกันมาเพื่อแย่งชิงการสนับสนุนจากประชาชนที่ยังโง่เขลาด้วยการซื้อด้วยเงิน โดยการโกหกหลอกลวงต่างๆ มันมีความเชื่อว่าการโกหกหลอกลวงชนิดสุนัขไม่รับประทานนี้ ก็เกิดความเชื่อว่าถ้าเลือกพรรคการเมืองของ “อ้ายสมวยหัวขัก” นั้นคนเดียวพรรคเดียว ประเทศไทยก็จะมีนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือระบบประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศเป็นคนแรกซึ่งมาจากพรรคเดียวกัน
นั่นเป็นความเชื่อที่สมมติขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดเมื่อเอาความเป็นนักการเมืองถ่อยในพรรคที่ว่านี้มาเทียบพระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยที่เป็นวิญญาณของไทยมาเป็นเวลาเกือบพันๆ ปีมาแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้มันขนกันมาสัก 10 ชั่วโคตร ก็ไม่มีอำนาจอิทธิพลใดๆ ที่จะสร้างการยอมรับของประชาชนได้
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันที่อัดแน่นไปด้วยพระเดชพระคุณ และบุญบารมีเป็นผู้นำสูงสุดแห่งชาติ ความเคารพเทิดทูนและความเชื่อถือทุกประการนั้น ไม่มีใครหรือไม่มีอะไรจะมายับยั้งได้
จากเศษมนุษย์ไม่กี่คนที่คนไทยรู้เรื่องรู้สันดานของพวกมันอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็
สงสัยว่ามันจะเอาอะไรมาเทียบกับพระบารมีที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาพันๆ ปีกับสวะทางการเมืองสองสามตัวที่หากินด้วยการคดในข้อ งอในกระดูก หลอกลวงประเทศชาติและประชาชนมาตลอด?
นั่นเป็นการเตือนและบอกว่า “พวกมึงอย่าแหย็ม!”
ถ้าหากว่าเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบพระมหากษัตริย์เป็นระบบประธานาธิบดีได้อย่างที่มันวางแผนไว้ พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ของเราก็จะถูกทำลาย และระบบประธานาธิบดีของมันก็จะเข้ามาแทนวัฒนธรรมประเพณี และคุณงามความดีใดๆ ที่เมืองไทยเคยมีเคยเป็นมาภายใต้ระบบพระมหากษัตริย์ก็จะถูกล้มล้าง ระบอบประชาธิปไตยหรือระบบปล้นชาติปล้นแผ่นดินภายใต้ประธานาธิบดีของมันซึ่งก็จะเข้ามาทำหน้าที่แทน พร้อมด้วยความเจริญรุ่งเรืองประเภทใหม่คือ การคอร์รัปชันอันใหญ่หลวงที่มันทำกันมาแล้ว
เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือความเท็จไม่มีใครรู้ แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้มีการดำเนินการในรูปแบบต่างๆ ที่จะให้เกิดเป็นความจริงขึ้น มีการกระทำและการพูด การสร้างข่าว สร้างสถานการณ์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามจุดมุ่งหมายนั้นโดยการดำเนินการต่างๆ แม้แต่การจัดประชุมกันระหว่างประเทศอย่างเปิดเผยที่รู้กันทั่วไป
เป็นอันแน่นอนว่าประเทศไทยนั้นจะต้องเลิกล้มระบบพระมหากษัตริย์ และตั้งระบบประธานาธิบดีขึ้นมาปกครองประเทศไทยแทนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง!
แม้ว่าเมืองไทยจะมีคนรู้ มีคนเข้าใจกันทั้งชาติ เฉพาะทางรัฐบาล ตำรวจ ทหารที่มีหน้าที่ปกครองประเทศ ก็ยกพวกออกมาประกาศว่าพวกตนเห็นด้วยกับความไม่พอใจของประชาชนในเรื่องนี้ถึงขนาดลงทุนปฏิวัติเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมาเพื่อขับไล่บรรดาชนชั้นปกครองแบบใหม่ของพวกสัตว์นรกพวกนี้ออกไปจากบ้านเมือง โดยทำการปฏิวัติขึ้นมาทำหน้าที่ปกครองขับไล่ออกไปให้พ้นแผ่นดินไทยอย่างที่เห็นๆ กันอยู่
แต่การดำเนินการปฏิวัติของคนไทยพวกนี้ก็เป็นเพียงการหลอกลวงประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และมุ่งหน้าแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองให้มากและมั่นคงขึ้นเท่านั้น
ไม่มีใครทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อแก้ปัญหาการทรยศคิดคดต่อแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่มันกลับร่วมมือกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ได้เสียกินด้วยกัน
แทนการกำราบปราบปรามหรือการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติอย่างรุนแรงเป็นลำดับมานั้น มันเป็นคนพวกเดียวกัน ทำทุกอย่างด้วยความสมานฉันท์ซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะเป็นเล่ห์กระเท่ห์หรือด้วยการหลอกลวงใดๆ ในการที่จะทำลายสถาบันของบ้านเมืองลงให้ได้ มันก็ทำตัวเป็นเครื่องมือของกันและกัน ซึ่งก็ช่วยให้เหตุการณ์เกิดความแตกแยกในหมู่เจ้าของชาติที่จงรักภักดีกับนรกพวกนั้น จนกลายเป็นชนวนรุนแรงยิ่งขึ้นในรูปของการเป็นตัวแทนหรือเป็นนอมินีของกันและกันทีเดียว
