ประธานบริษัท ซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด และผู้จัดการทีมมวยสากลสมัครเล่นชุดซีเกมส์ครั้งที่ 24 เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ฐานฉ้อโกง และดำเนินการทวงหนี้แบบมหาโหด ชนิดตามยึดทรัพย์รายวัน แต่แปลก ยังไม่รู้กรรมการบริหารกองทุนรวมฯ เป็นใคร ตำรวจรับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว ขณะที่เจ้าตัว ต้องการให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับทราบปัญหา เพราะถือเป็นแก๊งต่างชาติที่เข้ามาทำลายระบบนักธุรกิจไทย
วานนี้ (21 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. นายชวาลา สุวรรณชีพ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2122/2 ถนนจันทร์ แขวงช่องนนทรีย์ เขตยานนาวา กทม. ประธานบริษัท ซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด และผู้จัดการทีมมวยสากลสมัครเล่นชุดซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่จ.นครราชสีมา พร้อมนายภราดร พรมกมล ทนายความ เดินทางเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ศุภกร เลาหทวีโชต พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.บางโพงพาง เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้บริหารกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ในข้อหาฉ้อโกง หลังจากที่วานนี้ (20 พ.ย.) นายชวาลา ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนายชวาลาจะเดินทางมาพร้อมทนายความแล้ว ยังให้คนถือป้ายเขียนข้อความ " เจ้าหนี้ต่างชาติหื่น" "ทวงหนี้แบบยึดทรัพย์รายวัน" "ดอกเบี้ยแพงที่สุดในโลก" และ"แก๊งต่างชาติ ทำลายธุรกิจระบบการเงินไทย"ด้วย ทั้งนี้ นายชวาลา ได้นำเอกสารหลักฐานจำนวนหนึ่งประกอบด้วย หลักฐานการชำระหนี้ จำนวน 16 ล้านบาท ให้แก่กองทุนหลักทรัพย์บางกอก แคปปิอตอล สำเนาโฉนดที่ดิน 2 แปลง ที่บริษัทซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด นำไปขายจนได้เงินมา 16 ล้านเพื่อใช้หนี้ดังกล่าว และเอกสารต่างๆจากกรมบังคับคดี ที่ระบุว่า จะมีการยึดทรัพย์สินจำนวนทั้งหมด 34 ล้านบาท รวมทั้งเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดี มอบให้กับร.ต.ท.ศุภกร
นายชวาลากล่าวว่า พฤติกรรมของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล เป็นพฤติกรรมการทวงหนี้นอกระบบ ทั้งที่ชีวิตตนไม่เคยมีหนี้นอกระบบ คดีนี้ ขอยืนยันว่า จะดำเนินการให้ถึงที่สุด คงไม่จบลงง่ายๆ เพราะถือว่าเป็นการเอาเปรียบนักธุรกิจไทยอย่างรุนแรง หากมีใครเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะนามสกุลไหน ตนก็จะไม่หลบ และขออย่าให้อีกฝ่ายหนึ่งหลบด้วย
"เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องตลก เพราะกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล อาจจะไม่มีตัวตน เนื่องจากเวลาที่เขาโทรศัพท์มาข่มขู่ให้ผมชำระหนี้ ก็โทรจากมือถือตลอด ออฟฟิตก็ย้ายบ่อยๆ ส่วนที่มาแจ้งความครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของผมเองอย่างเดียว แต่ผมทำเพื่อนักธุรกิจไทย กว่า 1 พันคน ซึ่งเชื่อว่า ไม่ได้มีผมคนเดียวที่เดือดร้อนเช่นนี้ "นายชวาลากล่าว
นายชวาลากล่าวต่อว่า คดีนี้ อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ความสำคัญ เพราะถือว่า เป็นการทำลายระบบการเงินของไทย อย่างนักธุรกิจเช่นตน ที่ไม่เคยเอาเปรียบสังคม
เบื้องต้น ร.ต.ท.ศุภกร ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะตรวจสอบเอกสารทั้งหมดที่นายชวาลานำมาให้ จากนั้นจะประมวลเรื่อง เสนอไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้านพ.ต.ท.ประดิษฐ์ เปการี พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.บางโพงพางกล่าวว่า คดีนี้ ทางผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นใคร จึงจะต้องตรวจสอบว่า ใครเป็นผู้บริหารกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล
ทั้งนี้ นายชวาลา เคยเป็นลูกหนี้เงินกู้ของ บมจ.บงล.สยามซิตี้ซินดิเคท จำนวน 22 ล้านบาท และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้แต่อย่างใด อีกทั้งหลักทรัพย์ที่นำไปค้ำประกัน คือ ที่ดิน 2 แปลงใน จ.กำแพงเพชร และบ้านพร้อมที่ดินที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็มีมูลค่าเกินกว่ามูลหนี้ กระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ปี 2540 และรัฐบาลได้สั่ง “ปิดกิจการ” ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง ทำให้ นายชวาลา ไม่สามารถติดต่อเพื่อขอชำระหนี้ใดๆ ได้ ต่อมา เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2545 กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ได้ส่งหนังสือแจ้งว่าทำการซื้อหนี้ของนายชวาลา จากองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้ว พร้อมเสนอให้นายชวาลา ชำระหนี้ที่คั่งค้าง โดยจะทำการตัดชำระหนี้ (แฮร์คัต) เหลือเพียง 15 ล้านบาท ดังนั้น ปี 2547 จึงได้ให้กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล นำหลักทรัพย์ค้ำประกันข้างต้นไปขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ส่วนนี้ ซึ่งทราบภายหลังว่า กองทุนดังกล่าวได้ทำการขายทอดตลาด คิดเป็นเงินกว่า 16 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่ามูลหนี้ที่ได้ตกลงชำระกันไว้ในเบื้องต้น กระทั่งมีหมายศาลมาบังคับยึดทรัพย์
