พลังประชาชนดิ้นหนีประเด็นร้อนยุบพรรค ขู่แฉเอกสาร พยานบุคคล หาก "สิทธิชัย" ไม่ยุติเรื่องลายเซ็นต์ปลอม อ้าง "สมัคร-สมาน" ไม่เกี่ยว หากมีการปลอมแปลงจริงก็เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดเก่า "สมัคร" โวยเอะอะจะยุบแต่พปช. ทำไมไม่เห็นจะยุบพรรคอื่นบ้าง "สดศรี"ระบุจะยุบพรรคฐานปลอมลายเซ็นต์ได้ เจ้าตัวต้องร้องเรียนมา ล่าสุด "สิทธิชัย" ประกาศไม่ฟ้องแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กกต.
ทำท่าว่าจะกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ผู้สมัครส.ส.ระบบสัดส่วน ของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ถูกกกต. ตัดสิทธิจากการเป็นผู้สมัคร เนื่องจากมีรายชื่อเป็นสมาชิก 2 พรรคการเมือง คือ เป็นทั้งสมาชิกพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งนายสิทธิชัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ว่า ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งในที่สุดศาล ได้สั่งคืนสิทธิการผู้สมัครส.ส. ให้นายสิทธิชัย เนื่องจากพิสูจน์ได้ว่า ลายมือชื่อในใบสมัครของพรรคพลังประชาชน นั้นไม่ใช่ลายเซ็น ของนายสิทธิชัย
หลังจากได้คืนสิทธิเป็นผู้สมัครแล้ว นายสิทธิชัย ก็ ประกาศเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับพรรคพลังประชาชนฐานปลอมแปลงลายเซ็นต์ทันที เมื่อผู้สื่อข่าวนำเรื่องนี้ไปถามนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่มีความคิด พรรคพลังประชาชน ตั้งใจทำเรื่องนี้ตามหลักเกณฑ์ เจ้าตัวเคยอยู่พรรคไหนก็รู้กันอยู่ เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ลายมือไม่เหมือน นายทะเบียนพรรคเก่า เขารู้ลายมือว่าเหมือนของเดิม
"ถามหน่อยว่า อยู่ส.ส.สัดส่วน อันดับที่ 1 หรือเปล่า เราถึงต้องไปกลั่นแกล้ง พรรคไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเสียหาย ยุบพรรคเป็นเรื่องตลก ทำไมไม่เห็นจะยุบพรรคอื่นบ้าง เคียดแค้นอะไรกันหนักหนา"นายสมัคร กล่าว
โบ้ยเป็นเรื่องของ กก.บห.พรรคชุดเก่า
ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การที่นายสิทธิชัย ระบุว่า ลายเซ็นต์ในใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เป็นของปลอมนั้น จากการไต่สวนของศาลได้รับข้อมูลตามที่ปรากฎจาก กกต. แต่ข้อเท็จจริงนอกเหนือจากนั้น ในแง่ของพยานเอกสาร และพยานบุคคลนั้น นายสมาน เลิศวงศ์รัตน์ นายทะเบียนพรรคพลังประชาชน ไม่ได้ไปเป็นพยานบุคคลด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใด กกต. จึงไม่เรียกนายสมานไปเป็นพยานบุคคล เพราะหากนายสมานไปเป็นพยาน จะทำให้ข้อเท็จจริงชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีที่นายสันติ สาทิตพงศ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ระบุว่า นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนายสมาน มีความผิดทางอาญานั้น นายศุภชัย ยืนยันว่า พรรคไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา วันนี้ นายสิทธิชัย เองก็มีเดิมพันสูงอยู่แล้วคือ คดีนี้หากปรากฎว่า ลายเซ็นต์เป็นของจริง และพยานบุคคลยืนยันว่า นายสิทธิชัย มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคจริง ก็เท่ากับว่า นายสิทธิชัย ไปสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ทั้งๆ ที่รู้ตัวเองดีว่า เป็นสมาชิกพรรคมากกว่า 1 พรรค ดังนั้นขอให้นายสิทธิชัย ยุติ และเลิกออกมาใส่ร้ายคนอื่น
