ที่มาของทฤษฎีระบบโลก
ในงานพูดกึ่งอภิปรายและแลกเปลี่ยน เพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการตั้งประเด็นถามผมว่า
“ทฤษฎีระบบโลกมีความเป็นมาอย่างไร”
ผมตอบว่า
ทฤษฎีที่เรียกกันว่า ทฤษฎีระบบโลก มีที่มาจากนักคิดที่สำคัญ 2 คน
คนแรกคือ Fernand Braudel อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ชื่อว่า Immanuel Wallerstein
Braudel เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของโลก และท่านได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานเชิงประวัติศาสตร์อย่างมากๆ แต่เป็นการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์ทั่วไปตรงที่ท่านศึกษาประวัติศาสตร์โลกในกรอบที่กว้างกว่ากรอบศึกษาของนักประวัติศาสตร์ทั่วไปที่มักจะเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์จากกรอบของประเทศ
Braudel เสนอว่า การเข้าใจประวัติศาสตร์ในกรอบของประเทศทำให้เรามองข้ามการเคลื่อนตัวของประวัติศาสตร์โลกในขอบเขตที่เกินกว่าพรมแดนประเทศ
ท่านจึงศึกษากำเนิดของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นที่มาของระบบทุนนิยมโลกใหม่ โดยย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 15 และเสนอว่า ระบบเศรษฐกิจโลกได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาอย่างเป็นระบบโดยมีศูนย์กลางที่ยุโรป ด้วยการขยายตัวของการค้า และวัฒนธรรม รวมทั้งการทำสงครามปล้นชิง และล่าอาณานิคมที่มีขอบเขตเกินกว่าประเทศ
คนไทยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า ทุนนิยมเกิดจาก การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 18 และมีข้อสรุปว่า ทุนนิยม คือระบบอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
ในสมัยก่อน บรรดาฝ่ายซ้าย (ไทย) มักจะถกกันว่า เมืองไทยเป็นทุนนิยมหรือยัง โดยใช้กรอบประเทศไทยในการวิเคราะห์ โดยพิจารณาดูว่าประเทศไทยนั้นพัฒนาอุตสาหกรรมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีไม่มากนัก เราก็จะคิดว่า เราเป็นประเทศกึ่งๆ อย่างเช่น กึ่งศักดินา กึ่งทุนนิยม
เราไม่เคยศึกษาการก่อเกิดระบบโลกทั้งระบบ ซึ่งทำให้เรามองข้ามความจริงว่าประเทศไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก เริ่มตั้งแต่ยุคที่บรรดาชาติยุโรปเข้ามาไล่ล่าอาณานิคม (ย้อนไปตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และ ๕ และเป็นที่มาของการยกเลิกระบบไพร่ และทาสในสมัยนี้)
ชาวทฤษฎีระบบโลกจะเรียกประเทศไทยว่า ประเทศทุนนิยมชายขอบ และเสนอว่าความเป็นชายขอบมีพัฒนาการที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ที่สำคัญ ความเป็นชายขอบก่อตัวอย่างเป็นระบบที่เชื่อมต่อทางการเมืองกับศูนย์ของระบบทุนนิยมโลก ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในช่วงนี้เอง ตัวรัฐไทยได้แปรสภาพเป็นรัฐทุนนิยมชายขอบซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐจักรวรรดิอเมริกาในการดำเนินสงครามต่อต้านการแพร่ขยายของพลังโลกสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถ้าเราไม่สามารถวิเคราะห์จุดเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยกับทุนนิยมศูนย์กลางได้ เราก็ไม่มีทางเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นอะไรแน่ และยืนอยู่ตำแหน่งแห่งที่ใดในระบบโลก
นอกจากนี้ Braudel ได้อิทธิพลจากแนวคิดของ ไอน์สไตน์ ในเรื่องความสำคัญของพื้นที่ (หน่วยที่เคลื่อนที่) และเวลา การเข้าใจแบบนี้ช่วยทำให้เราเข้าใจภาพการเคลื่อนตัวของประวัติศาสตร์เชิงซ้อนในแต่ละระดับที่ต่างกัน ซึ่งเชื่อมโยงและมีชีวิตที่พลิกผัน มีอิทธิพลต่อกันอย่างสัมพัทธ์ได้
