xs
xsm
sm
md
lg

ทฤษฎีระบบโลกกับแนวคิดฟิสิกส์ใหม่ (1)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

การเมืองไทยกำลังก้าวสู่ วิกฤติใหญ่ ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญวิกฤติครั้งนี้ดูราวว่า ไร้ทางออก

วันก่อนไปร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนกับเพื่อนเก่าท่านหนึ่ง ท่านอธิบายว่าช่วงประวัติศาสตร์ช่วงนี้คือ ช่วงแห่งความมืดมิด แต่อย่างไรท่านก็ยังนำเสนอว่า เราต้องกล้าก้าวเดินไปข้างหน้า และเรียนรู้โลกจากการปฏิบัติที่เป็นจริง

ผมกลับเสนอตรงข้ามกัน

ผมกล่าวว่า

“เวลาเราเจอความมืด เราต้องหยุด ไม่ใช่เดินไปข้างหน้า หยุด นั่งสงบๆ”

การรู้จัก “หยุด” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยเราได้พัก และได้หยุดเพื่อคิดค้นหาคำตอบว่าทำไมโลกวันนี้ถึงมืดมนและวิกฤติยิ่งนัก และเพื่อจะหาว่า อะไรคือทางออก

ผมกล่าวต่อว่า

สภาวะวิกฤติใหญ่มีพลังอำนาจในตัวเอง ซึ่งสามารถครอบงำจิตใจผู้คนได้

โดยเฉพาะ ยิ่งเวลาที่ โลกทั้งใบ และสังคมไทยวิกฤติพร้อมๆ กัน เราทุกคนจะถูกลากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติโดยที่เราไม่รู้ตัว และในที่สุดเราเองก็จะหลงเข้าสู่โลกของสงคราม

ในยุค Chaos วิกฤติจะก่อตัวขึ้นทุกระดับ ทุกตำแหน่งแห่งที่ ผู้คนในแผ่นดินจะถูกทำให้แตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ทะเลาะกัน คำว่า “ศัตรู” จึงมีเต็มแผ่นดิน และแม้แต่บรรดามิตรเก่าๆ ซึ่งเคยรักใคร่ต่อสู้ร่วมกันก็กลายเป็นศัตรู

วันนี้ นักต่อสู้เดือนตุลาที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นกลุ่มๆ ด่าทอกัน ฝ่ายหนึ่งก็ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ว่าสุดเลว สุดชั่ว เฉพาะพวกตนเท่านั้นที่ถูกต้องและดีงาม

ไม่เพียงแต่สาดโคลนสาดขี้เข้าใส่กัน ยังเที่ยวปล่อยข่าวลือทำลายล้างกัน

ลองคิดกันง่ายๆ สมมติว่าเราอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเชื่อว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง เราก็ต้องใช้ทุกอย่างและทุกวิถีทาง ไม่ว่าดี หรือเลว

ใครสามารถปล่อยข่าวด่าทอทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ ใครสามารถคิดวิธีชั่วๆ ได้ดีที่สุดก็จะถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่งสุดยอด

วันก่อนเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งชวนไปคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำของขบวนการประชาชนกลุ่มหนึ่ง ผมบอกเพื่อนว่า ตรงนั้นแหละคือใจกลางสนามรบ ถ้าไม่จำเป็น อย่าเข้าไป เข้าไปแล้วต้องระวัง คุณจะกลายเป็น ไอ้ตัวสงคราม

เวลาคนทำสงครามกัน พลังของจิตวิทยารวมหมู่มีอิทธิพลต่อทุกคนที่อยู่รวมกัน ลองเอาคนที่คิดอะไรเหมือนๆ กัน เช่น เกลียดชังอะไรเหมือนกัน ไปรวมอยู่ที่เดียวกัน ทุกคนจะกลายเป็นไอ้ตัวสงคราม และจะถูกปลุกระดมจากเพื่อนๆ ซึ่งเป็นตัวสงครามเหมือนกัน

ทางออกคือ เราต้องรู้จัก “หยุด” และถอยออกจากโลกของสงครามก่อน ทำใจให้สงบ ทำลายสงครามที่ฝังอยู่ในใจก่อน

การหยุดก็จะกลายเป็นการเริ่มต้น เริ่มเรียนรู้ใหม่ และทำความเข้าใจโลกใหม่

วันก่อน สหายเก่าๆ จำนวนหนึ่งกำลังต้องการแสวงหาทางออกใหม่ๆ ท่านได้ชวนผมไปพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วย

