xs
xsm
sm
md
lg

“การเมืองก็เน่าอีหรอบเดิม!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 4 สัปดาห์เต็ม วันสำคัญของ “การชี้ชะตาบ้านเมือง” เราก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งคือ “วันเลือกตั้งอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2550” ซึ่งต้องนับว่าเป็น “วันประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย” อีกครั้งหนึ่ง

ความสำคัญของ “วันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม” นี้ เราต้องเรียกขานว่าเป็น “วันชี้ชะตา-กำหนดอนาคตประเทศไทย” กันเลยทีเดียว เนื่องด้วยตลอดระยะเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองเราเผชิญกับสารพันปัญหากับ “วงจรอุบาทว์” กล่าวคือ “เลือกตั้ง-รัฐบาล-ทุจริตคดโกง-ยึดอำนาจ” และในที่สุดก็ต้องมีการจัดตั้ง “รัฐบาลรักษาการ” และ “ร่างรัฐธรรมนูญ” จนกำหนดให้มีการเลือกตั้งเพื่อเดินหน้ากลับไปสู่ “ประชาธิปไตย” อีกครั้งหนึ่ง

คำถามสำคัญต้องถามว่า ตลอดระยะเวลา 75 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมานั้น “ระบอบประชาธิปไตย” ในบ้านเรานั้น ต้อง “พิกลพิการ” มิใช่เกิดจาก “รัฐธรรมนูญ” ที่ “ถูกฉีก-ถูกยึด-ถูกแก้ไข!” ไปหรอก รัฐธรรมนูญทั้ง 16 ฉบับ ที่ถูกร่างและนำมาปฏิบัติใช้นั้น ต้องยอมรับว่าเป็น “รัฐธรรมนูญ” ที่ “ดี” จนถึงขั้น “ดีมาก” แทบทั้งนั้น อาจจะมี “จุดด้อย-จุดบกพร่อง” บ้าง เนื่องด้วย “ไม่มีอะไรในโลกนี้สมบูรณ์แบบ (Nothing is Perfect)” ทั้งนั้น

ปัญหาของ “ระบบการเมืองไทย” และไม่สำคัญเท่ากับ “ระบบประชาธิปไตย” เกิดจาก ส่วนสำคัญ กล่าวคือ หนึ่ง วัฒนธรรมการเมืองไทยที่ความจริงต้องยอมรับว่า คนไทยนั้น ยังมีจำนวนสูงถึงร้อยละ 75-80 ที่ไม่เข้าใจถึง “ปรัชญา-เจตนารมณ์” ของ “ประชาธิปไตย” สาเหตุสำคัญเกิดจาก “ระบบอุปถัมภ์” และ “ระบบไพร่-ระบบทาส” ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานนับหลายร้อยปี ที่ต้องคอยถูก “อุปถัมภ์ค้ำจุน” จาก “ผู้มีอำนาจ-ผู้ทรงอิทธิพล” หรือ “ระบบเจ้าขุนมูลนาย” จนคนไทยเคยชินกับ “การรับ” และ “สนอง” ทุกอย่าง โดยไม่ได้ “เคารพสิทธิ” ตนเอง และไม่สำคัญเท่ากับว่า “แยกแยะ : ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี”

พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า คนไทยส่วนใหญ่ “ก้มหัว” ให้กับ “ระบบอำนาจ” ซึ่งจะผิดจะถูกอย่างไร ไม่สนใจ ขอเพียงให้ได้รับการดูแลอุปถัมภ์ช่วยเหลือ หรือ “ขอรับ!” อย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึง “ความถูกต้อง” หรือกล่าวให้สูงไปกว่านั้น คือ “ระบบคุณธรรม-ระบบจริยธรรม”

“ระบบการเมืองไทย”
ที่เรียกขานกันว่า “ระบบประชาธิปไตย” นั้น จริงๆ แล้ว ความจริงที่ปัจจุบันต่างเริ่มตระหนักว่าเป็น “ระบบการเมืองประชาธิปไตยจอมปลอม (Pseudo)”ที่ไม่เคยเป็นไปตาม “อุดมคติ (Ideal)”ของคำว่า “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง กล่าวคือ “จากประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน (From The People By The People And For The People”