ถึงกับมีการแสดงให้เห็นอย่างเปิดเผยว่าบรรดาอ้ายกากเจ้าของแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีเสรีภาพ มีโอกาสในการโฆษณาอุดมการณ์ของตนที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยสะท้านหวั่นไหวไปทั่วโลก โดยไม่มีใครต่อต้านทัดทานใดๆ ได้
มันร่วมมือร่วมใจกันเอาชาติเอาประเทศไปหากินถึงกับประกาศว่าพร้อมที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ประกาศให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ซึ่งในบรรดานักการเมืองที่คาดหมายกันหนักหนาว่าจะต้องขึ้นมาปกครองแทนหรือมาจัดตั้งรัฐบาลประธานาธิบดีนั้นความจริงก็เป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการส่วนใหญ่ ยกเว้นกลุ่มนักกฎหมายและตุลาการ นอกนั้นเป็นคนของพวกกลุ่มนั้นเกือบทั้งหมดซึ่งแสดงออกมาทั้งในรูปตัวแทนหรือที่เรียกว่า นอมินี
ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประธานาธิบดีโจรกันอย่างเปิดเผยและท้าทาย จัดตั้งพรรคการเมืองของตนขึ้นเป็นพรรคการเมืองใหญ่เตรียมการซื้อเสียงซื้อคนอย่างไม่อั้น และทุ่มเทใช้จ่ายในการเลือกตั้งเพื่อทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเพื่อดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลและประธานาธิบดีต่อไป
โดยอ้างแต่เพียงว่ารัฐบาลที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น เป็นรัฐบาลเผด็จการไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย
รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยนั้นต้องมีประธานาธิบดี และประธานาธิบดีที่ว่านั้นคือตัวมันหรือพวกของมัน แล้วแต่ว่าใครเหมาะสำหรับการขายชาติขายแผ่นดินตอนไหนระยะใด คนนั้นก็จะเลือกขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีตามลำดับ
ผมเพิ่งเดินทางกลับจากต่างจังหวัดในภาคอีสาน ดั้นด้นไปตามหมู่บ้านที่ฝนตกน้ำท่วมที่ต่างๆ ในภาคอีสานหลายแห่ง เพื่อดูการเลือกตั้งในชนบทที่ผมรู้จักมานานกว่าจังหวัดในภาคอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่มากก็คือความเงียบเหงาและวังเวงอย่างมาก สำหรับชาวบ้านหรือผู้คนธรรมดาเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากความเงียบเหงาอันเกิดจากความยากจน และความหมดหวังในชีวิตของผู้คนจำนวนมาก เพราะความยากจนและความไม่เพียงพอในการที่จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ค่อยๆ วอดลงไปตามสภาพของชนบทที่เคยแห้งแล้งตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงหรือกำลังเปลี่ยนแปลงใหม่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองที่เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น แต่เชื่อว่ามันจะไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่ใครได้นอกจากความอดอยากยากจนต่อไปอีก อย่างที่มันเคยเป็นมาแล้วตลอดระยะเวลาอันยาวนานของเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย
“มันไม่มีอะไรจะไปแก้ไขได้ คนมันเกิดมากขึ้น แย่งกันกินแย่งกันอยู่มากขึ้น ทุกอย่างมันก็ขาดแคลนสาหัสและก็หายาก!”
“อะไรหายาก?” ผมถามเพื่อนร่วมวงเหล้าคนหนึ่งที่เรานั่งคุยกันนานเป็นชั่วโมงมาแล้ว
“เงิน!” เสียงตอบสั้นๆ
“ที่ไหนก็หายาก ไม่มีลู่ทางอะไรขึ้นมาที่จะทำให้หาได้ง่าย” เสียงหนึ่งบอกชัด “ทุกวันนี้มีทางได้ทางเดียวคือพวกเด็กมันทำงานที่กรุงเทพฯ กัน นั่นพอจะได้พึ่งอยู่บ้างทุกวันนี้มันก็ไม่พอ”
“อีกกี่ปีมันก็ไม่พอ” รายหนึ่งตอบออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย “คนมันเกิดมาไม่หยุด”
“มึงยังดีกว่าพวกเรา” อีกรายหนึ่งยืนยันออกมา “มีลูกผู้หญิงหลายคน ตอนนี้มันก็หาเงินได้กันแล้ว รอดตายไปหน่อย”
“ไหนว่ามันไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ?”
“ก็เรียนหนังสือนั่นแหละ แต่มึงก็รู้ว่ามันไม่ได้เรียนทั้งวันทั้งคืนเมื่อไร ตอนที่ไม่ต้องเรียนก็หาเงินกัน ซ่องมันมีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด”
“เสียเวลาพูด อ้ายบ้า ตอนนี้เขากำลังจะเลือกตั้งกันแล้ว มันจะไม่มีอะไรดีขึ้นมามั่งหรือไง?”
