ผู้จัดการรายวัน - โก๋แก่ เปิดแนวรบตลาดขนมขบเคี้ยวระลอกใหม่ ส่งเจเนอเรชั่น 2 “จุมภฎ-กฤษดา รวยเจริญทรัพย์” นั่งแท่นบริหาร พร้อมล้อนซ์ “โก๋แก่ พลัส” มั่นใจโกยแชร์ปีแรก 30% เผยแผนปีหน้าทุ่มงบตลาด 50 ล้านดันยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาทครั้งแรกในรอบ 30 ปี
นายจุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถั่วเคลือบกะทิ ภายใต้แบรนด์ “โก๋แก่” เปิดเผยว่า หลังประสบความสำเร็จในการสร้างตลาดถั่วเคลือบกะทิจนเป็นที่รู้จักและครองความเป็นผู้นำในตลาดมาเกือบ 30 ปี ล่าสุดบริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทถั่วอีกครั้ง ด้วยการผลิตและพัฒนาสินค้าถั่วสายพันธุ์พรีเมี่ยม เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยบริษัทฯได้ทดลองวางจำหน่าย “โก๋แก่ พลัส” ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาผ่านทางโมเดิร์นเทรดชั้นนำ และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
ทั้งนี้โก๋แก่ พลัส เป็นถั่วสายพันธุ์ใหม่ชนิดไม่เคลือบ เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ซึ่งบริษัทฯใช้เวลาในการศึกษา วิจัย และพัฒนาสินค้าเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนประสบความสำเร็จออกวางจำหน่าย 4 แบบ ได้แก่ ถั่วอัลมอนด์อบเกลือ ถั่วพิสตาชิโออบเกลือ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบน้ำผึ้งโรยงา โดยแต่ละซองจะบรรจุอยู่ในแพคเกจรูปทรงตั้ง (Standing Pow) ทำให้มีความสวยงาม โดดเด่นแตกต่างจากซองสแน็คที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน
“เพื่อเป็นการตอกย้ำนโยบายหลักของบริษัทในการก้าวสู่ความเป็น King of Nut บริษัทฯจึงมุ่งที่พัฒนาและนำเสนอสินค้าขนมขบเคี้ยวประเภทถั่ว ที่หลากหลายรูปแบบนอกเหนือจากถั่วลิสง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุน 30-40 ล้านบาทในการนำเข้าเครื่องจักรใหม่และเทคโนโลยีในด้านการผลิต เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบในด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดตั้งห้องตรวจสอบคุณภาพสินค้า สารปนเปื้อน เครื่องเอ็กซ์เรย์ความหนาแน่นของถั่วลิสง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกในเมืองไทยที่มีอุปกรณ์ครบครัน ส่งผลให้ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตกว่า 20 ตันต่อวัน” นายจุมภฎกล่าว
ด้านนายกฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด กล่าวว่า ในปี 2551 บริษัทฯเตรียมงบด้านการตลาดไว้กว่า 50 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์โก๋แก่ พลัส 20 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะมุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้แก่คนทำงาน คนรุ่นใหม่ ผู้ที่รักสุขภาพ ในระดับบีบวกขึ้นไป ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านทางชุมชน อาคารสำนักงาน สถานบันเทิง ร้านอาหาร โมเดิร์นเทรด รวมไปถึงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในชุมชน เช่นงานประเพณีประจำจังหวัด เป็นต้น
“ในปีที่ผ่านมาตลาดสแน็คประเภทถั่วมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มถั่วไม่เคลือบ ที่มีการเติบโตกว่า 20% ทำให้บริษัทฯมองเห็นเป็นโอกาสในการแตกเซกเม้นท์ใหม่ ขณะที่ตลาดถั่วเคลือบเอง ก็ยังมีการเติบโต โดยเฉพาะกับแบรนด์โก๋แก่ สำหรับการวางจำหน่ายโก๋แก่ พลัส แบ่งออกเป็น 2 ช่องทางหลักได้แก่ โมเดิร์นเทรด 80% อาทิ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และเทรดดิชั่นแนล เทรด หรือร้านค้าย่อยทั่วไป 20% โดยในปีแรกบริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาด 30% ของตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทถั่ว และจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายในปีที่ 2”
นายจุมภฎ กล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โก๋แก่ มีวางจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี แอฟริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ โดยในปี 2550 นี้บริษัทฯมียอดขายรวม 800 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 10% แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 80% และตลาดส่งออก 20% ส่วนในปี 2551 บริษัทฯตั้งเป้าที่จะยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวในเมืองไทยมีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกลุ่มมันฝรั่ง ,แป้งขึ้นรูป ,ปลาเส้นและปลาหมึก ,ข้าวเกรียบกุ้ง ฯลฯ ขณะที่ตลาดถั่ว มีมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ถั่วเคลือบ 60% และถั่วไม่เคลือบ 40% โดยโก๋แก่มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 80%
นายจุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถั่วเคลือบกะทิ ภายใต้แบรนด์ “โก๋แก่” เปิดเผยว่า หลังประสบความสำเร็จในการสร้างตลาดถั่วเคลือบกะทิจนเป็นที่รู้จักและครองความเป็นผู้นำในตลาดมาเกือบ 30 ปี ล่าสุดบริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทถั่วอีกครั้ง ด้วยการผลิตและพัฒนาสินค้าถั่วสายพันธุ์พรีเมี่ยม เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยบริษัทฯได้ทดลองวางจำหน่าย “โก๋แก่ พลัส” ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาผ่านทางโมเดิร์นเทรดชั้นนำ และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
ทั้งนี้โก๋แก่ พลัส เป็นถั่วสายพันธุ์ใหม่ชนิดไม่เคลือบ เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ซึ่งบริษัทฯใช้เวลาในการศึกษา วิจัย และพัฒนาสินค้าเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนประสบความสำเร็จออกวางจำหน่าย 4 แบบ ได้แก่ ถั่วอัลมอนด์อบเกลือ ถั่วพิสตาชิโออบเกลือ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบน้ำผึ้งโรยงา โดยแต่ละซองจะบรรจุอยู่ในแพคเกจรูปทรงตั้ง (Standing Pow) ทำให้มีความสวยงาม โดดเด่นแตกต่างจากซองสแน็คที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน
“เพื่อเป็นการตอกย้ำนโยบายหลักของบริษัทในการก้าวสู่ความเป็น King of Nut บริษัทฯจึงมุ่งที่พัฒนาและนำเสนอสินค้าขนมขบเคี้ยวประเภทถั่ว ที่หลากหลายรูปแบบนอกเหนือจากถั่วลิสง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุน 30-40 ล้านบาทในการนำเข้าเครื่องจักรใหม่และเทคโนโลยีในด้านการผลิต เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบในด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดตั้งห้องตรวจสอบคุณภาพสินค้า สารปนเปื้อน เครื่องเอ็กซ์เรย์ความหนาแน่นของถั่วลิสง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกในเมืองไทยที่มีอุปกรณ์ครบครัน ส่งผลให้ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตกว่า 20 ตันต่อวัน” นายจุมภฎกล่าว
ด้านนายกฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด กล่าวว่า ในปี 2551 บริษัทฯเตรียมงบด้านการตลาดไว้กว่า 50 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์โก๋แก่ พลัส 20 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะมุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้แก่คนทำงาน คนรุ่นใหม่ ผู้ที่รักสุขภาพ ในระดับบีบวกขึ้นไป ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านทางชุมชน อาคารสำนักงาน สถานบันเทิง ร้านอาหาร โมเดิร์นเทรด รวมไปถึงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในชุมชน เช่นงานประเพณีประจำจังหวัด เป็นต้น
“ในปีที่ผ่านมาตลาดสแน็คประเภทถั่วมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มถั่วไม่เคลือบ ที่มีการเติบโตกว่า 20% ทำให้บริษัทฯมองเห็นเป็นโอกาสในการแตกเซกเม้นท์ใหม่ ขณะที่ตลาดถั่วเคลือบเอง ก็ยังมีการเติบโต โดยเฉพาะกับแบรนด์โก๋แก่ สำหรับการวางจำหน่ายโก๋แก่ พลัส แบ่งออกเป็น 2 ช่องทางหลักได้แก่ โมเดิร์นเทรด 80% อาทิ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และเทรดดิชั่นแนล เทรด หรือร้านค้าย่อยทั่วไป 20% โดยในปีแรกบริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาด 30% ของตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทถั่ว และจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายในปีที่ 2”
นายจุมภฎ กล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โก๋แก่ มีวางจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี แอฟริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ โดยในปี 2550 นี้บริษัทฯมียอดขายรวม 800 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 10% แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 80% และตลาดส่งออก 20% ส่วนในปี 2551 บริษัทฯตั้งเป้าที่จะยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวในเมืองไทยมีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกลุ่มมันฝรั่ง ,แป้งขึ้นรูป ,ปลาเส้นและปลาหมึก ,ข้าวเกรียบกุ้ง ฯลฯ ขณะที่ตลาดถั่ว มีมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ถั่วเคลือบ 60% และถั่วไม่เคลือบ 40% โดยโก๋แก่มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 80%