"ช่วงเวลาที่คุณสิทธิชัยมายื่นใบสมัครนั้นคือวันที่ 28 ก.ค. ซึ่ง กกต.ยังไม่ได้รับรอง คุณสมัคร และ คุณสมาน เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อีกทั้งพรรคในขณะนั้นอยู่ในการดูแลของกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนชุดเก่า ที่มี น.ส.สุภาพร เทียนแก้ว และ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว เป็นผู้ดูแล ดังนั้นหากมีการพิสูจน์พบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นจริงอย่างที่คุณสิทธิชัย ไปร้องทุกข์ ก็ให้ไปดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ คุณสมัคร และ คุณสมาน ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในขณะนั้น"นายศุภชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นเกมที่หวังจะข่มขู่ นายสิทธิชัย หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ที่ออกมาแถลงข่าว เพราะผู้สมัคร ส.ส. ส่วนหนึ่งของพรรครู้สึกตกใจกับการออกมาแสดงความคิดเห็นของนายสิทธิชัย และแกนนำของพรรคเพื่อแผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่นายสิทธิชัย ก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไร แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีผลต่อการถูกยุบพรรค เพราะเป็นเรื่องทางอาญามากกว่าการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ว่าด้วยพรรคการเมือง
เมื่อถามว่า นายสิทธิชัย ได้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคด้วยตัวเองใช่ หรือไม่ นาย ศุภชัย กล่าวว่า หลักฐานการสมัครของนายสิทธิชัย เป็นลายมือชื่อ ไม่ใช่ลายเซ็นต์ ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับที่มีการเปรียบเทียบหลักฐานกับลายเซ็นต์ ที่นายสิทธิชัยได้ยื่นไว้ให้ต่อธนาคาร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้พนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ที่ นายสิทธิชัย ไปร้องทุกข์เอาไว้ ให้สอบสวนลายเซ็นต์ตัวอย่าง ของนายสิทธิชัย ด้วย นอกจากนี้พรรคอาจจะมีการนำหลักฐานของนายสิทธิชัย ที่พรรคมีอยู่มาเปิดเผย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเราโดนกล่าวหา เพราะเรามีทั้งพยานบุคคล และพยานเอกสาร
ส่วนหากผลการสอบสวนปรากฎว่า นายสิทธิชัย แจ้งความเท็จจะฟ้องกลับหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า เราไม่อยากที่จะให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นอีก เนื่องจากว่าใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งแล้ว
กกต.ชี้หากจะเอาเรื่องต้องไปร้องศาล
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า เรื่องการปลอมลายมือชื่อหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ศาลยุติธรรมต้องพิสูจน์ กกต. มีหน้าที่เพียงรับสมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครฯ เท่านั้น หากพบว่า ผู้สมัครฯเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมากกว่า 2 พรรค ก็จะถูกตัดสิทธิเป็นผู้สมัครฯ ซึ่งต่อมา นายสิทธิชัย ได้ยื่นคำร้องของคืนสิทธิเลือกตั้งจากศาลฎีกา และศาลฎีกาก็ได้วินิจฉัยว่า มีการปลอมลายมือชื่อ ซึ่งการจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป นายสิทธิชัย ต้องไปร้องเรียนกับศาลยุติธรรม ทั้งนี้ กกต.ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพราะศาลฏีกาได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า มีการปลอมลายมื่อชื่อจริง
เมื่อถามว่า การที่พรรคพลังประชาชน ยื่นเอกสารที่มีการปลอมลายมือชื่อให้แก่ กกต. ถือว่าพรรคพลังประชาชน หลอกลวง กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ได้ตรวจสอบใบสมัครของผู้สมัครฯ พรรคพลังประชาชนแล้ว พบว่า มีลายมือชื่อที่ทางพรรคลงนามรับรองว่า ลายมือชื่อของผู้สมัครฯ นั้นเป็นของจริง ดังนั้น กกต.คงไม่สามารถตรวจสอบผู้สมัครฯโดยตรงว่าลายมือชื่อดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ เพราะหัวหน้าพรรคยืนยันว่า ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นของจริง กกต.ก็ต้องเชื่อไปตามนั้น และถือว่าเรื่องของ กกต.จบแล้ว
ส่วน กกต. จะเอาผิดกับหัวหน้าพรรคที่ลงชื่อรับรองใบสมัครของผู้สมัครฯ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่นายสิทธิชัย ต้องแจ้งเรื่องมาที่ กกต.ก่อนว่า พรรคได้ปลอมลายมือชื่อของนายสิทธิชัย จริงหรือไม่ และจะมีผลให้พรรคพลังประชาชน ถูกยุบพรรคหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องวินิจฉัยต่อไป แต่หากนายสิทธิชัย ไม่ร้องเรียนมาที่ กกต. ก็แสดงว่า นายสิทธิชัย ไม่ติดใจเรื่องนี้
