xs
xsm
sm
md
lg

ตามรอย ‘สนธิ’(10)- สังคมแสนป่วย

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


“One of the principles is solidarity. People who are better off pay for those who are worse off ...” - Dr.Jacques Milliez โรงพยาบาล St.Antoine ประเทศฝรั่งเศส ตอนหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Sicko โดยไมเคิล มัวร์

ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Sicko ภาพยนตร์เชิงสารคดีเรื่องใหม่ล่าสุดของไมเคิล มัวร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ประวัติศาสตร์เรื่อง Fahrenheit 9/11 ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2547 ...

หากใครยังคงจำได้ Fahrenheit 9/11 คือ ภาพยนตร์ซึ่งผู้สร้างที่ชื่อ ไมเคิล มัวร์ (Michael Moore) สร้างขึ้นหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 11 กันยายน 2544 เพื่อเปิดโปงเบื้องหลังของนักการเมืองอเมริกัน โดยจงใจเจาะเป้าการโจมตีไปที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สำหรับชาวโลก สิ่งที่ Fahrenheit 9/11 ได้พยายามถ่ายทอดและชี้ให้เห็นก็คือ โลกหลังยุค 11 กันยายน 2544 เปลี่ยนโฉมไปได้อย่างไรด้วยเงื้อมมือของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง

ทั้งยังแจกแจงให้เราเห็นด้วยว่า ผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมัน การขนส่งน้ำมัน และอุตสาหกรรมอาวุธสงคราม นำมาสู่สงครามในอัฟกานิสถาน สงครามการต่อต้านการก่อการร้าย การไล่ล่าบิน ลาดินและกลุ่มอัลกออิดะห์ ความขัดแย้งทางศาสนา การโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซนในอิรัก ความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวอิรัก การสละชีวิตของทหารอเมริกันและทหารจากกองทัพพันธมิตรที่ไม่ควรจะสละ รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาเกี่ยวกับชีวิตชาวโลก (ที่ไม่ใช่คนอเมริกัน) และเราในฐานะประชาชนชาวไทยได้อย่างไร?

หลังจาก Fahrenheit 9/11 สามปีเต็ม มัวร์กลับมาอีกครั้งกับภาพยนตร์เชิงสารคดีเรื่อง Sicko แม้ครั้งนี้เขาจะไม่ได้หยิบเอาเรื่องราวที่ตกเป็นข่าวช็อกโลกอย่างเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 11 กันยายน 2544 มาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ประเด็นที่เขาก็ยังคงหยิบประเด็น ‘ระดับโลก’ อย่างประเด็นเรื่องความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขในสหรัฐอเมริกามาเปิดโปงอย่างหมดเปลือก

เป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มั่งคั่ง ประเทศที่ปฏิบัติตนเป็น ‘ตำรวจโลก’ อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งยินยอมทุ่มทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนมากมายมหาศาลเพื่อทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก สงครามในอัฟกานิสถาน สงครามปลดปล่อยอิรัก ฯลฯ กลับปล่อยให้ประชาชนของตนเองต้องทนทุกข์กับระบบสาธารณสุขอันเลวร้ายเข้าขั้นบัดซบ

Sicko ปอกเปลือกระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาที่กำลังกินคนทั้งเป็น กินประชาชนทั้งเป็น ผ่านระบบการประกันสุขภาพโดยบริษัทเอกชน!

หนังของมัวร์หยิบยกเอาสภาพระทมทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตชนชั้นกลางชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งเพื่อถ่ายทอดให้เราเห็นว่าระบบที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกานั้นเลวร้ายเพียงใด เช่น

Larry และ Donna Smith สองสามีภรรยาที่เคยมีครอบครัวที่สมบูรณ์ สามารถส่งลูก 6 คนจนเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง University of Chicago ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นนัก โดยสามีประกอบอาชีพเป็นนายช่าง ขณะที่ภรรยาประกอบอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตามต่อมาชีวิตของทั้งสองก็ถึงจุดผกผัน เมื่อทั้งคู่พบว่า Larry ป่วยเป็นโรคหัวใจ ขณะที่ Donna ป่วยเป็นโรคมะเร็ง

ภายใต้ระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาที่คนทั่วโลกคิดว่าก้าวหน้าที่สุด ทั้ง Larry และ Donna กลับต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนกระทั่งครอบครัวล้มละลาย โดยในที่สุดทั้งคู่ต้องขายทรัพย์สิน-ขายบ้าน และย้ายเข้ามาพักอาศัยในห้องเก็บของบ้านลูกสาว

กรณีที่น่าสนใจถัดมาเป็นของ Doug Noe คุณพ่อซึ่งพบว่าลูกสาวของตนวัย 9 เดือนที่ชื่อ Annette นั้นมีอาการหูหนวกมาแต่กำเนิด เมื่อ Doug แจ้งความผิดปกติดังกล่าวให้กับบริษัทประกันสุขภาพที่ชื่อว่า CIGNA Healthcare รับทราบ เพื่อให้ทาง CIGNA จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม (Cochlear Transplant) ให้กับ Annette คำตอบที่เขาได้รับจาก CIGNA กลับเป็นตลกร้ายที่ไม่มีใครกล้าขำ ...