แต่บรรดานักประวัติศาสตร์ทั่วไปจะสนใจวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ในระดับหรือในมิติเดียว นั่นคือ มิติการพัฒนาการในระดับประเทศ มิติของระบบชนชั้น และเรื่องราวสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจเฉพาะเรื่องราวของอาณาจักร หรือรัฐศูนย์กลางเท่านั้น ที่สำคัญการเข้าใจแบบนี้จะคล้ายกับการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่อกันไปเรื่อยๆ ราวกับทุกเรื่องต่อกันเป็นเส้นตรง
Braudel ชี้ว่า ในยุคเศรษฐกิจโลก ประวัติศาสตร์อย่างน้อยมีมิติการเคลื่อนตัวเชิงซ้อน ๓ ระดับ ระดับแรกคือ ระดับชีวิตผู้คนทั่วไปซึ่งมีการเคลื่อนตัวเป็นวงจรสั้นๆ แบบวันต่อวัน ระดับที่สองคือ การเคลื่อนตัวของระบบเศรษฐกิจการเมืองในระดับประเทศ ซึ่งมีวงจรเศรษฐกิจและการเมือง (ขยาย และหด) ที่ยาวกว่า และระดับสุดท้ายคือ วงจรการเคลื่อนตัวแบบพลิกผันในระดับโลก
ดังนั้น ผู้คนจะมีชีวิตอยู่กับมิติของเวลา และการเคลื่อนตัวที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ทุกระดับมีอิทธิพลต่อกันแบบสัมพัทธ์ อย่างเช่น คนทุกคนนอกจากจะมีวิถีชีวิตแบบวันต่อวัน และแบบพลิกผัน(บางช่วง)แล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับวัฏจักรทางเศรษฐกิจ และวัฏจักรการเมืองซึ่งมีวงจรขึ้นลง และพลิกผันในระดับประเทศ และยังต้องเผชิญกับวงจรพลิกผันระดับโลก
การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์แบบนี้จะเปิดภาพของชีวิตผู้คน ว่ามีชีวิตดิ้นรนต่อสู้อย่างไรในมิติการเคลื่อนตัวที่ซับซ้อน และทำให้ชีวิตของผู้คนในทุกระดับชั้นมีความหมายในทางประวัติศาสตร์
เพื่อนคนหนึ่งถามว่า
“การมองประวัติศาสตร์ผ่านมิติชนชั้นแบบ Marxism ไม่เพียงพอหรือ”
ผมตอบว่า
การมองประวัติศาสตร์ผ่านการต่อสู้ก็ถือว่าเป็นการอธิบายโลกในมิติเดียว เราต้องตระหนักว่าชีวิตผู้คนนั้นมีหลายระดับและหลายมิติ การวิเคราะห์แบบนี้จะทำให้เราเห็นภาพผู้คนที่ละเอียดกว่าการศึกษาในเชิงชนชั้น อย่างเช่น เราจะสามารถเข้าใจเรื่องราวของโสเภณี หมอลำ คนใช้ในบ้าน ขอทาน และบรรดาคนบ้าซึ่งไม่มีฐานะทางชนชั้นที่แน่นอน และไม่เคยมีความหมายเลยในวิชาประวัติศาสตร์
สุดท้าย Braudel ยังเสนอว่านักประวัติศาสตร์ต้องไม่หลงอยู่กับเรื่องในอดีตเท่านั้น เพราะวิชาประวัติศาสตร์จะมีค่าหรือมีความสำคัญขึ้นได้อย่างจริงๆ เราต้องเชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
การคาดการณ์อนาคต หรือประวัติศาสตร์อนาคตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ปัจจุบันเราควรวางแผนชีวิตอย่างไรเพื่อเผชิญกับสภาวะสังคมและโลกที่พลิกผันไปตลอดเวลา
ผมขอคิดเสริมสักนิดว่าถ้าคิดแบบ Braudel เราต้องไม่เป็นนักประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เราต้องเป็นนักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีด้วย จึงจะรู้ว่าจะวางแผนปรับเปลี่ยนตัวเราเอง หรือสังคมอย่างไร
Wallerstein ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Braudel ได้พยายามทำให้ภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านจึงหันไปใช้ทฤษฎีระบบมาช่วยในการวิเคราะห์ ระบบโลก
Wallerstein ได้นำเสนอภาพสเกตช์ว่า ระบบโลกจะต้องมีศูนย์กลาง มีส่วนรอบใน และส่วนรอบนอก(หรือชายขอบ)
ระบบโลกตามนัยนี้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และ 16 โดยมีบรรดาประเทศในยุโรปเป็นศูนย์กลาง โดยก่อตัวขึ้นจากการปฏิวัติในด้านของการสื่อสาร การค้า รวมทั้งการทำสงครามปล้นชิง และการล่าอาณานิคม
มองในแง่นี้ ทฤษฎีระบบโลกจะต่างจากความคิดแบบลัทธิ Marx ซึ่งอธิบายว่า ระบบทุนนิยมเกิดจากการปฏิวัติพลังการผลิต(อุตสาหกรรม)
แต่ถึงอย่างไร Wallerstein ก็ยังรับอิทธิพลการอธิบายโลกจากพวก Neo-Marxism อยู่บ้างเช่นกัน สาเหตุจากผู้ร่วมงานในสำนักระบบโลกมีหลายท่านที่เป็น Neo-Marxists อย่างเช่น ท่านอาจารย์ผมคนหนึ่ง James Petras
