xs
xsm
sm
md
lg

“เล่ห์, ราคะ” ของ จางอ้ายหลิง กับ หลี่อัน (3)

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

โลกที่เป็นจริงกับโลกมายาของ “เล่ห์, ราคะ” (ต่อ)

การบุกยึดเช่นนั้นค่อยๆ เป็นไปทีละคืบ โดยใน ค.ศ.1937 ญี่ปุ่นสามารถยึดเมืองหนานจิง (นานกิง) และเมืองซ่างไห่ได้เป็นที่เรียบร้อย ปีถัดมาจึงยึดมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) เอาไว้ได้

ประเด็นก็คือว่า เมืองกว่างโจวที่เป็นเมืองเอกของกว่างตงนั้น อยู่ห่างจากฮ่องกงเพียงแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงรถไฟวิ่งเท่านั้น ในแง่นี้ย่อมเท่ากับว่า กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาจ่อคอหอยฮ่องกง (ซึ่งเป็นเขตเช่าของอังกฤษ) แล้วนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เลือดรักชาติของชาวจีนในฮ่องกงที่มีพื้นมาแต่เดิมจึงคุกรุ่นมากขึ้น จากจุดนี้หนังได้นำเราไปรู้จักกับ หวังเจียจือ กับเพื่อนๆ ของเธออีกจำนวนหนึ่ง ที่ต่อมาจะมีบทบาทสำคัญแวดล้อมตัวเธอไปจนจบ

กล่าวคือ หนังบอกให้เรารู้ว่า หวังเจียจือ และหมู่เพื่อนของเธอนั้นต่างก็เป็นนักศึกษาในวัยหนุ่มสาว และต่างมีเลือดรักชาติไม่แพ้กัน โดยตัวละครที่เป็นผู้เชื่อมร้อยความรักชาติไปสู่ปฏิบัติการที่เป็นจริงก็คือ คว่างอี้ว์หมิง (หวังลี่หง)

เป้าหมายหนึ่งที่นักศึกษาผู้มีเลือดรักชาติกลุ่มนี้คิดออกก็คือ การหาทางกำจัดชาวจีนคนหนึ่งที่ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของญี่ปุ่น เขาคนนี้คือ คุณอี้ (เหลียงเฉาเหว่ย) โดยหนังบอกให้เรารู้อยู่ตอนหนึ่งว่า คุณอี้ เป็นนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับ วังจิงเว่ย ผู้นำกว๋อหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) ที่อยู่กันคนละสายกับ เจี่ยงเจี้ยสือ (เจียงไคเช็ก) และเป็นผู้นำที่ไปเข้ากับญี่ปุ่น

ถึงตรงนี้มีประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจประวัติศาสตร์จีนในช่วงนี้ด้วยว่า ก่อนหน้าที่สงครามจีน-ญี่ปุ่น (ค.ศ.1937-1945) จะเกิดขึ้นนั้น ภายในกว๋อหมินตั่งได้เกิดการแตกแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย สภาพนี้ดำรงมาเรื่อยมานับแต่ที่ ดร.ซุนยัดเซน ได้เสียชีวิตไปใน ค.ศ.1925 และจนถึงในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นนั้น วังจิงเว่ย กลายเป็นกว๋อหมินตั่งกลุ่มหนึ่ง โดยอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ กลุ่มที่นำโดย เจี่ยงเจี้ยสือ

ภายหลังจากที่สงครามเริ่มได้ไม่นาน เจี่ยงเจี้ยสือ ผู้นำรัฐบาลจีนที่มีความชอบธรรมในขณะนั้นไม่อาจต้านรับกองทัพของญี่ปุ่นได้ จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากหนานจิง (นานกิง) ไปยังเมืองฉงชิ่ง (จุงกิง) ส่วนกว๋อหมินตั่งในกลุ่มที่นำโดย วังจิงเว่ย นั้นได้ไปเข้ากับญี่ปุ่น

ดูจากภายนอกแล้ว การไปเข้ากับญี่ปุ่นของ วังจิงเว่ย ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ควรแก่การสรรเสริญแต่อย่างใด แต่หากกล่าวสำหรับเหตุผลของ วังจิงเว่ย แล้ว การทำเช่นนั้นมีเหตุผลอยู่อย่างน้อย 2 ประการ ประการแรก เขาเชื่อว่า ญี่ปุ่นจะเป็นผู้ปลดแอกจีนจากอิทธิพลของตะวันตกได้จริง ประการต่อมา เขาเชื่อว่าการรอมชอมกับญี่ปุ่นจะเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตชาวจีนเอาไว้ได้ (หลังจากที่ญี่ปุ่นได้เข่นฆ่าไปแล้วหลายแสนคน)