สอง
ระบบประชาธิปไตยที่ “ล้มลุกคลุกคลาน-พิกลพิการ” เกิดจาก “พรรคการเมือง-นักการเมือง” ที่เป็น “ธุรกิจการเมือง” จนสามารถเรียกขานได้ว่า “ระบบธนาธิปไตย” พูดง่ายๆ คือ “ระบบการปกครองโดยเงิน” มิใช่ “ประชาชน”

นักการเมืองในบ้านเมืองเสาะแสวงหา “อำนาจ” จากระบบการเมืองที่ต้องใช้ “เงิน-ทุน” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “อำนาจ” และในที่สุดก็นำ “อำนาจ” ไปเสาะแสวงหา “ผลประโยชน์” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “ทำการเมือง-เล่นการเมือง” เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนกลุ่ม ส่วนคณะ ในเชิงธุรกิจ ที่แน่นอนต้องมี “กำไรบวกดอกเบี้ย” โดยที่ต้องฟันธงเลยว่า “ค้ากำไรเกินควร!”

กล่าวคือ สมมติว่ามีการลงทุน 100 ล้านบาท ในการให้ได้มาซึ่งการเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)” เมื่อได้เป็น ส.ส.สมหวังดั่งใจแล้ว ก็เพียรพยายามทุกอย่างให้พรรคของตนเองได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมือง เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งเล็กๆ ธรรมดา ไปจนถึงตำแหน่ง “รัฐมนตรี” และจากนั้นก็จะเอา “ตำแหน่ง” ที่มี “อำนาจ” มาแสวงผลประโยชน์ โดยที่ลงทุนไป 100 ล้านบาท แต่ “เอาคืน” มากมายจนถึง 400-500 ล้านบาท หรืออาจนับ 1,000 ล้านบาท แล้วจะไม่เรียกว่า “ค้ากำไรเกินควร! ” ได้อย่างไร

แน่นอน “ค้ากำไรเกินควร” ต้องมีการ “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” หรือ “คดโกง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นการคดโกงที่ต้องเรียกว่า “สวาปาม!” จนประเทศชาติ “ผุกร่อน!” อย่างเช่นทุกวันนี้

เอาล่ะ! ถ้าจะมีการกินเล็กกินน้อยกันพอหอมปากหอมคอ กินกำไรกันซัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ก็ยังพอทนได้ แต่การสวาปามมากมายจนเหมือน “หมูสกปรก!” เช่นนี้ จนชาติบ้านเมืองล่มจมเพราะกินจาก “ภาษีอากร” ของประชาชนทั้งสิ้น ต้องขอยอมรับว่า “สมน้ำหน้า!” แล้วกับการถูก “ยึดอำนาจ” ว่าไปแล้วควร “ยึดทรัพย์” และ “ตัดคอ!” เหมือนในอดีต ไม่ควรให้มา “ร้องแรกแหกกระเชอทวงสิทธิ” อย่างเช่นทุกวันนี้

สาม ความจริงที่เราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า “ธุรกิจการเมือง” เมื่อเกิดจาก “นักการเมือง-พรรคการเมือง” เป็น “ผู้ซื้อ-ผู้ลงทุน” แน่นอนที่สุด ก็ต้องมี “ผู้ขาย” ก็คือ “ประชาชน” จำนวนที่อาจสูงถึงร้อยละ 70 ที่ไม่คำนึงถึงอะไรเช่นเดียวกัน นอกจาก “ผลประโยชน์” ที่อยู่เบื้องหน้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “เศษเงิน” เพียง “300-500-800-1,000 บาท” เท่านั้น แต่คนไทยส่วนหนึ่งกลายเป็น “เศษคน” ที่ “นักธุรกิจการเมือง-นายทุนการเมือง” พวกนี้ได้ “ยึดอำนาจ-ยึดสิทธิ” ของประชาชนไปเรียบร้อย ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่ง “ลืมไป!” ว่าได้ “ขายอำนาจ” ของตนเอง “ตกเป็นทาส!” กับนักการเมืองจำพวกนี้ เพื่อไป “โกงกิน” ประเทศชาติ

ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า ชาติบ้านเมืองที่เดินหน้าถอยหลัง ไม่ได้ไปไหนเท่าใดนัก รังแต่จะเป็นประเทศที่ล้าหลังเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม และดีไม่ดีกับ กัมพูชาในอนาคต ก็เกิดจาก “การสมยอม-สมรู้ร่วมคิด” ของ “นักการเมือง-ประชาชน” แทบทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม จะไปโทษพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งทั้งหมดคงไม่ได้ เนื่องด้วยปัญหาสำคัญ คือ “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” ที่เกิดจาก “การศึกษาต่ำ-การศึกษาน้อย” จนทำให้ “ยากจน” เลยต้องเห็นแก่ “อามิสสินจ้าง!” ด้วยการ “ขายสิทธิ-ขายเสียง”

ปัญหาทั้งสามประการข้างต้นนั้น ปัจจุบันก็ “เวียนบรรจบ” เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย หนำซ้ำอาจจะเลวร้ายกว่าการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งมาเสียอีก ที่ได้ยินข่าวมาว่า มีการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนับหมื่นล้านบาท เพื่อให้ได้ซึ่ง “อำนาจ” อีกครั้งหนึ่งของ “พรรคนายทุนใหญ่” ที่ต้องการ “ทวงคืน” และไม่สำคัญเท่ากับ “การล้างแค้น” ส่วน “ผลประโยชน์” กับการเลือกตั้งครั้งนี้เป็น “เป้าหมายรอง!”

การเลือกตั้งในครั้งนี้ ขอฟันธงเลยว่า “วงจรอุบาทว์” ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และถามต่อว่า “ในอนาคตจะมีการยึดอำนาจ-รัฐประหารอีกหรือไม่?” คำตอบก็คือว่า “แน่นอน!” ที่ต้องเกิดอีก “ตราบใด!” ขอย้ำคำว่า “ตราบใด” ที่ปัญหาทั้งสามข้างต้นยังวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก “ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย” ก็จะ “ล้มลุกคลุกคลาน” เช่นนี้อีก หาก “วัฒนธรรมการเมืองไทย-นักการเมือง-พรรคการเมือง-ประชาชน” ยัง “จมปลัก” ไม่มีการพัฒนา และ/หรือ “ตระหนัก-ตื่นตัว” กับสถานะของชาติบ้านเมือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง” อย่างรวดเร็ว จนประเทศไทยอาจจะล้าหลังในที่สุด

ระบอบการเมืองการปกครองที่เป็น “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ยังถูกล่วงละเมิดโดย “ผู้ซื้อ-ผู้ลงทุน : พรรคการเมือง-นักการเมือง” โดยไม่คำนึงถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ดั่งเช่นเคยยึดถือปฏิบัติกันมายาวนานถึง “ความมั่นคง-เสถียรภาพ” ของประเทศไทยที่ยืนยาวมาตราบเท่าทุกวันนี้ เนื่องด้วย เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรง “ทศพิธราชธรรม” ดั่งเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

แต่บรรดานักการเมืองทั้งๆ ที่ “ถวายสัตย์ปฏิญาณ” ต่อพระพักตร์ของ “ในหลวง” ยัง “โกงกินประเทศชาติ” แถมคิดเลยเถิดถึง “ล่วงละเมิด” หรือก้าวล้ำสู่การ “ล้มล้างสถาบัน” ดั่งที่เกิดขึ้นมาแล้วจาก “คนอหังการ” จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ยึดมั่นใน “ระบบธรรมาภิบาล” ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทิดทูนใน “สถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วยการบริหารราชการแผ่นดินแบบ “พอเพียง-สมน้ำสมเนื้อ” และไม่สำคัญเท่ากับ “ปรับฐาน” ให้เข้าที่เข้าทาง ตลอดจน “รักษาคำพูด-สุภาพบุรุษ” ในการเดินหน้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกำหนดวาระแห่งชาติ “ไม่ซื้อสิทธิ-ขายเสียง!”

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า “เกิดขึ้นยากส์” กับ “สังคมการเมืองไทย” ทั้งนี้ถ้า “นักธุรกิจการเมือง” ไม่เสนอ คนไทยก็คง “ไม่สนอง” เช่นเดียวกัน

ขอให้การเลือกตั้งครั้งนี้กวาดล้าง “นักการเมืองไม่ดี” ให้หมดไปจากแผ่นดิน!
กำลังโหลดความคิดเห็น