ความแตกต่างสำคัญของ Marxism กับแนวคิด Neo-Marxism คือบรรดาชาว Marx ดั้งเดิมจะให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น การปฏิวัติพลังการผลิตอย่างมาก จนคล้ายกับว่า เศรษฐกิจ หรือพลังการผลิต มีบทบาทเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในขณะที่บรรดา Neo-Marxists จะให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางการเมือง และวัฒนธรรมมากพอๆ หรือไม่น้อยกว่าการให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น
James Petras จะเชื่อว่า มิติการเมือง หรือรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของระบบโลก อาจจะสำคัญไม่น้อยกว่าเศรษฐกิจ เนื่องจากการเกิดขึ้นของศูนย์กลางของระบบโลกจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีความสามารถที่จะสร้างรัฐที่เข้มแข็งอย่างยิ่ง ต้องวางระบบเครือข่ายแห่งอำนาจรัฐและกำลังรบขึ้นทั่วโลก รวมทั้งต้องสร้างฐานทัพขึ้นทั่วโลกเช่นกัน และรัฐศูนย์กลางต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของโลกในเวลาเดียวกัน จึงจะสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางของระบบโลกไว้ได้
ผมขยายความต่อว่า
ทฤษฎีระบบโลกไม่ได้หยุดนิ่งตายตัวที่ทฤษฎีระบบเท่านั้น เพราะระบบโลกเคลื่อนตัวพลิกผันไปตลอดเวลา
ในช่วงอุตสาหกรรม ทฤษฎีระบบโลกจะให้ความสำคัญต่อการเผชิญหน้าทางชนชั้นระหว่างกรรมมาชีพกับชนชั้นนายทุน และระหว่างประเทศเมืองขึ้นกับประเทศทุนศูนย์กลาง ว่าคือปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดการเปลี่ยนผันในระบบโลก
แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทฤษฎีระบบโลกเริ่มพลิกผันการอธิบายใหม่ เพราะในช่วงนี้ระบบอารยธรรมโลก (ทั้งทุนนิยม และสังคมนิยม) เริ่มปรับเปลี่ยน และสามารถสร้างระบบอารยธรรมที่มีดุลยภาพขึ้น โดยการสร้างระบบที่สามารถประสานผลประโยชน์ทางชนชั้น อย่างเช่น ระบบรัฐสวัสดิการเข้ามาใช้ จนทำให้พลังการต่อสู้ทางชนชั้นลดทอนลง
หลังจากช่วงปี ๑๙๖๐ พลังนำสำคัญในการต่อต้านระบบกลับกลายเป็นพลังเยาวชน ประสานกับการเคลื่อนตัวของชนชั้นกลาง ชนชั้นล่างในเมือง เริ่มเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหญ่ประมาณช่วงปี ๑๙๖๘ ที่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป (มีการลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ที่ประเทศฝรั่งเศส)
ในประเทศทุนนิยมชายขอบ อย่างเช่น ประเทศไทย และอิหร่าน ก็มีการลุกขึ้นสู้ของพลังเยาวชน เช่นกัน
ในช่วงประวัติศาสตร์ปัจจุบันนี้ ทฤษฎีระบบโลกเรียกการลุกขึ้นสู้ของบรรดาเยาวชนและประชาชนในเมือง ว่าเป็นการสู้เพื่อต่อต้านระบบ(อารยธรรม)
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เยาวชนในอเมริกา และยุโรป ไม่ได้ต่อต้านเรื่องการล่าอาณานิคม และการขยายตัวของบรรษัทข้ามชาติเท่านั้น แต่ต้านระบบอารยธรรมขนาดใหญ่ที่รุ่งเรืองและก้าวหน้าด้วย เนื่องจากพวกเขาเริ่มเห็นอันตรายว่าความเป็นระบบขนาดใหญ่ ซึ่งมีระเบียบ และกฎเกณฑ์มหาศาลได้กลับกลายเป็นกรงเหล็กที่สามารถกักขังชีวิตผู้คนไว้ (ชีวิตผู้คนดูจะสบาย แต่คนเหล่านี้ไม่ต่างจากนกน้อยในกรงทอง)
ถ้าเราใช้วิถีการวิเคราะห์โลกแบบ Braudel ศึกษาชีวิตผู้คนทั่วไป เราจะพบว่า ชีวิตคนทั้งในอเมริกาซึ่งเรียกว่า เป็นประชาธิปไตย มีชีวิตที่น่าเบื่อและไร้ความหมาย เพราะคนกลายเป็นเพียงตัวจักรตัวหนึ่งที่ไร้ชีวิต และความเป็นประชาธิปไตยมีค่าเพียงแค่กบไปเลือกนายเท่านั้น
ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาการไป ชีวิตแรงงานก็น่าเบื่อมากขึ้น
ทุกวันนี้ เด็กจบปริญญาตรีต้องไปทำงานแบบเดียวกัน ซ้ำๆกัน ทุกๆวัน “รับเงิน และทอนเงิน”