จะเห็นได้ว่า ความเชื่อของ วังจิงเว่ย นั้นไม่ต่างกับผู้นำชาตินิยมอีกหลายคนในประเทศอาณานิคมหรือกึ่งอาณานิคมในขณะนั้น ที่ไปให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นด้วยเหตุผลที่คล้ายๆ กับ วังจิงเว่ย โดยเฉพาะผู้นำชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และ 1 ในนั้นก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำไทยในขณะนั้น)

แต่ไม่ว่าความเชื่อของ วังจิงเว่ย จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กล่าวสำหรับนักประวัติศาสตร์หรือนักรัฐศาสตร์แล้วย่อมคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่า วังจิงเว่ย ต้องการอาศัยใบบุญของญี่ปุ่นในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกว๋อหมินตั่งและประเทศจีน (สาธารณรัฐจีน) และใบบุญนี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อญี่ปุ่นชนะสงครามแล้วเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม ชาวจีนส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่ออย่างที่ วังจิงเว่ย เชื่อ ด้วยเหตุนี้ วังจิงเว่ย จึงไม่เพียงจะถูกต่อต้านจากรัฐบาลของ เจี่ยงเจี้ยสือ เท่านั้น หากยังถูกต่อต้านจากขบวนการชาตินิยมหรือผู้รักชาติจีนในเวลานั้นอย่างกว้างขวางอีกด้วย การต่อต้านนี้เป็นไปในหลายรูปแบบและมีอยู่หลายขบวนการ ไม่เว้นแม้แต่ขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยรูปแบบหนึ่งก็คือ การหาทางเด็ดชีพคนอย่าง วังจิงเว่ย และสมุนบริวารนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็คือคำตอบที่ว่า เหตุใดในหนังจึงฉายภาพให้เราเห็นอยู่หลายครั้งหลายฉากว่ามีธงชาติของกว๋อหมินตั่ง หรือที่เรียกกันในสมัยหนึ่งว่า “จีนคณะชาติ” (ซึ่งก็คือธงชาติของไต้หวันในปัจจุบัน) ประดับคู่กับธงชาติญี่ปุ่น จนดูราวกับว่ารัฐบาลกว๋อหมินตั่งไปเข้าด้วยกับญี่ปุ่น

ซ้ำร้ายในบางฉากยังมีภาพของ ดร.ซุนยัดเซน แขวนประดับในสำนักงานของพวกที่ไปเข้าด้วยกับญี่ปุ่นอีกด้วย สิ่งที่เราไม่เห็นในภาพนี้น่าจะเป็นน้ำตาของ ดร.ซุนยัดเซน ที่สู้อุตส่าห์ปฏิวัติประเทศจีนให้พ้นจากแอกของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และอาณานิคมจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่กลับถูกสหายร่วมรบทำตัวอยู่ใต้แอกของผู้รุกรานจากญี่ปุ่นอย่างน่าชื่นตาบาน (ต่างกันตรงไหนกับที่คนเดือนตุลาคมไปเข้าด้วยกับคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช ใครตอบได้บ้าง?)

ด้วยเหตุนี้เอง วังจิงเว่ย และคณะของเขาที่ไปเข้าด้วยกับญี่ปุ่นจึงถูกขบวนการกู้ชาติของจีนหมายหัวเอาชีวิต โดยภารกิจหนึ่งที่รัฐบาลของ เจี่ยงเจี้ยสือ ได้กระทำลงไปก็คือ การส่งสายลับจากฉงชิ่งมาสอดแนมและปฏิบัติเอาชีวิตคนในกลุ่มของ วังจิงเว่ย ซึ่งในหนังจะเรียกสายลับพวกนี้ว่า “สายลับฉงชิ่ง”