เราเริ่มต้นกันมาอย่างนั้น และก่อนที่เราจะแยกกันเพื่อกลับบ้านใครบ้านมันเสียงที่สอดขึ้นมาก็คือ เสียงนักเลงประจำหมู่บ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียนเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องประธานาธิบดีนั่นล่ะจะว่ายังไง ตัวไหนมันจะเป็นตอนนี้?”
เงียบ!
หลายคนหุบปากเงียบมองหน้าเหมือนกับตื่นเต้นตกใจอะไรสักอย่างหนึ่งที่ตนไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีใครหยิบยกขึ้นมาพูดกับคนบ้านนอกบ้านนาที่ผมมาร่วมสนทนาอยู่ในขณะนี้
ถือกันว่าเป็นเรื่องอุบาทว์ที่ไม่มีใครบังอาจเข้าไปแตะต้อง
เพราะเรื่องประเภทนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดเวลาที่เราสร้างประเทศสร้างชาติขึ้นมา ย้อนกลับไปเริ่มต้นที่สุโขทัยเรื่อยมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไม่เคยมีใครชั่วร้ายที่คิดจะทำอุบาทว์จัญไรที่ว่านี้คือ การทำลายล้างพระมหากษัตริย์เพราะตนเองพวกตัวเองต้องการขึ้นมาปกครองประเทศชาติแทน โดยใช้ระบบประธานาธิบดีแบบฝรั่งมาใช้แทนเพื่อให้เกิดความสะดวกในการกินบ้านกินเมือง
สำคัญก็คือความเชื่อที่ว่าเมืองไทยนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ ในยามที่บ้านเมืองจะมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาแตะต้องแล้ว คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองบ้านเมืองจะจัดการมันเอง โดยการหยิบยื่นความฉิบหายวายวอดให้แก่ตัวมันและพวกมันอย่างไม่ยอมเว้น!
ผมอาจจะไม่เคยได้เห็นชัดๆ ด้วยตัวเอง แต่พอจะได้อ่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของความเป็นไทยและการสร้างบ้านสร้างเมืองของคนไทย ที่ได้มีการบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยขจัดปัดเป่าคุ้มครองประเทศไทย และผู้นำของเขาที่ประชาชนยอมรับ
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีการมุ่งทำลายประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ขนาดไหนก็ตาม ใจหนึ่งผมก็เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองจะสามารถปกป้องสถาบันอันสำคัญของชาติไว้ได้ ในขณะเดียวกันบรรดาเดียรถีย์ทางการเมืองที่พยายามเอาความชั่วมาหากินกับชาติไทยนั้น มันน่าจะไม่สำเร็จประการเดียว!
เพราะเป็นเรื่องการแข่งขันกันด้วยวาสนาและบุญบารมี นั่นคือเอามนุษย์ชาติชั่วที่มีเงินซื้อทุกอย่างจากการปล้นประเทศประชาชนกับหมาหัวเน่าทางการเมืองที่หาที่เกิดที่ตายไม่ได้ รวมตัวกันมาเพื่อแย่งชิงการสนับสนุนจากประชาชนที่ยังโง่เขลาด้วยการซื้อด้วยเงิน โดยการโกหกหลอกลวงต่างๆ มันมีความเชื่อว่าการโกหกหลอกลวงชนิดสุนัขไม่รับประทานนี้ ก็เกิดความเชื่อว่าถ้าเลือกพรรคการเมืองของ “อ้ายสมวยหัวขัก” นั้นคนเดียวพรรคเดียว ประเทศไทยก็จะมีนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือระบบประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศเป็นคนแรกซึ่งมาจากพรรคเดียวกัน
นั่นเป็นความเชื่อที่สมมติขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดเมื่อเอาความเป็นนักการเมืองถ่อยในพรรคที่ว่านี้มาเทียบพระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยที่เป็นวิญญาณของไทยมาเป็นเวลาเกือบพันๆ ปีมาแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้มันขนกันมาสัก 10 ชั่วโคตร ก็ไม่มีอำนาจอิทธิพลใดๆ ที่จะสร้างการยอมรับของประชาชนได้
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันที่อัดแน่นไปด้วยพระเดชพระคุณ และบุญบารมีเป็นผู้นำสูงสุดแห่งชาติ ความเคารพเทิดทูนและความเชื่อถือทุกประการนั้น ไม่มีใครหรือไม่มีอะไรจะมายับยั้งได้
จากเศษมนุษย์ไม่กี่คนที่คนไทยรู้เรื่องรู้สันดานของพวกมันอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็
สงสัยว่ามันจะเอาอะไรมาเทียบกับพระบารมีที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาพันๆ ปีกับสวะทางการเมืองสองสามตัวที่หากินด้วยการคดในข้อ งอในกระดูก หลอกลวงประเทศชาติและประชาชนมาตลอด?
นั่นเป็นการเตือนและบอกว่า “พวกมึงอย่าแหย็ม!”