วานนี้ (21 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. นายชวาลา สุวรรณชีพ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2122/2 ถนนจันทร์ แขวงช่องนนทรีย์ เขตยานนาวา กทม. ประธานบริษัท ซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด และผู้จัดการทีมมวยสากลสมัครเล่นชุดซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่จ.นครราชสีมา พร้อมนายภราดร พรมกมล ทนายความ เดินทางเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ศุภกร เลาหทวีโชต พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.บางโพงพาง เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้บริหารกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ในข้อหาฉ้อโกง หลังจากที่วานนี้ (20 พ.ย.) นายชวาลา ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนายชวาลาจะเดินทางมาพร้อมทนายความแล้ว ยังให้คนถือป้ายเขียนข้อความ " เจ้าหนี้ต่างชาติหื่น" "ทวงหนี้แบบยึดทรัพย์รายวัน" "ดอกเบี้ยแพงที่สุดในโลก" และ"แก๊งต่างชาติ ทำลายธุรกิจระบบการเงินไทย"ด้วย ทั้งนี้ นายชวาลา ได้นำเอกสารหลักฐานจำนวนหนึ่งประกอบด้วย หลักฐานการชำระหนี้ จำนวน 16 ล้านบาท ให้แก่กองทุนหลักทรัพย์บางกอก แคปปิอตอล สำเนาโฉนดที่ดิน 2 แปลง ที่บริษัทซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด นำไปขายจนได้เงินมา 16 ล้านเพื่อใช้หนี้ดังกล่าว และเอกสารต่างๆจากกรมบังคับคดี ที่ระบุว่า จะมีการยึดทรัพย์สินจำนวนทั้งหมด 34 ล้านบาท รวมทั้งเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดี มอบให้กับร.ต.ท.ศุภกร
นายชวาลากล่าวว่า พฤติกรรมของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล เป็นพฤติกรรมการทวงหนี้นอกระบบ ทั้งที่ชีวิตตนไม่เคยมีหนี้นอกระบบ คดีนี้ ขอยืนยันว่า จะดำเนินการให้ถึงที่สุด คงไม่จบลงง่ายๆ เพราะถือว่าเป็นการเอาเปรียบนักธุรกิจไทยอย่างรุนแรง หากมีใครเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะนามสกุลไหน ตนก็จะไม่หลบ และขออย่าให้อีกฝ่ายหนึ่งหลบด้วย
"เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องตลก เพราะกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล อาจจะไม่มีตัวตน เนื่องจากเวลาที่เขาโทรศัพท์มาข่มขู่ให้ผมชำระหนี้ ก็โทรจากมือถือตลอด ออฟฟิตก็ย้ายบ่อยๆ ส่วนที่มาแจ้งความครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของผมเองอย่างเดียว แต่ผมทำเพื่อนักธุรกิจไทย กว่า 1 พันคน ซึ่งเชื่อว่า ไม่ได้มีผมคนเดียวที่เดือดร้อนเช่นนี้ "นายชวาลากล่าว
นายชวาลากล่าวต่อว่า คดีนี้ อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ความสำคัญ เพราะถือว่า เป็นการทำลายระบบการเงินของไทย อย่างนักธุรกิจเช่นตน ที่ไม่เคยเอาเปรียบสังคม
เบื้องต้น ร.ต.ท.ศุภกร ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะตรวจสอบเอกสารทั้งหมดที่นายชวาลานำมาให้ จากนั้นจะประมวลเรื่อง เสนอไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้านพ.ต.ท.ประดิษฐ์ เปการี พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.บางโพงพางกล่าวว่า คดีนี้ ทางผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นใคร จึงจะต้องตรวจสอบว่า ใครเป็นผู้บริหารกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล
ทั้งนี้ นายชวาลา เคยเป็นลูกหนี้เงินกู้ของ บมจ.บงล.สยามซิตี้ซินดิเคท จำนวน 22 ล้านบาท และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้แต่อย่างใด อีกทั้งหลักทรัพย์ที่นำไปค้ำประกัน คือ ที่ดิน 2 แปลงใน จ.กำแพงเพชร และบ้านพร้อมที่ดินที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็มีมูลค่าเกินกว่ามูลหนี้ กระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ปี 2540 และรัฐบาลได้สั่ง “ปิดกิจการ” ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง ทำให้ นายชวาลา ไม่สามารถติดต่อเพื่อขอชำระหนี้ใดๆ ได้ ต่อมา เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2545 กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ได้ส่งหนังสือแจ้งว่าทำการซื้อหนี้ของนายชวาลา จากองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้ว พร้อมเสนอให้นายชวาลา ชำระหนี้ที่คั่งค้าง โดยจะทำการตัดชำระหนี้ (แฮร์คัต) เหลือเพียง 15 ล้านบาท ดังนั้น ปี 2547 จึงได้ให้กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล นำหลักทรัพย์ค้ำประกันข้างต้นไปขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ส่วนนี้ ซึ่งทราบภายหลังว่า กองทุนดังกล่าวได้ทำการขายทอดตลาด คิดเป็นเงินกว่า 16 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่ามูลหนี้ที่ได้ตกลงชำระกันไว้ในเบื้องต้น กระทั่งมีหมายศาลมาบังคับยึดทรัพย์