นี่หรือคืองาน งานที่น่าเบื่อสุด แต่ต้องทำเช่นนี้ทุกวัน
และที่น่าเบื่อกว่าคือ ระบบรัฐสังคมนิยม ที่คนทุกคนกลายเป็นข้าราชการของรัฐ แม้จะมีชีวิตที่ดูดี ในแง่ที่มีการศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรี แต่ชีวิตผู้คนได้กลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว คนที่จะมีค่าและมีความสำคัญก็คือ บรรดาเจ้านายเหนือหัว หรือผู้นำพรรคเท่านั้น
นี่หมายความว่า ระบบอำนาจที่มีขนาดใหญ่สามารถกลืนกินความเป็นมนุษย์ และทำลายความเป็นคนได้ด้วย นอกจากนี้เราพบว่า ระบบขนาดใหญ่ยังสามารถล้างสมองมนุษย์ได้ โดยใช้เครื่องมือ อย่างเช่น การโฆษณาผ่านวิทยุ ผ่านทีวี รวมทั้งระบบการศึกษาเองก็สร้างมนุษย์มิติเดียว (เป็นหมอ ก็รู้แต่เรื่องการรักษาพยาบาลเท่านั้น)
อย่างเช่น ในยุคสงครามเย็น ผู้คนในโลกทุนนิยมก็จะถูกล้างสมองว่าสังคมนิยมเลวทรามต่ำช้าอย่างยิ่ง ในขณะที่ระบบรัฐสังคมนิยมก็ทำไม่ต่างกัน
ช่วงปลายยุคอุตสาหกรรมนี้ สื่อสารมวลชนได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ทีวี และวิทยุได้มีการขยายบทบาทและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน ผู้คนในโลกถูกล้างสมองด้วยลัทธิบริโภคนิยม และลัทธิคลั่งความรวย ไม่ใช่ผู้ขายแรงงานเท่านั้นที่ถูกล้างสมอง บรรดานายทุนและชนชั้นกลางเองก็ถูกล้างสมองไม่ต่างกัน
คนรวยทุกวันนี้ รู้เพียงว่าต้องหาเงิน และหาเงิน ไม่สิ้นไม่สุด โดยคิดว่า “มีเงินมาก” ก็จะมีความสุขมาก แต่ที่จริงชีวิตพวกเขาต้องทำงานเป็น “ทาส ” ที่ปลดปล่อยไม่ไป
หาเงิน หาเงิน หาได้นับร้อยล้าน ก็หยุดไม่ได้ ต้องหาเงินต่อไปอีก และหาไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อหลบหลีกออกจากอำนาจรัฐ และอำนาจสื่อ รวมทั้งอำนาจเงิน ความพยายามแสวงหาทางออกใหม่ของปัญญาชนในสมัยนั้นได้เกิดขึ้น และเป็นที่มาของการสร้างชุมชนสมัยใหม่ที่เรียกว่า พวกฮิปปี้
อิทธิพลแบบฮิปปี้ได้เข้ามาสู่บรรดานักศึกษาสมัย 14 ตุลา ผ่านการแต่งตัวที่เรียกว่า 5 ย ผมยาว เสื้อยับ กางเกงยีนส์ รองเท้ายาง และสะพายย่าม
พวกเขาคิดว่า ที่แท้แล้ว สิ่งที่มนุษย์ต้องการไม่ใช่การสร้างระบบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีกฎเกณฑ์มากมาย หรือสร้างรัฐสวัสดิการ
สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆ คือ เสรีภาพ อิสรภาพ และความสุข
ในช่วงนี้ มีความพยายามสร้างชุมชนเล็กๆขึ้น และเกิดแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยชุมชน และแนวคิดที่กล่าวว่า Small is beautiful
ในเวลาเดียวกัน แนวคิดตะวันออกบางสาย อย่างเช่น แนวคิดของกฤษณะมูรติ และแนวคิดแบบเซ็น (พุทธแบบอิสระ) ได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้างชุมชนใหม่
ผมได้หยุดพักการอภิปราย และเปิดจังหวะให้เพื่อนๆได้แลกเปลี่ยน
เพื่อนบางคนเชื่อว่า
“หลังจากนี้ไป ปัญญาชนน่าจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้มากขึ้น และมากกว่าชนชั้นกรรมาชีพเสียอีก”
ผมตอบว่า
“ในช่วงปลายยุคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีที่สมัยใหม่มีส่วนทำให้หน่วยการผลิตและบริการมีขนาดเล็กลงอย่างมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พลังของชนชั้นกรรมาชีพถดถอยลง ในเวลาเดียวกัน อำนาจของสื่อและบันเทิงได้ดึงบรรดาเยาวชน และปัญญาชนออกจากโลกการต่อสู้ แม้แต่บรรดาปัญญาชนที่พยายามหนีออกจากระบบ ถึงที่สุดแล้ว ก็หนีไม่พ้น ยุคฮิปปี้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี ๖๐ ถึง ๗๐ จึงสิ้นสุดลงเช่นกัน”
ผมกล่าวต่อว่า
“ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างสิ้นหวังเพราะระบบโลกเองก็มีชีวิตที่พลิกผัน และไม่ต่างจากชีวิตทั่วไป เมื่อเจริญจนถึงจุดสูงสุด ระบบโลกก็ก้าวเข้าสู่ช่วงเสื่อมถอย หรือวิกฤติขนาดใหญ่”
