ฉบับวันที่ 10-12-50
ผู้จัดการรายวัน - เศรษฐกิจบ่มพิษร้าย คาดปีหน้า "ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์" ส่อแววปรับราคาเพิ่ม 3-5 บาทต่อเมนู หลังแบกรับต้นทุนหลังแอ่นมาทั้งปี ด้าน"เอแอนด์ดับบลิว" จ่อขึ้นราคารายสุดท้าย หวังอีก 5 ปีสยายปีกสู่ 100 สาขาแน่ ส่วนเป้ารายได้สิ้นปี 2551 มั่นใจเติบโตอีก 7%
นายเกียรติศักดิ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้จัดการฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท เอ แอนด์ ดับบลิว เรสเตอรองต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลจากสภาพเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ส่งผลให้วัตถุดิบต่างๆที่ใช้ประกอบอาหาร คาดว่าจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นแน่ในปีหน้า ยกตัวอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหมดขึ้นคาดว่าจะขึ้นราคาถึง 100% น้ำมันพืชขึ้นราคาเพิ่มอีกประมาณ 30% นอกจากนี้ยังมีแป้ง และไก่สดที่เตรียมจะขึ้นราคาอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังจากที่ผู้ประกอบการตรึงราคามาระยะหนึ่งแล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าปีหน้ากลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ทุกรายในตลาด จะต้องมีการปรับราคาขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อย 3 - 5 บาทแล้วแต่เมนู ทั้งนี้ทางเอแอนด์ดับบลิวจะขอรอดูสถานการณ์หลังผู้เล่นในตลาดมีการปรับราคาขึ้นสักระยะหนึ่งก่อน จึงจะขอปรับราคาขึ้นตาม
"หากผู้นำของกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ มีการปรับขึ้นราคาสินค้าเมื่อไหร่นั้น ทางเอแอนด์ดับบลิวก็จะมีการปรับราคาสินค้าขึ้นตามเช่นกัน แต่จะไม่ขึ้นราคาตามในทันที ขอดูสถานการณ์ไปอีกสักระยะ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้รับประทานอาหารที่คล้ายคลึงกันในราคาเดิม"
นายเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงแผนการทำตลาดปีหน้าต่อว่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอแอนด์ดับบลิวในปีหน้า จะยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเอแอนด์ดับบลิวยังเป็นบริษัทขนาดเล็กอยู่ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ก็ยังไม่ดี การขยายธุรกิจอย่างไม่รีบร้อนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 8 สาขาต่อปี โดยเน้นขยายไปกับปั้มน้ำมันเป็นหลัก และการเปิดร้านแบบสแตนด์อโลน โดยในปีหน้าบริษัทฯจะเปิดสาขาใหม่ภายในปั้มน้ำมัน 6 สาขา ภายใต้งบลงทุนแต่ละสาขาที่ 2-3 ล้านบาท ส่วนสแตนอโลนจะเปิดอีก 2 สาขา แต่ละสาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนที่ 8 ล้านบาท ส่วนแผนการขยายสาขาไปต่างจังหวัดที่ไกลออกไป เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ได้รับการติดต่อจากปั้มน้ำมันที่เป็นพันธมิตรให้เข้าไปเปิดเช่นกัน แต่ทางเอแอนด์ดับบลิวมองว่า ยังไม่มีความพร้อมทางด้านการขนส่งสินค้า จึงยังไม่สามารถเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯอย่างนี้ได้
โดยในปัจจุบันเอแอนด์ดับบลิวเปิดให้บริการแล้ว 31 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดให้บริการภายในปั้มน้ำมัน 28 สาขา และเป็นสแตนอะโลน 3 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดใหม่ในปีนี้เพียง 4 สาขา ทั้งนี้ในอีก 2 ปี คาดว่าจะขยายครบ 50 สาขา โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการขยายสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอที่จะเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ในอนาคตต่อไปด้วย นอกจากนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะขยายสาขาเพิ่มจนครบ 100 สาขาตามแผนระยะยาวที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรายได้ของของเอแอนด์ดับบลิวในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 3% โดยแต่สาขามีอัตราการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ 3% เช่นเดียวกัน ส่วนในปีหน้าคาดว่าภาพรวมรายได้จะเติบโตขึ้น 7% จากการขยายสาขาเป็นหลัก ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายแต่ละสาขา คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 3%เท่าปีนี้ ซึ่งการเติบโตนี้ มองว่าขึ้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
ขณะที่ยอดขายของร้านเอแอนด์ดับบลิวจะมาจาก 2 กลุ่มเมนูหลัก คือ 1.อาหาร 80% และ2.เครื่องดื่มอีก 20% โดยในกลุ่มเครื่องดื่มนี้ ยังแบ่งออกได้เป็น กาแฟร้อน 5% และรูทเบียร์ 15% อีกด้วย ทั้งนี้หลังจากที่ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับทางเนสกาแฟกูรเมได้ประมาณ 2 เดือน ส่งผลให้ยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น8% และเมนูอาหารเช้ายังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย ซึ่งเมนูหลักของเอแอนด์ดับบลิว ที่ผู้บริโภคยังให้ความสนใจมากที่สุด คือ รูทเบียร์ และวาฟเฟิล