บริษัท CIGNA ตอบตกลงที่จะออกค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมให้กับ Annette แต่ระบุว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้กับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมที่หูข้างซ้ายเพียงข้างเดียว โดยบริษัทอ้างคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญว่ากำลังศึกษาและพิจารณาอยู่ว่าการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมที่หูทั้งสองข้างนั้นจะมีประโยชน์ต่อเด็กหรือไม่!?!

นอกจากกรณีใหญ่ๆ ของครอบครัว Smith และ Noe แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเปิดโปงวิธีการทำธุรกิจของบรรดาบริษัทประกันสุขภาพทั้งหลายด้วยว่า ต่างยึดหลักของ ‘ผลกำไร’ เอาไว้หน้า ‘คุณธรรม’ โดยไม่สนใจว่าเพื่อนมนุษย์จะเป็นหรือตายอย่างไร

ทั้งนี้หลักฐานชิ้นหนึ่งที่บ่งชี้ให้เห็นชัดว่าบริษัทประกันสุขภาพเหล่านี้ปราศจากซึ่งคุณธรรมในการทำธุรกิจโดยสิ้นเชิงนั้นมาจากคำสารภาพของแพทย์ผู้ตรวจสอบกรณีการอนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาพยาบาลของลูกค้าผู้ทำประกันกับบริษัทผู้หนึ่ง นาม Dr.Linda Peeno

Dr.Linda ซึ่งเคยทำงานกับบริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า Humana กล่าวว่าหลักเกณฑ์ในการทำงานของแพทย์อย่างเธอให้กับบริษัทประกันสุขภาพก็คือ ต้องปฏิเสธการอนุมัติการเบิกจ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลของลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เธอกล่าวว่า “ยิ่งแพทย์ผู้ตรวจสอบคนใดมีอัตราการปฏิเสธการอนุมัติค่าใช้จ่ายสูงเท่าใด แพทย์ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินโบนัสในช่วงปลายปีสูงเท่านั้น”

ถามว่าการกระทำเช่นนี้ ผิดกฎหมายหรือไม่ และรัฐบาลอเมริกันไม่ดำเนินการอะไรบ้างเลยหรือ?

อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความเรื่อง “ตามรอย ‘สนธิ’ ตอนที่ 7” (ตอน K Street ถนนสายล็อบบี้ยิสต์) ว่าธุรกิจการล็อบบี้เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทประกันสุขภาพและบริษัทยา หรือที่ถูกเรียกกันสั้นๆ ว่า Drug Lobby ในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นธุรกิจการล็อบบี้ที่ใหญ่ที่สุด และมีกองทัพล็อบบี้ยิสต์ที่ลงทะเบียนมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่านโยบายต่างๆ ของรัฐบาลอเมริกันและกฎหมายที่ออกมาจากรัฐสภาอเมริกัน จากบรรดานักการเมืองที่ต่างก็รับเงินสนับสนุนจากบริษัทเอกชนด้วยกันทั้งนั้น จึงต้องโอนอ่อนผ่อนตามให้กับบริษัทประกันและบริษัทยาเหล่านี้เป็นหลักและผลักภาระทั้งหลายไว้ให้กับประชาชน

ที่น่าเศร้าก็คือ แม้กระทั่งผู้ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็น ‘วีรบุรุษ-วีรสตรี’ ของชาวอเมริกันทั้งมวลอย่างบรรดานักดับเพลิง หน่วยกู้ภัย เจ้าหน้าที่พยาบาล ฯลฯ ที่เข้าไปปฏิบัติงานสถานที่เกิดเหตุ หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เจ้าหน้าที่จำนวนมากที่ต้องประสบกับปัญหาด้านสุขภาพโดยเฉพาะปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจจากการเข้าไปทำงานในบริเวณ Ground Zero กลับต้องถูกทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจากทั้งทางเทศบาลเมืองนิวยอร์ก และรัฐบาล

สุดท้ายเมื่อพิจารณาถึงแก่นแกน ผมเห็นว่าหัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่อง Sicko มิใช่การตีแผ่ความล้มเหลวเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขของประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโจมตีไปถึงราก ไปถึงแก่นของปรัชญาการบริหารประเทศในแบบอเมริกัน ที่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมายึดมั่นใน ‘ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมสุดขั้ว’ ยึดมั่นในการถ่ายโอนการผลิตจากภาครัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) หรือกล่าวง่ายๆ คือ ผลักดันการแปรรูปกิจกรรมและบริการของรัฐทุกอย่างให้เป็นของเอกชน แม้แต่ในกิจกรรมและบริการที่คอขาดบาดตายอย่างการสาธารณสุขของชาติ

ทั้งนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แนวคิดที่มีรากฐานมาจากปรัชญาทางเศรษฐกิจดังกล่าวได้แผ่ขยายมาปกคลุมและมีอิทธิพลเหนือบรรดาชนชั้นปกครอง ชนชั้นนำของหลายประเทศทั่วโลก
รวมถึงประเทศไทยด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น