"ในเรื่องนี้ เราถือว่าพรรคพลังประชาชน ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าได้หลอกลวง กกต.หรือไม่ เรื่องนี้พรรคพลังประชาชนต้องแถลงว่า หลองลวงกันหรือเปล่า" นางสดศรี กล่าว
เมื่อถามว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน จะเป็นช่องว่างให้มีการปลอมลายมือชื่ออีก นางสดศรี กล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้ได้มีการร้องเข้ามาแล้วว่า มีการปลอมแปลงลายมือชื่อเกิดขึ้น และทราบว่า ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ก็เคยเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น โดยตอนที่ตนทำงานที่ศาลฎีกา ก็เคยพิจารณาว่าต้องฟังข้อมูลของ กกต. เป็นหลัก เมื่อข้อมูลของ กกต.ระบุชัดเจนว่า เป็นการรับสมัครฯ โดยมีพรรคการเมืองรับรองแล้ว ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่กรณีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีการปลอมลายมือชื่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากมีการร้องเรียนเข้ามาจริง คาดว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีนี้ขึ้นมา
ส่วนโทษสำหรับความผิดนี้ ต้องดูว่า กกต. สามารถยุบพรรค และถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 5 ปีได้หรือไม่ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งอาจต้องใช้พยานหลักฐานประกอบการพิจารณาด้วย แต่การที่ศาลฎีกาตัดสินออกมาแล้ว จะทำให้ กกต.สามารถพิจารณาได้ง่ายขึ้น
"สุวิทย์"วอนเลิกโจมตีต่อท่ออำนาจ
ด้าน นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ พรรคพลังประชาชน (พปช.)ออกมาโจมตีพรรคเพื่อแผ่นดิน ว่า เป็นเครื่องมือของ คมช. จากกรณีที่ นายสิทธิ เตรียมที่จะฟ้องพรรคพลังประชาชน ว่า พรรคเพื่อแผ่นดินไม่ได้มีการต่ออำนาจกับใครทั้งสิ้น เพราะการทำงานของพรรคมีจุดประสงค์ต้องการที่จะสลายขั้วทางการเมือง และต้องการให้ยุติการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายกันทางการเมือง โดยทางพรรคน้อมรับกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นย้ำในเรื่องความปรองดอง และความสามัคคี ซึ่งพรรคเพื่อแผ่นดินพร้อมที่จะหาทางเพื่อให้ความสามัคคีกลับคืนมา
ส่วนกรณีของนายสิทธิชัยนั้น ทางพรรคจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่หากนายสิทธิชัย จะดำเนินการฟ้องเอง ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคแต่ประการใด เพราะเรื่องนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาคืนสิทธิให้แล้ว จึงอยากให้ทุกฝ่ายเคารพคำสั่งศาลด้วย
"ผมขอวิงวอน และยุติการให้ร้ายซึ่งกันและกัน เพราะศาลได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงที่มีการกล่าวหาว่าพรรคไปต่อท่ออำนาจ และเป็นเครื่องมือให้กับใคร ทั้งหมดไม่เป็นความจริง เนื่องไม่ได้เป็นไปตามนโยบายของพรรค และข้อกล่าวหาดังกล่าวล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกไปมากกว่านี้" นายสุวิทย์กล่าว
"สิทธิชัย"ไม่ฟ้อง พปช.แล้ว
ขณะที่ นายสิทธิชัย กล่าวว่า ส่วนตัวคงจะไม่มีการฟ้องร้องเพื่อเอาผิดพรรคพลังประชาชน แต่ถ้า กกต. จะดำเนินการ ก็เป็นเรื่องของ กกต. เพราะตอนนี้ตนก็มุ่งแต่เรื่องการช่วยพรรครณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเดียว ทั้งนี้ ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9พ.ย. ตนได้ส่งเอกสารให้นายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ตรวจสอบการแอบอ้างเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนไว้แล้ว และชี้แจงว่า ไม่ได้มีการเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 28 ก.ค. และไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับพรรคพลังประชาชน ในวันดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะวันนั้นติดภารกิจงานพระราชทานดินฝังศพที่ จ.ศรีสะเกษ จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถเดินทางกลับมาประชุมพรรคได้ในวันดังกล่าว เพราะวันนั้นไม่เที่ยวบินที่เดินทางกลับกรุงเทพฯได้ทัน