ส่วนผู้ปฏิบัติการกวาดล้างสายลับฉงชิ่งใน “เล่ห์, ราคะ” ก็คือ คุณอี้ ที่สำคัญคือ ในหนังได้บอกให้รู้ในตอนหนึ่งด้วยว่า คุณอี้ เป็นคนที่ใกล้ชิดของ วังจิงเว่ย ด้วยเหตุนี้ การกำจัด คุณอี้ จึงเป็นภารกิจที่สำคัญ เพราะหากกำจัดได้สำเร็จก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ว่าจะต้อง “ลงทุน” สักเท่าไรก็ตาม

ประเด็นก็คือว่า สิ่งที่ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นนำมา “ลงทุน” นั้น แทนที่จะเป็นทรัพยากรทั่วๆ ไปที่ไม่ต้องลงลึกไปถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณมนุษย์มากไปกว่าความรักชาติ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า มันคือเรือนร่างของ หวังเจียจือ ที่สำคัญก็คือ ตัวของ หวังเจียจือ เองก็ยอมรับที่จะใช้เรือนร่างของเธอเข้าไป “ลงทุน” เสียด้วย

ถึงตรงนี้มีประเด็นที่พึงทำความเข้าใจด้วยว่า การลงทุนถึงขนาดที่ว่า หาใช่เรื่องที่เกินจริงไม่ เพราะมีบันทึกประวัติศาสตร์ของนานาประเทศอยู่ไม่น้อยที่ระบุว่า การลงทุน “เพื่อชาติ” ในลักษณ์ที่ว่ามีอยู่จริง และเกิดขึ้นโดยทั่วไป ในกรณีของจีนเวลานั้นตัวอย่างอย่าง หวังเจียจือ ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทั้งเพื่อหาข้อมูล หรือเพื่อเด็ดชีพศัตรูก็ตาม

แต่สิ่งที่ “เล่ห์, ราคะ” ทำได้อย่างโดดเด่นก็คือ การปูพื้นให้เห็นถึงภูมิหลังของ หวังเจียจือ ที่แม้ฐานะครอบครัวของเธอจะค่อนข้างดีก็ตาม แต่ก็ปราศจากความอบอุ่นอย่างที่สังคมครอบครัวพึงมี และเมื่อเธอเริ่มลงทุนใช้เรือนร่างเข้าแลกกับภารกิจเพื่อชาติ หนังก็สะท้อนพัฒนาการความสัมพันธ์ของเธอกับ คุณอี้ ได้อย่างมีจังหวะจะโคนและมีเหตุผลรองรับโดยตลอด

จนถึงวาระที่ต้องพลีเรือนร่างให้กับ คุณอี้ แล้วนั้น เราจึงได้เห็นถึงภาวะความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในใจของ หวังเจียจือ ออกมา นั่นคือ ความรู้สึกที่ตอกย้ำกับตัวเองโดยตลอดว่า สิ่งที่เธอทำลงไปนั้นคือ “เล่ห์” ที่ต้องเสแสร้งให้สมจริง (ซึ่งเธอมีความสามารถพอสมควร ดังที่จะเห็นได้จากความสำเร็จจากการเล่นละครเพื่อชาติในตอนต้นเรื่อง) กับสิ่งที่เป็น “ราคะ” ที่เธอได้สัมผัสจริงจากกามกรีฑาของ คุณอี้ ที่ไม่ว่าจะดิบหรือเถื่อนสักปานใดก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้วมันก็สนองตอบต่อก้นบึ้งชีวิตที่ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว

จนในที่สุด การลงทุนของ หวังเจียจือ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งดังกล่าวก็นำเธอไปสู่ความสับสน เมื่อเธอแยกไม่ได้ระหว่างภารกิจเพื่อชาติที่จะต้องนำไปสู่การสังหาร คุณอี้ ให้ได้ ที่เธอทำได้อย่างแนบเนียนจน คุณอี้ ตายใจ กับความรักความผูกพัน (?) ที่เธอเริ่มเห็นได้จากการแสดงออกของ คุณอี้ ที่มากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะเมื่อ คุณอี้ มอบแหวนที่ประดับเพชร “เม็ดเท่าไข่นก” ที่หญิงสาวเวลานั้นต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะได้ให้แก่เธอ

และด้วยความสับสนเช่นนั้น เธอจึงได้ทำในสิ่งที่เกินกว่าใครจะคาดฝันขึ้นมา อันเป็นจุดสุดยอดและจุดจบของ “เล่ห์, ราคะ” อย่างชนิดที่คนดูจักต้องจดจำไปอีกนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น