ผู้จัดการรายวัน - เศรษฐกิจบ่มพิษร้าย คาดปีหน้า "ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์" ส่อแววปรับราคาเพิ่ม 3-5 บาทต่อเมนู หลังแบกรับต้นทุนหลังแอ่นมาทั้งปี ด้าน"เอแอนด์ดับบลิว" จ่อขึ้นราคารายสุดท้าย หวังอีก 5 ปีสยายปีกสู่ 100 สาขาแน่ ส่วนเป้ารายได้สิ้นปี 2551 มั่นใจเติบโตอีก 7%
นายเกียรติศักดิ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้จัดการฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท เอ แอนด์ ดับบลิว เรสเตอรองต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลจากสภาพเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ส่งผลให้วัตถุดิบต่างๆที่ใช้ประกอบอาหาร คาดว่าจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นแน่ในปีหน้า ยกตัวอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหมดขึ้นคาดว่าจะขึ้นราคาถึง 100% น้ำมันพืชขึ้นราคาเพิ่มอีกประมาณ 30% นอกจากนี้ยังมีแป้ง และไก่สดที่เตรียมจะขึ้นราคาอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังจากที่ผู้ประกอบการตรึงราคามาระยะหนึ่งแล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าปีหน้ากลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ทุกรายในตลาด จะต้องมีการปรับราคาขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อย 3 - 5 บาทแล้วแต่เมนู ทั้งนี้ทางเอแอนด์ดับบลิวจะขอรอดูสถานการณ์หลังผู้เล่นในตลาดมีการปรับราคาขึ้นสักระยะหนึ่งก่อน จึงจะขอปรับราคาขึ้นตาม
"หากผู้นำของกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ มีการปรับขึ้นราคาสินค้าเมื่อไหร่นั้น ทางเอแอนด์ดับบลิวก็จะมีการปรับราคาสินค้าขึ้นตามเช่นกัน แต่จะไม่ขึ้นราคาตามในทันที ขอดูสถานการณ์ไปอีกสักระยะ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้รับประทานอาหารที่คล้ายคลึงกันในราคาเดิม"
นายเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงแผนการทำตลาดปีหน้าต่อว่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอแอนด์ดับบลิวในปีหน้า จะยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเอแอนด์ดับบลิวยังเป็นบริษัทขนาดเล็กอยู่ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ก็ยังไม่ดี การขยายธุรกิจอย่างไม่รีบร้อนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 8 สาขาต่อปี โดยเน้นขยายไปกับปั้มน้ำมันเป็นหลัก และการเปิดร้านแบบสแตนด์อโลน โดยในปีหน้าบริษัทฯจะเปิดสาขาใหม่ภายในปั้มน้ำมัน 6 สาขา ภายใต้งบลงทุนแต่ละสาขาที่ 2-3 ล้านบาท ส่วนสแตนอโลนจะเปิดอีก 2 สาขา แต่ละสาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนที่ 8 ล้านบาท ส่วนแผนการขยายสาขาไปต่างจังหวัดที่ไกลออกไป เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ได้รับการติดต่อจากปั้มน้ำมันที่เป็นพันธมิตรให้เข้าไปเปิดเช่นกัน แต่ทางเอแอนด์ดับบลิวมองว่า ยังไม่มีความพร้อมทางด้านการขนส่งสินค้า จึงยังไม่สามารถเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯอย่างนี้ได้
โดยในปัจจุบันเอแอนด์ดับบลิวเปิดให้บริการแล้ว 31 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดให้บริการภายในปั้มน้ำมัน 28 สาขา และเป็นสแตนอะโลน 3 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดใหม่ในปีนี้เพียง 4 สาขา ทั้งนี้ในอีก 2 ปี คาดว่าจะขยายครบ 50 สาขา โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการขยายสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอที่จะเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ในอนาคตต่อไปด้วย นอกจากนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะขยายสาขาเพิ่มจนครบ 100 สาขาตามแผนระยะยาวที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรายได้ของของเอแอนด์ดับบลิวในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 3% โดยแต่สาขามีอัตราการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ 3% เช่นเดียวกัน ส่วนในปีหน้าคาดว่าภาพรวมรายได้จะเติบโตขึ้น 7% จากการขยายสาขาเป็นหลัก ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายแต่ละสาขา คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 3%เท่าปีนี้ ซึ่งการเติบโตนี้ มองว่าขึ้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
ขณะที่ยอดขายของร้านเอแอนด์ดับบลิวจะมาจาก 2 กลุ่มเมนูหลัก คือ 1.อาหาร 80% และ2.เครื่องดื่มอีก 20% โดยในกลุ่มเครื่องดื่มนี้ ยังแบ่งออกได้เป็น กาแฟร้อน 5% และรูทเบียร์ 15% อีกด้วย ทั้งนี้หลังจากที่ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับทางเนสกาแฟกูรเมได้ประมาณ 2 เดือน ส่งผลให้ยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น8% และเมนูอาหารเช้ายังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย ซึ่งเมนูหลักของเอแอนด์ดับบลิว ที่ผู้บริโภคยังให้ความสนใจมากที่สุด คือ รูทเบียร์ และวาฟเฟิล