ทำท่าว่าจะกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ผู้สมัครส.ส.ระบบสัดส่วน ของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ถูกกกต. ตัดสิทธิจากการเป็นผู้สมัคร เนื่องจากมีรายชื่อเป็นสมาชิก 2 พรรคการเมือง คือ เป็นทั้งสมาชิกพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งนายสิทธิชัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ว่า ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งในที่สุดศาล ได้สั่งคืนสิทธิการผู้สมัครส.ส. ให้นายสิทธิชัย เนื่องจากพิสูจน์ได้ว่า ลายมือชื่อในใบสมัครของพรรคพลังประชาชน นั้นไม่ใช่ลายเซ็น ของนายสิทธิชัย
หลังจากได้คืนสิทธิเป็นผู้สมัครแล้ว นายสิทธิชัย ก็ ประกาศเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับพรรคพลังประชาชนฐานปลอมแปลงลายเซ็นต์ทันที เมื่อผู้สื่อข่าวนำเรื่องนี้ไปถามนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่มีความคิด พรรคพลังประชาชน ตั้งใจทำเรื่องนี้ตามหลักเกณฑ์ เจ้าตัวเคยอยู่พรรคไหนก็รู้กันอยู่ เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ลายมือไม่เหมือน นายทะเบียนพรรคเก่า เขารู้ลายมือว่าเหมือนของเดิม
"ถามหน่อยว่า อยู่ส.ส.สัดส่วน อันดับที่ 1 หรือเปล่า เราถึงต้องไปกลั่นแกล้ง พรรคไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเสียหาย ยุบพรรคเป็นเรื่องตลก ทำไมไม่เห็นจะยุบพรรคอื่นบ้าง เคียดแค้นอะไรกันหนักหนา"นายสมัคร กล่าว
โบ้ยเป็นเรื่องของ กก.บห.พรรคชุดเก่า
ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การที่นายสิทธิชัย ระบุว่า ลายเซ็นต์ในใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เป็นของปลอมนั้น จากการไต่สวนของศาลได้รับข้อมูลตามที่ปรากฎจาก กกต. แต่ข้อเท็จจริงนอกเหนือจากนั้น ในแง่ของพยานเอกสาร และพยานบุคคลนั้น นายสมาน เลิศวงศ์รัตน์ นายทะเบียนพรรคพลังประชาชน ไม่ได้ไปเป็นพยานบุคคลด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใด กกต. จึงไม่เรียกนายสมานไปเป็นพยานบุคคล เพราะหากนายสมานไปเป็นพยาน จะทำให้ข้อเท็จจริงชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีที่นายสันติ สาทิตพงศ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ระบุว่า นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนายสมาน มีความผิดทางอาญานั้น นายศุภชัย ยืนยันว่า พรรคไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา วันนี้ นายสิทธิชัย เองก็มีเดิมพันสูงอยู่แล้วคือ คดีนี้หากปรากฎว่า ลายเซ็นต์เป็นของจริง และพยานบุคคลยืนยันว่า นายสิทธิชัย มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคจริง ก็เท่ากับว่า นายสิทธิชัย ไปสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ทั้งๆ ที่รู้ตัวเองดีว่า เป็นสมาชิกพรรคมากกว่า 1 พรรค ดังนั้นขอให้นายสิทธิชัย ยุติ และเลิกออกมาใส่ร้ายคนอื่น
"ช่วงเวลาที่คุณสิทธิชัยมายื่นใบสมัครนั้นคือวันที่ 28 ก.ค. ซึ่ง กกต.ยังไม่ได้รับรอง คุณสมัคร และ คุณสมาน เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อีกทั้งพรรคในขณะนั้นอยู่ในการดูแลของกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนชุดเก่า ที่มี น.ส.สุภาพร เทียนแก้ว และ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว เป็นผู้ดูแล ดังนั้นหากมีการพิสูจน์พบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นจริงอย่างที่คุณสิทธิชัย ไปร้องทุกข์ ก็ให้ไปดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ คุณสมัคร และ คุณสมาน ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในขณะนั้น"นายศุภชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นเกมที่หวังจะข่มขู่ นายสิทธิชัย หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ที่ออกมาแถลงข่าว เพราะผู้สมัคร ส.