ผมบอกว่า ผมเห็นด้วย ก่อนจะทำอะไร เราต้องหยุด และคิดอย่างรอบครอบก่อน

สหายท่านหนึ่งกล่าวว่าท่านสนใจทฤษฎีระบบโลกมาก อยากขอคุยเรื่อง ทฤษฎีระบบโลก

ผมตระหนักรู้ว่า ท่านยังติดอยู่กับแนวคิดที่แน่นอนมากๆ ซึ่งเป็นแนวแบบสังคมนิยม แบบใดแบบหนึ่งอยู่

ผมจึงกล่าวว่า

“แนวคิดระบบโลก ที่จริงแล้วไม่ใช่แนวทฤษฎีแบบที่ตายตัว หรือมีชุดเดียว ทฤษฎีเดียว อย่างที่นักวิชาการทั่วไปเข้าใจ แต่มีการปรับเปลี่ยนแนวคิด และทฤษฎี เป็นช่วงๆ”

นอกจากนี้ ชาวระบบโลกเชื่อว่า ทฤษฎีทำหน้าที่อธิบายโลกในเชิงภาพสเกตช์เท่านั้น ไม่ต่างจากเวลาที่เราวาดภาพ เราต้องพยายามสเกตช์ภาพก่อน

ผมกล่าวขยายว่า

“ภาพจริงกับภาพสเกตช์นั้น มันคนละภาพกันนะ”

ในการสเกตช์ภาพนั้น เราต้องสร้างภาพสเกตช์ที่เป็นระบบขึ้นมาชุดหนึ่ง บางครั้งก็ต้องอาศัยความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาประสานกับการนำทฤษฎีหลายชุดมาช่วยในการสร้างภาพสเกตช”

ผมกล่าวย้ำว่า

ภาพสเกตช์ทั้งหมดจะช่วยให้เราวิเคราะห์สังคมได้อย่างเป็นระบบ แต่ต้องไม่ลืมว่า ภาพสเกตช์เหล่านี้ไม่ใช่ภาพจริง หรือกล่าวว่า ทฤษฎี กับโลกที่เป็นจริง คือ 2 สิ่งที่เคลื่อนขนานกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

เมื่อเราทำงาน หรือวิเคราะห์เสร็จ ภาพสเกตช์ก็จะถูกลบหายไป และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เราวิเคราะห์ ไม่ต่างจากผู้เขียนรูป ที่เริ่มจากการสเกตช์ภาพ แล้วค่อยตกแต่งภาพให้เหมือนจริงเท่าที่ทำได้ จนร่องรอยการสเกตช์ทั้งหมดถูกแทนที่หรือถูกลบทิ้ง ซึ่งในที่สุดภาพจริงก็ปรากฏขึ้น

เพื่อนบอกว่า

“ฟังดูก็น่าสนใจ” และบอกผมว่าจะนัดเพื่อนๆ กลุ่มเล็กๆ ที่สนใจเรื่อง ทฤษฎีระบบโลก มาร่วมพูดคุยด้วย

เรานัดกันวันที่ 14 ตุลาคม 2550

ผลงานชิ้นนี้ จึงถือกำเนิดขึ้นจากการขยายความการพูดคุยกับบรรดาสหายเก่าๆ ในวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา

คงต้องขอโทษผู้อ่านก่อนว่า งานนี้ค่อนข้างยากสักนิด เพราะส่วนหนึ่งเป็นงานในเชิงทฤษฎี ถ้าผู้อ่านเคยศึกษาความคิดแบบซ้ายอย่างลัทธิ Marx และทฤษฎีทางฟิสิกส์ มาบ้าง จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ผมจะพยายามเขียนอย่างง่ายๆ เท่าที่ผมทำได้

นอกจากนี้ บางส่วนของงานจะเป็นงานเชิงปรัชญาเอามากๆ เช่นกัน ยิ่งทำให้งานนี้ ยากที่จะอ่าน และทำความเข้าใจ

แต่ถ้าใครชอบคิด และติดตามความรู้ใหม่ๆ อย่างเช่นเรื่อง ฟิสิกส์ใหม่ แนวคิดแบบหลังสมัยใหม่ งานนี้น่าจะสนุก และน่าจะช่วยแหย่ต่อมคิดในสมองให้คนชอบคิด คิด และคิดมากขึ้น (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น