(ยังมีต่อ)
ในงานพูดกึ่งอภิปรายและแลกเปลี่ยน เพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการตั้งประเด็นถามผมว่า
“ทฤษฎีระบบโลกมีความเป็นมาอย่างไร”
ผมตอบว่า
ทฤษฎีที่เรียกกันว่า ทฤษฎีระบบโลก มีที่มาจากนักคิดที่สำคัญ 2 คน
คนแรกคือ Fernand Braudel อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ชื่อว่า Immanuel Wallerstein
Braudel เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของโลก และท่านได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานเชิงประวัติศาสตร์อย่างมากๆ แต่เป็นการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์ทั่วไปตรงที่ท่านศึกษาประวัติศาสตร์โลกในกรอบที่กว้างกว่ากรอบศึกษาของนักประวัติศาสตร์ทั่วไปที่มักจะเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์จากกรอบของประเทศ
Braudel เสนอว่า การเข้าใจประวัติศาสตร์ในกรอบของประเทศทำให้เรามองข้ามการเคลื่อนตัวของประวัติศาสตร์โลกในขอบเขตที่เกินกว่าพรมแดนประเทศ
ท่านจึงศึกษากำเนิดของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นที่มาของระบบทุนนิยมโลกใหม่ โดยย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 15 และเสนอว่า ระบบเศรษฐกิจโลกได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาอย่างเป็นระบบโดยมีศูนย์กลางที่ยุโรป ด้วยการขยายตัวของการค้า และวัฒนธรรม รวมทั้งการทำสงครามปล้นชิง และล่าอาณานิคมที่มีขอบเขตเกินกว่าประเทศ
คนไทยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า ทุนนิยมเกิดจาก การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 18 และมีข้อสรุปว่า ทุนนิยม คือระบบอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
ในสมัยก่อน บรรดาฝ่ายซ้าย (ไทย) มักจะถกกันว่า เมืองไทยเป็นทุนนิยมหรือยัง โดยใช้กรอบประเทศไทยในการวิเคราะห์ โดยพิจารณาดูว่าประเทศไทยนั้นพัฒนาอุตสาหกรรมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีไม่มากนัก เราก็จะคิดว่า เราเป็นประเทศกึ่งๆ อย่างเช่น กึ่งศักดินา กึ่งทุนนิยม
เราไม่เคยศึกษาการก่อเกิดระบบโลกทั้งระบบ ซึ่งทำให้เรามองข้ามความจริงว่าประเทศไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก เริ่มตั้งแต่ยุคที่บรรดาชาติยุโรปเข้ามาไล่ล่าอาณานิคม (ย้อนไปตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และ ๕ และเป็นที่มาของการยกเลิกระบบไพร่ และทาสในสมัยนี้)
ชาวทฤษฎีระบบโลกจะเรียกประเทศไทยว่า ประเทศทุนนิยมชายขอบ และเสนอว่าความเป็นชายขอบมีพัฒนาการที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ที่สำคัญ ความเป็นชายขอบก่อตัวอย่างเป็นระบบที่เชื่อมต่อทางการเมืองกับศูนย์ของระบบทุนนิยมโลก ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในช่วงนี้เอง ตัวรัฐไทยได้แปรสภาพเป็นรัฐทุนนิยมชายขอบซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐจักรวรรดิอเมริกาในการดำเนินสงครามต่อต้านการแพร่ขยายของพลังโลกสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถ้าเราไม่สามารถวิเคราะห์จุดเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยกับทุนนิยมศูนย์กลางได้ เราก็ไม่มีทางเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นอะไรแน่ และยืนอยู่ตำแหน่งแห่งที่ใดในระบบโลก
นอกจากนี้ Braudel ได้อิทธิพลจากแนวคิดของ ไอน์สไตน์ ในเรื่องความสำคัญของพื้นที่ (หน่วยที่เคลื่อนที่) และเวลา การเข้าใจแบบนี้ช่วยทำให้เราเข้าใจภาพการเคลื่อนตัวของประวัติศาสตร์เชิงซ้อนในแต่ละระดับที่ต่างกัน ซึ่งเชื่อมโยงและมีชีวิตที่พลิกผัน มีอิทธิพลต่อกันอย่างสัมพัทธ์ได้