ส. ส่วนหนึ่งของพรรครู้สึกตกใจกับการออกมาแสดงความคิดเห็นของนายสิทธิชัย และแกนนำของพรรคเพื่อแผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่นายสิทธิชัย ก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไร แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีผลต่อการถูกยุบพรรค เพราะเป็นเรื่องทางอาญามากกว่าการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ว่าด้วยพรรคการเมือง
เมื่อถามว่า นายสิทธิชัย ได้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคด้วยตัวเองใช่ หรือไม่ นาย ศุภชัย กล่าวว่า หลักฐานการสมัครของนายสิทธิชัย เป็นลายมือชื่อ ไม่ใช่ลายเซ็นต์ ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับที่มีการเปรียบเทียบหลักฐานกับลายเซ็นต์ ที่นายสิทธิชัยได้ยื่นไว้ให้ต่อธนาคาร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้พนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ที่ นายสิทธิชัย ไปร้องทุกข์เอาไว้ ให้สอบสวนลายเซ็นต์ตัวอย่าง ของนายสิทธิชัย ด้วย นอกจากนี้พรรคอาจจะมีการนำหลักฐานของนายสิทธิชัย ที่พรรคมีอยู่มาเปิดเผย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเราโดนกล่าวหา เพราะเรามีทั้งพยานบุคคล และพยานเอกสาร
ส่วนหากผลการสอบสวนปรากฎว่า นายสิทธิชัย แจ้งความเท็จจะฟ้องกลับหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า เราไม่อยากที่จะให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นอีก เนื่องจากว่าใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งแล้ว
กกต.ชี้หากจะเอาเรื่องต้องไปร้องศาล
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า เรื่องการปลอมลายมือชื่อหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ศาลยุติธรรมต้องพิสูจน์ กกต. มีหน้าที่เพียงรับสมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครฯ เท่านั้น หากพบว่า ผู้สมัครฯเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมากกว่า 2 พรรค ก็จะถูกตัดสิทธิเป็นผู้สมัครฯ ซึ่งต่อมา นายสิทธิชัย ได้ยื่นคำร้องของคืนสิทธิเลือกตั้งจากศาลฎีกา และศาลฎีกาก็ได้วินิจฉัยว่า มีการปลอมลายมือชื่อ ซึ่งการจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป นายสิทธิชัย ต้องไปร้องเรียนกับศาลยุติธรรม ทั้งนี้ กกต.ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพราะศาลฏีกาได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า มีการปลอมลายมื่อชื่อจริง
เมื่อถามว่า การที่พรรคพลังประชาชน ยื่นเอกสารที่มีการปลอมลายมือชื่อให้แก่ กกต. ถือว่าพรรคพลังประชาชน หลอกลวง กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ได้ตรวจสอบใบสมัครของผู้สมัครฯ พรรคพลังประชาชนแล้ว พบว่า มีลายมือชื่อที่ทางพรรคลงนามรับรองว่า ลายมือชื่อของผู้สมัครฯ นั้นเป็นของจริง ดังนั้น กกต.คงไม่สามารถตรวจสอบผู้สมัครฯโดยตรงว่าลายมือชื่อดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ เพราะหัวหน้าพรรคยืนยันว่า ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นของจริง กกต.ก็ต้องเชื่อไปตามนั้น และถือว่าเรื่องของ กกต.จบแล้ว
ส่วน กกต. จะเอาผิดกับหัวหน้าพรรคที่ลงชื่อรับรองใบสมัครของผู้สมัครฯ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่นายสิทธิชัย ต้องแจ้งเรื่องมาที่ กกต.ก่อนว่า พรรคได้ปลอมลายมือชื่อของนายสิทธิชัย จริงหรือไม่ และจะมีผลให้พรรคพลังประชาชน ถูกยุบพรรคหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องวินิจฉัยต่อไป แต่หากนายสิทธิชัย ไม่ร้องเรียนมาที่ กกต. ก็แสดงว่า นายสิทธิชัย ไม่ติดใจเรื่องนี้
"ในเรื่องนี้ เราถือว่าพรรคพลังประชาชน ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าได้หลอกลวง กกต.หรือไม่ เรื่องนี้พรรคพลังประชาชนต้องแถลงว่า หลองลวงกันหรือเปล่า" นางสดศรี กล่าว
