xs
xsm
sm
md
lg

ระบบเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ระบบเศรษฐกิจและการเมืองจะต้องวิเคราะห์คู่กันเสมอ และในความเป็นจริงส่วนของสังคมก็เกี่ยวพันอยู่ในเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองด้วย ปัญหาที่มีอยู่คือ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่พูดถึงระบบเศรษฐกิจโดยไม่ได้มองดูมิติทางการเมือง บางครั้งก็ปนเประหว่างระบบเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้มีคำสัมภาษณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่งพูดถึงเศรษฐกิจทุนนิยม เศรษฐกิจประชานิยม และเศรษฐกิจสังคมนิยม ประชานิยมไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจ แต่ประชานิยมเป็นนโยบายซึ่งถูกกำหนดโดยอุดมการณ์ทางการเมืองและความต้องการที่จะได้คะแนนนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ระบบเศรษฐกิจแบ่งได้อย่างกว้างๆ คือ ระบบที่เรียกว่าเสรีโดยใช้กลไกตลาด และระบบสังคมนิยมที่มีการวางแผนจากส่วนกลางโดยไม่ให้น้ำหนักกับกลไกของตลาด ซึ่งทั้งสองระบบนี้ต้องมองเกี่ยวโยงกับระบบการเมืองด้วยว่าเป็นระบบประชาธิปไตยหรือระบบเผด็จการ ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจทุนนิยมอาจจะฉีกมาเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ กล่าวคือ ยังมีการใช้กลไกตลาดอยู่แต่มีนโยบายพิเศษคุ้มครองประชาชนส่วนใหญ่เพื่อให้มีความมั่นคงในชีวิตเศรษฐกิจโดยมีสวัสดิการต่างๆ ในส่วนนี้ต้องถือว่าเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจ

ทำนองเดียวกับประชานิยมเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อมองดูสองมิติคือเศรษฐกิจและการเมืองโดยมีสังคมพ่วงท้ายนี้ก็จะกล่าวได้กว้างๆ ว่า เศรษฐกิจทุนนิยมนั้นใช้กลไกของตลาดในการกำหนดการผลิต โดยใช้หลักอุปสงค์อุปทาน ความต้องการของสินค้ามีเท่าใดก็จะมีการผลิตสินค้านั้นใกล้เคียงกัน ราคาก็จะถูกกำหนดโดยกลไกของตลาด และนี่เป็นลักษณะของตำราเรียนที่เรียกว่าการแข่งขันโดยสมบูรณ์ ราคาก็ยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีการผูกขาดในระดับใดระดับหนึ่ง ดังนั้น การแข่งขันโดยสมบูรณ์นั้นหาได้ยากมาก และแม้ในเรื่องหลักอุปสงค์อุปทานก็ไม่จริงเสมอไป มีการผลิตสินค้าขึ้นมาก่อน คือมีอุปทานโดยยังไม่มีอุปสงค์ แต่ก็ใช้วิธีการโฆษณาให้คนมาซื้อหา แต่โดยทั่วๆ ไปหลักเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีนี้มีสิ่งที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น (invisible hand) มากำหนด ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเสรีโดยธรรมชาติ

ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี หรือทุนนิยมเสรีนี้ มักจะเกิดขึ้นภายใต้ระบบการเมืองแบบเปิด หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ระบบเศรษฐกิจเสรี หรือทุนนิยมเสรีจะอยู่คู่กับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่ โดยรัฐจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบเศรษฐกิจแบบเสรี แต่ในความเป็นจริงบางครั้งเศรษฐกิจแบบเสรีก็ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างเรียบราบเพราะกลไกตลาดไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำทำให้เกิดการล่มสลายของบริษัท ห้างร้าน เกิดการว่างงาน ความพลวัตของเศรษฐกิจและธุรกิจก็จะถอยถดที่เรียกว่าเศรษฐกิจตกต่ำ จึงมีแนวนโยบายที่ว่า รัฐจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการเงิน การคลัง การเงินได้แก่ดอกเบี้ย การคลังคือการลงทุนของภาครัฐ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการลงทุนจะได้กระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว การแทรกแซงโดยภาครัฐมาจากนักเศรษฐกิจคนสำคัญ คือ Lord Keynes นี่คือหลักเศรษฐกิจทุนนิยมและเสรีประชาธิปไตยโดยสังเขป