แต่บรรดานักประวัติศาสตร์ทั่วไปจะสนใจวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ในระดับหรือในมิติเดียว นั่นคือ มิติการพัฒนาการในระดับประเทศ มิติของระบบชนชั้น และเรื่องราวสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจเฉพาะเรื่องราวของอาณาจักร หรือรัฐศูนย์กลางเท่านั้น ที่สำคัญการเข้าใจแบบนี้จะคล้ายกับการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่อกันไปเรื่อยๆ ราวกับทุกเรื่องต่อกันเป็นเส้นตรง
Braudel ชี้ว่า ในยุคเศรษฐกิจโลก ประวัติศาสตร์อย่างน้อยมีมิติการเคลื่อนตัวเชิงซ้อน ๓ ระดับ ระดับแรกคือ ระดับชีวิตผู้คนทั่วไปซึ่งมีการเคลื่อนตัวเป็นวงจรสั้นๆ แบบวันต่อวัน ระดับที่สองคือ การเคลื่อนตัวของระบบเศรษฐกิจการเมืองในระดับประเทศ ซึ่งมีวงจรเศรษฐกิจและการเมือง (ขยาย และหด) ที่ยาวกว่า และระดับสุดท้ายคือ วงจรการเคลื่อนตัวแบบพลิกผันในระดับโลก
ดังนั้น ผู้คนจะมีชีวิตอยู่กับมิติของเวลา และการเคลื่อนตัวที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ทุกระดับมีอิทธิพลต่อกันแบบสัมพัทธ์ อย่างเช่น คนทุกคนนอกจากจะมีวิถีชีวิตแบบวันต่อวัน และแบบพลิกผัน(บางช่วง)แล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับวัฏจักรทางเศรษฐกิจ และวัฏจักรการเมืองซึ่งมีวงจรขึ้นลง และพลิกผันในระดับประเทศ และยังต้องเผชิญกับวงจรพลิกผันระดับโลก
การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์แบบนี้จะเปิดภาพของชีวิตผู้คน ว่ามีชีวิตดิ้นรนต่อสู้อย่างไรในมิติการเคลื่อนตัวที่ซับซ้อน และทำให้ชีวิตของผู้คนในทุกระดับชั้นมีความหมายในทางประวัติศาสตร์
เพื่อนคนหนึ่งถามว่า
“การมองประวัติศาสตร์ผ่านมิติชนชั้นแบบ Marxism ไม่เพียงพอหรือ”
ผมตอบว่า
การมองประวัติศาสตร์ผ่านการต่อสู้ก็ถือว่าเป็นการอธิบายโลกในมิติเดียว เราต้องตระหนักว่าชีวิตผู้คนนั้นมีหลายระดับและหลายมิติ การวิเคราะห์แบบนี้จะทำให้เราเห็นภาพผู้คนที่ละเอียดกว่าการศึกษาในเชิงชนชั้น อย่างเช่น เราจะสามารถเข้าใจเรื่องราวของโสเภณี หมอลำ คนใช้ในบ้าน ขอทาน และบรรดาคนบ้าซึ่งไม่มีฐานะทางชนชั้นที่แน่นอน และไม่เคยมีความหมายเลยในวิชาประวัติศาสตร์
สุดท้าย Braudel ยังเสนอว่านักประวัติศาสตร์ต้องไม่หลงอยู่กับเรื่องในอดีตเท่านั้น เพราะวิชาประวัติศาสตร์จะมีค่าหรือมีความสำคัญขึ้นได้อย่างจริงๆ เราต้องเชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
การคาดการณ์อนาคต หรือประวัติศาสตร์อนาคตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ปัจจุบันเราควรวางแผนชีวิตอย่างไรเพื่อเผชิญกับสภาวะสังคมและโลกที่พลิกผันไปตลอดเวลา
ผมขอคิดเสริมสักนิดว่าถ้าคิดแบบ Braudel เราต้องไม่เป็นนักประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เราต้องเป็นนักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีด้วย จึงจะรู้ว่าจะวางแผนปรับเปลี่ยนตัวเราเอง หรือสังคมอย่างไร
Wallerstein ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Braudel ได้พยายามทำให้ภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านจึงหันไปใช้ทฤษฎีระบบมาช่วยในการวิเคราะห์ ระบบโลก
Wallerstein ได้นำเสนอภาพสเกตช์ว่า ระบบโลกจะต้องมีศูนย์กลาง มีส่วนรอบใน และส่วนรอบนอก(หรือชายขอบ)
ระบบโลกตามนัยนี้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และ 16 โดยมีบรรดาประเทศในยุโรปเป็นศูนย์กลาง โดยก่อตัวขึ้นจากการปฏิวัติในด้านของการสื่อสาร การค้า รวมทั้งการทำสงครามปล้นชิง และการล่าอาณานิคม
มองในแง่นี้ ทฤษฎีระบบโลกจะต่างจากความคิดแบบลัทธิ Marx ซึ่งอธิบายว่า ระบบทุนนิยมเกิดจากการปฏิวัติพลังการผลิต(อุตสาหกรรม)
แต่ถึงอย่างไร Wallerstein ก็ยังรับอิทธิพลการอธิบายโลกจากพวก Neo-Marxism อยู่บ้างเช่นกัน สาเหตุจากผู้ร่วมงานในสำนักระบบโลกมีหลายท่านที่เป็น Neo-Marxists อย่างเช่น ท่านอาจารย์ผมคนหนึ่ง James Petras