เมื่อถามว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน จะเป็นช่องว่างให้มีการปลอมลายมือชื่ออีก นางสดศรี กล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้ได้มีการร้องเข้ามาแล้วว่า มีการปลอมแปลงลายมือชื่อเกิดขึ้น และทราบว่า ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ก็เคยเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น โดยตอนที่ตนทำงานที่ศาลฎีกา ก็เคยพิจารณาว่าต้องฟังข้อมูลของ กกต. เป็นหลัก เมื่อข้อมูลของ กกต.ระบุชัดเจนว่า เป็นการรับสมัครฯ โดยมีพรรคการเมืองรับรองแล้ว ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่กรณีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีการปลอมลายมือชื่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากมีการร้องเรียนเข้ามาจริง คาดว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีนี้ขึ้นมา
ส่วนโทษสำหรับความผิดนี้ ต้องดูว่า กกต. สามารถยุบพรรค และถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 5 ปีได้หรือไม่ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งอาจต้องใช้พยานหลักฐานประกอบการพิจารณาด้วย แต่การที่ศาลฎีกาตัดสินออกมาแล้ว จะทำให้ กกต.สามารถพิจารณาได้ง่ายขึ้น
"สุวิทย์"วอนเลิกโจมตีต่อท่ออำนาจ
ด้าน นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ พรรคพลังประชาชน (พปช.)ออกมาโจมตีพรรคเพื่อแผ่นดิน ว่า เป็นเครื่องมือของ คมช. จากกรณีที่ นายสิทธิ เตรียมที่จะฟ้องพรรคพลังประชาชน ว่า พรรคเพื่อแผ่นดินไม่ได้มีการต่ออำนาจกับใครทั้งสิ้น เพราะการทำงานของพรรคมีจุดประสงค์ต้องการที่จะสลายขั้วทางการเมือง และต้องการให้ยุติการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายกันทางการเมือง โดยทางพรรคน้อมรับกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นย้ำในเรื่องความปรองดอง และความสามัคคี ซึ่งพรรคเพื่อแผ่นดินพร้อมที่จะหาทางเพื่อให้ความสามัคคีกลับคืนมา
ส่วนกรณีของนายสิทธิชัยนั้น ทางพรรคจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่หากนายสิทธิชัย จะดำเนินการฟ้องเอง ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคแต่ประการใด เพราะเรื่องนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาคืนสิทธิให้แล้ว จึงอยากให้ทุกฝ่ายเคารพคำสั่งศาลด้วย
"ผมขอวิงวอน และยุติการให้ร้ายซึ่งกันและกัน เพราะศาลได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงที่มีการกล่าวหาว่าพรรคไปต่อท่ออำนาจ และเป็นเครื่องมือให้กับใคร ทั้งหมดไม่เป็นความจริง เนื่องไม่ได้เป็นไปตามนโยบายของพรรค และข้อกล่าวหาดังกล่าวล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกไปมากกว่านี้" นายสุวิทย์กล่าว
"สิทธิชัย"ไม่ฟ้อง พปช.แล้ว
ขณะที่ นายสิทธิชัย กล่าวว่า ส่วนตัวคงจะไม่มีการฟ้องร้องเพื่อเอาผิดพรรคพลังประชาชน แต่ถ้า กกต. จะดำเนินการ ก็เป็นเรื่องของ กกต. เพราะตอนนี้ตนก็มุ่งแต่เรื่องการช่วยพรรครณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเดียว ทั้งนี้ ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9พ.ย. ตนได้ส่งเอกสารให้นายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ตรวจสอบการแอบอ้างเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนไว้แล้ว และชี้แจงว่า ไม่ได้มีการเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 28 ก.ค. และไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับพรรคพลังประชาชน ในวันดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะวันนั้นติดภารกิจงานพระราชทานดินฝังศพที่ จ.ศรีสะเกษ จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถเดินทางกลับมาประชุมพรรคได้ในวันดังกล่าว เพราะวันนั้นไม่เที่ยวบินที่เดินทางกลับกรุงเทพฯได้ทัน