แต่แม้ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและเสรีประชาธิปไตยนี้ก็ตามก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในทางสังคมได้ในบางด้าน เช่น การว่างงาน คนยากจนมีอยู่ทั่วไป ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคม การก่ออาชญากรรมและอื่นๆ จึงอาจมีนโยบายสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนยากจนเหล่านี้ เดิมทีนั้นระบบสวัสดิการดังกล่าวนี้ถือเป็นมาตรการของระบบสังคมนิยม เมื่อนำมาใช้ในสหรัฐอเมริกาก็มีการต่อต้าน และต่อมาก็รับเป็นนโยบายสำคัญของเศรษฐกิจอเมริกาเพื่อช่วยเหลือคนว่างงาน คนยากจน คนชราที่ไม่มีรายได้ เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมไม่ได้เสรีโดยใช้กลไกตลาดเสมอไป และรัฐก็ต้องเข้าแทรกแซงทั้งในการใช้นโยบายการเงิน การคลัง การลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมตลอดทั้งการช่วยเหลือให้สวัสดิการอันเป็นนโยบายสำคัญทางสังคม

ระบบสังคมนิยมที่เข้าใจกัน คือ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คือระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต และจีนในสมัยเหมาเจ๋อตง ปัจจุบันก็เหลืออยู่ที่เกาหลีเหนือ และคิวบาเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมนี้ไม่คำนึงถึงกลไกตลาดและความต้องการของตลาด แต่จะกำหนดการผลิตด้วยการรวมศูนย์วางแผนจากส่วนกลางว่าควรจะผลิตอะไรบ้าง เพื่อให้พอเพียงต่อความต้องการ ส่วนใหญ่จะไม่มีสินค้าอุปโภคบริโภคแต่จะมุ่งไปยังอุตสาหกรรมหนัก การสำรวจอวกาศ การสร้างอาวุธ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และในระยะต้นๆ ต้องการจะเป็นเศรษฐกิจที่ปิดประตูและสมบูรณ์ในตัวเอง (autarky) เศรษฐกิจแบบนี้นั้นจะมีปัญหาเรื่องการขาดแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจ เพราะแม้เศรษฐกิจภาคบริการและสินค้าอุปโภคบริโภคก็จะเป็นของรัฐ การบริการจะมีคุณภาพต่ำ สินค้าจะขาดแคลน จะซื้อกระดาษชำระสองม้วนต้องเข้าแถว 3 แถว แถวแรกเพื่อเข้าไปดูสินค้า แถวที่สองไปจ่ายเงิน แถวที่สามไปรับสินค้า ซึ่งเกิดขึ้นในสภาพโซเวียต ส่วนในจีนสมัยเหมาเจ๋อตง อาหารมีพอเพียงต่อการเลี้ยงประชาชน แต่ไม่มีอาหารฟุ่มเฟือย ทั้งประเทศส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าสองสีคือสีเทาและสีน้ำเงิน ได้เสื้อผ้าต่อคนปีละสองชุด

ในส่วนของระบบการเมืองก็เป็นการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รวมศูนย์อำนาจโดยพรรค รัฐบาลก็มาจากการแต่งตั้งของพรรค ประชาชนไม่มีเสรีภาพทางการเมือง และขาดเสรีภาพส่วนบุคคล การแสดงออกถูกจำกัด นี่คือระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมบวกเผด็จการคอมมิวนิสต์ซึ่งมักจะเป็นของคู่กัน อย่างไรก็ตาม ประชาชนจะไม่ขาดอาหาร มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรคในระดับหนึ่ง

แต่มีระบบอีกระบบหนึ่ง คือ ระบบการปกครองที่ใช้ระบบเศรษฐกิจเสรีแบบระบบตลาด แต่ทางการเมืองนั้นเป็นเผด็จการซึ่งอาจจะเป็นเผด็จการทหาร หรือเผด็จการที่มีพรรคคุมอำนาจเบ็ดเสร็จซึ่งได้แก่ระบบฟาสซิสต์เช่นพรรคนาซีเยอรมันในสมัยฮิตเลอร์ หรือในกรณีประเทศไทยคือรัฐประหารในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การเมืองเป็นระบบเผด็จการแต่เศรษฐกิจปล่อยตามกลไกของระบบตลาดในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน รัฐก็สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจได้และบ่อยครั้งเศรษฐกิจใหญ่ๆ จะมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจรวมทั้งนโยบายต่างประเทศ เช่นกรณีของญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนโยบายต่างประเทศกำหนดโดยกลุ่มการเมืองที่เรียกว่า ไซบัตสึ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น โดยทั่วๆ ไปจะมีระบบเศรษฐกิจการเมือง 3 ระบบ ส่วนนโยบายที่จะให้น้ำหนักกับสวัสดิการหรือประชานิยมเป็นเรื่องที่กำหนดโดยรัฐ ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษเป็นระบบที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยม แต่ครั้งหนึ่งเคยมีนโยบายสังคมนิยมทางด้านสาธารณสุข ค่ารักษาอยู่ในระดับต่ำ หรือประเทศในสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เป็นรัฐสวัสดิการ เก็บภาษีสูง แต่ช่วยเหลือเด็กและคนชรา ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต

จากการที่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนคาบเกี่ยวกันระหว่างระบบเศรษฐกิจทั้งสาม เช่น สหรัฐฯ นำเอาสวัสดิการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนิยมมาใช้ จีนเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์เพราะประชาชนไม่มีเสรีภาพทางการเมือง แต่มีเสรีภาพทางสังคมประกอบธุรกิจได้และใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในระดับหนึ่ง เวียดนามก็กำลังดำเนินตามแนวทางนี้ ในสหรัฐฯ ถึงแม้จะเป็นประชาธิปไตย เป็นเศรษฐกิจทุนนิยมแต่ก็มีการกล่าวว่าองค์กรทหารและนักลงทุนอุตสาหกรรมหนักทางด้านอาวุธและน้ำมัน รวมทั้งสถาบันการเมืองมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านสงคราม มีการกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาเป็น military-industrial complex เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่ามีการผสมผสานระหว่างระบบเศรษฐกิจ การเมืองและมาตรการนโยบายปนเปกันในระดับหนึ่ง สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าระบบที่แตกต่างกันนี้จะมาพบกันที่จุดๆ หนึ่ง (the convergence theory) มากน้อยต่างกันแล้วแต่กรณี

ประชานิยมก็คล้ายๆ กับนโยบายรัฐสวัสดิการ เป็นนโยบายเศรษฐกิจไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจ นโยบายประชานิยม (populist policies) เกิดขึ้นได้ในระบบสังคมเช่นสมัยเหมา เจ๋อตุง ทุกคนต้องมีเสื้อผ้าใส่ มีที่อยู่อาศัย รักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ใกล้เคียงกับระบบรัฐสวัสดิการกับประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งนโยบายรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก็เคยมีในยุคพรรคกิจสังคมเป็นรัฐบาลในอดีต เพราะฉะนั้นรัฐสวัสดิการก็ดี ประชานิยมก็ดี ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจตามที่เข้าใจกันแต่เป็นนโยบาย

เศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นปรัชญาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ พระองค์ท่านได้รับสั่งว่า เศรษฐกิจต้องมีการค้าขายซึ่งเรียกว่า trade economy ถ้าไม่มี trade ก็ต้องอยู่ในถ้ำ ความหมายก็คือ เศรษฐกิจพอเพียงก็คือการดำเนินทางเศรษฐกิจตามปกติ แต่ต้องมีเหตุมีผล ไม่ทำอย่างบุ่มบ่าม กู้เงินลงทุนจนเกินตัวจนเกิดความเสี่ยง ไม่เร่งให้เศรษฐกิจร้อนจนเป็นฟองสบู่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นทฤษฎีใหม่ซึ่งก็เป็นความพอเพียงอีกรูปแบบหนึ่ง มีที่ 20 ไร่ แบ่ง 10 ไร่เพื่อการปลูกข้าว 5 ไร่ขุดบ่อน้ำ 2 ไร่เป็นที่อยู่อาศัย 3 ไร่ปลูกพืชผักผลไม้ หารายได้ด้วยการทำอาชีพเสริม ถ้าทำเช่นนี้แม้จะไม่ร่ำรวยมีเงินมากแต่จะพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิต มีภูมิต้านทานโดยไม่ต้องถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือภายในประเทศ เศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นปรัชญาที่ใช้ได้ทั้งสองแบบ นี่เป็นปรัชญาเศรษฐกิจที่สำคัญที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกของตลาดและระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พูดถึงระบบเศรษฐกิจต้องคู่กับระบบการเมืองการปกครอง ปรัชญา สังคมและการดำรงชีวิต ซึ่งต้องแยกให้ชัดว่าส่วนใดเป็นนโยบายส่วนใดเป็นระบบ
กำลังโหลดความคิดเห็น