ความแตกต่างสำคัญของ Marxism กับแนวคิด Neo-Marxism คือบรรดาชาว Marx ดั้งเดิมจะให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น การปฏิวัติพลังการผลิตอย่างมาก จนคล้ายกับว่า เศรษฐกิจ หรือพลังการผลิต มีบทบาทเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในขณะที่บรรดา Neo-Marxists จะให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางการเมือง และวัฒนธรรมมากพอๆ หรือไม่น้อยกว่าการให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น
James Petras จะเชื่อว่า มิติการเมือง หรือรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของระบบโลก อาจจะสำคัญไม่น้อยกว่าเศรษฐกิจ เนื่องจากการเกิดขึ้นของศูนย์กลางของระบบโลกจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีความสามารถที่จะสร้างรัฐที่เข้มแข็งอย่างยิ่ง ต้องวางระบบเครือข่ายแห่งอำนาจรัฐและกำลังรบขึ้นทั่วโลก รวมทั้งต้องสร้างฐานทัพขึ้นทั่วโลกเช่นกัน และรัฐศูนย์กลางต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของโลกในเวลาเดียวกัน จึงจะสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางของระบบโลกไว้ได้
ผมขยายความต่อว่า
ทฤษฎีระบบโลกไม่ได้หยุดนิ่งตายตัวที่ทฤษฎีระบบเท่านั้น เพราะระบบโลกเคลื่อนตัวพลิกผันไปตลอดเวลา
ในช่วงอุตสาหกรรม ทฤษฎีระบบโลกจะให้ความสำคัญต่อการเผชิญหน้าทางชนชั้นระหว่างกรรมมาชีพกับชนชั้นนายทุน และระหว่างประเทศเมืองขึ้นกับประเทศทุนศูนย์กลาง ว่าคือปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดการเปลี่ยนผันในระบบโลก
แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทฤษฎีระบบโลกเริ่มพลิกผันการอธิบายใหม่ เพราะในช่วงนี้ระบบอารยธรรมโลก (ทั้งทุนนิยม และสังคมนิยม) เริ่มปรับเปลี่ยน และสามารถสร้างระบบอารยธรรมที่มีดุลยภาพขึ้น โดยการสร้างระบบที่สามารถประสานผลประโยชน์ทางชนชั้น อย่างเช่น ระบบรัฐสวัสดิการเข้ามาใช้ จนทำให้พลังการต่อสู้ทางชนชั้นลดทอนลง
หลังจากช่วงปี ๑๙๖๐ พลังนำสำคัญในการต่อต้านระบบกลับกลายเป็นพลังเยาวชน ประสานกับการเคลื่อนตัวของชนชั้นกลาง ชนชั้นล่างในเมือง เริ่มเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหญ่ประมาณช่วงปี ๑๙๖๘ ที่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป (มีการลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ที่ประเทศฝรั่งเศส)
ในประเทศทุนนิยมชายขอบ อย่างเช่น ประเทศไทย และอิหร่าน ก็มีการลุกขึ้นสู้ของพลังเยาวชน เช่นกัน
ในช่วงประวัติศาสตร์ปัจจุบันนี้ ทฤษฎีระบบโลกเรียกการลุกขึ้นสู้ของบรรดาเยาวชนและประชาชนในเมือง ว่าเป็นการสู้เพื่อต่อต้านระบบ(อารยธรรม)
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เยาวชนในอเมริกา และยุโรป ไม่ได้ต่อต้านเรื่องการล่าอาณานิคม และการขยายตัวของบรรษัทข้ามชาติเท่านั้น แต่ต้านระบบอารยธรรมขนาดใหญ่ที่รุ่งเรืองและก้าวหน้าด้วย เนื่องจากพวกเขาเริ่มเห็นอันตรายว่าความเป็นระบบขนาดใหญ่ ซึ่งมีระเบียบ และกฎเกณฑ์มหาศาลได้กลับกลายเป็นกรงเหล็กที่สามารถกักขังชีวิตผู้คนไว้ (ชีวิตผู้คนดูจะสบาย แต่คนเหล่านี้ไม่ต่างจากนกน้อยในกรงทอง)
ถ้าเราใช้วิถีการวิเคราะห์โลกแบบ Braudel ศึกษาชีวิตผู้คนทั่วไป เราจะพบว่า ชีวิตคนทั้งในอเมริกาซึ่งเรียกว่า เป็นประชาธิปไตย มีชีวิตที่น่าเบื่อและไร้ความหมาย เพราะคนกลายเป็นเพียงตัวจักรตัวหนึ่งที่ไร้ชีวิต และความเป็นประชาธิปไตยมีค่าเพียงแค่กบไปเลือกนายเท่านั้น
ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาการไป ชีวิตแรงงานก็น่าเบื่อมากขึ้น
ทุกวันนี้ เด็กจบปริญญาตรีต้องไปทำงานแบบเดียวกัน ซ้ำๆกัน ทุกๆวัน “รับเงิน และทอนเงิน”
นี่หรือคืองาน งานที่น่าเบื่อสุด แต่ต้องทำเช่นนี้ทุกวัน
และที่น่าเบื่อกว่าคือ ระบบรัฐสังคมนิยม ที่คนทุกคนกลายเป็นข้าราชการของรัฐ แม้จะมีชีวิตที่ดูดี ในแง่ที่มีการศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรี แต่ชีวิตผู้คนได้กลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว คนที่จะมีค่าและมีความสำคัญก็คือ บรรดาเจ้านายเหนือหัว หรือผู้นำพรรคเท่านั้น
นี่หมายความว่า ระบบอำนาจที่มีขนาดใหญ่สามารถกลืนกินความเป็นมนุษย์ และทำลายความเป็นคนได้ด้วย นอกจากนี้เราพบว่า ระบบขนาดใหญ่ยังสามารถล้างสมองมนุษย์ได้ โดยใช้เครื่องมือ อย่างเช่น การโฆษณาผ่านวิทยุ ผ่านทีวี รวมทั้งระบบการศึกษาเองก็สร้างมนุษย์มิติเดียว (เป็นหมอ ก็รู้แต่เรื่องการรักษาพยาบาลเท่านั้น)
อย่างเช่น ในยุคสงครามเย็น ผู้คนในโลกทุนนิยมก็จะถูกล้างสมองว่าสังคมนิยมเลวทรามต่ำช้าอย่างยิ่ง ในขณะที่ระบบรัฐสังคมนิยมก็ทำไม่ต่างกัน
ช่วงปลายยุคอุตสาหกรรมนี้ สื่อสารมวลชนได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ทีวี และวิทยุได้มีการขยายบทบาทและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน ผู้คนในโลกถูกล้างสมองด้วยลัทธิบริโภคนิยม และลัทธิคลั่งความรวย ไม่ใช่ผู้ขายแรงงานเท่านั้นที่ถูกล้างสมอง บรรดานายทุนและชนชั้นกลางเองก็ถูกล้างสมองไม่ต่างกัน
คนรวยทุกวันนี้ รู้เพียงว่าต้องหาเงิน และหาเงิน ไม่สิ้นไม่สุด โดยคิดว่า “มีเงินมาก” ก็จะมีความสุขมาก แต่ที่จริงชีวิตพวกเขาต้องทำงานเป็น “ทาส ” ที่ปลดปล่อยไม่ไป
หาเงิน หาเงิน หาได้นับร้อยล้าน ก็หยุดไม่ได้ ต้องหาเงินต่อไปอีก และหาไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อหลบหลีกออกจากอำนาจรัฐ และอำนาจสื่อ รวมทั้งอำนาจเงิน ความพยายามแสวงหาทางออกใหม่ของปัญญาชนในสมัยนั้นได้เกิดขึ้น และเป็นที่มาของการสร้างชุมชนสมัยใหม่ที่เรียกว่า พวกฮิปปี้
อิทธิพลแบบฮิปปี้ได้เข้ามาสู่บรรดานักศึกษาสมัย 14 ตุลา ผ่านการแต่งตัวที่เรียกว่า 5 ย ผมยาว เสื้อยับ กางเกงยีนส์ รองเท้ายาง และสะพายย่าม
พวกเขาคิดว่า ที่แท้แล้ว สิ่งที่มนุษย์ต้องการไม่ใช่การสร้างระบบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีกฎเกณฑ์มากมาย หรือสร้างรัฐสวัสดิการ
สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆ คือ เสรีภาพ อิสรภาพ และความสุข
ในช่วงนี้ มีความพยายามสร้างชุมชนเล็กๆขึ้น และเกิดแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยชุมชน และแนวคิดที่กล่าวว่า Small is beautiful
ในเวลาเดียวกัน แนวคิดตะวันออกบางสาย อย่างเช่น แนวคิดของกฤษณะมูรติ และแนวคิดแบบเซ็น (พุทธแบบอิสระ) ได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้างชุมชนใหม่
ผมได้หยุดพักการอภิปราย และเปิดจังหวะให้เพื่อนๆได้แลกเปลี่ยน
เพื่อนบางคนเชื่อว่า
“หลังจากนี้ไป ปัญญาชนน่าจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้มากขึ้น และมากกว่าชนชั้นกรรมาชีพเสียอีก”
ผมตอบว่า
“ในช่วงปลายยุคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีที่สมัยใหม่มีส่วนทำให้หน่วยการผลิตและบริการมีขนาดเล็กลงอย่างมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พลังของชนชั้นกรรมาชีพถดถอยลง ในเวลาเดียวกัน อำนาจของสื่อและบันเทิงได้ดึงบรรดาเยาวชน และปัญญาชนออกจากโลกการต่อสู้ แม้แต่บรรดาปัญญาชนที่พยายามหนีออกจากระบบ ถึงที่สุดแล้ว ก็หนีไม่พ้น ยุคฮิปปี้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี ๖๐ ถึง ๗๐ จึงสิ้นสุดลงเช่นกัน”
ผมกล่าวต่อว่า
“ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างสิ้นหวังเพราะระบบโลกเองก็มีชีวิตที่พลิกผัน และไม่ต่างจากชีวิตทั่วไป เมื่อเจริญจนถึงจุดสูงสุด ระบบโลกก็ก้าวเข้าสู่ช่วงเสื่อมถอย หรือวิกฤติขนาดใหญ่”
(ยังมีต่อ)