ผู้จัดการรายวัน – มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ปรับโครงสร้างใหม่ ดันแบรนด์ “แม่ฟ้าหลวง” สู่ภาคการพัฒนา พร้อมส่งแบรนด์ “ดอยตุง” สู่ภาคธุรกิจเต็มตัว อัดงบตลาดปีแรกเต็มเหนี่ยว มั่นใจรายได้รอบบัญชีปี 51 ทะลุ 500 ล้านบาท
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้อำนวยการโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเผยว่า ปีนี้โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ก้าวสู่ปีที่ 20 ซึ่งที่ผ่านมา ทางมูลนิธิฯ มีผลิตภัณฑ์จากโครงการดังกล่าว โดยเริ่มใช้ชื่อ “แม่ฟ้าหลวง” ต่อมาเริ่มมีแบรนด์ “ดอยตุง” แต่ยังต่อท้ายด้วย โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
ล่าสุดเริ่มทดลองใช้แบรนด์ ดอยตุง เต็มตัวมาได้ประมาณ 3 ปี กับกาแฟดอยตุง โดยทางมูลนิธิฯมองว่า การใช้ชื่อมูลนิธิมาใช้เพื่อการทำธุรกิจจะไม่ดี จึงเห็นสมควรที่จะมีการปรับกระบวนการทำงานเพื่อให้มูลนิธิฯสามารถสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมสร้างแบรนด์ดอยตุงสู่ภาคธุรกิจเต็มตัว
“การสร้างแบรนด์สินค้าใหม่ ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ประกอบด้วย Café DoiTung สำหรับเครือข่ายร้านกาแฟ DoiTung Lifestyle สำหรับสินค้าแฟชั่นเครื่องประดับและของใช้ตกแต่งบ้าน และ DoiTung Lodge สำหรับที่พักบนดอยตุง โดยที่ทางมูลนิธิฯจะให้พระนาม แม่ฟ้าหลวง เป็นที่รู้จักเฉพาะในด้านการพัฒนาและการให้คืนสู่สังคมดังพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงมาตลอดพระชนม์ชีพ และจะใช้ชื่อ DoiTung ในการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งจะส่งผลให้ไม่มีชื่อ แม่ฟ้าหลวง เป็นชื่อสินค้าร้านค้าอีกต่อไป”
คุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการบริหาร โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทางมูลนิธิฯได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯในรอบ 20 ปี เพื่อให้แบรนด์ ดอยตุง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้กว้างขึ้น ประกอบด้วย การจัดกลุ่มธุรกิจ และ กำหนดหลักการและโครงสร้าง โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 สายธุรกิจ ได้แก่ 1.สายธุรกิจการเกษตร 2.สายธุรกิจอาหาร 3.สายธุรกิจแฟชั่นและเครื่องประดับ 4.สายธุรกิจของใช้ตกแต่งบ้าน และ5.สายธุรกิจการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้ายอดขายในรอบบัญชีปี 2551 (ต.ค. 50-ก.ย.51) ไว้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งในปี 2551 จะขยายร้านคาเฟ่ดอยตุงอีก 5-6 สาขา งบลงทุน 30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในรอบบัญชีปี 2550 (ต.ค.49-ก.ย.50 ) ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท ทำได้เพียง 470 ล้านบาท เติบโต 20% จากรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทในปีที่แล้ว มีกำไรสุทธิ 4% ของยอดขาย รายได้หลักมาจากสินค้าหัตถกรรมในส่วนของสายธุรกิจของใช้ของตกแต่งบ้าน 30% ขณะที่สินค้าที่สร้างรายได้น้อยที่สุดคือ ดอกไม้ จากสายธุรกิจการเกษตร 10% ที่เหลือมาจากอีก 3 สายธุรกิจในสัดส่วน 20% เท่าๆกัน
ในปี2545 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เริ่มดำเนินโครงการ “ดอยตุง2-โครงการพัฒนาหย่องข่า สหภาพเมียนมาร์” ตามคำร้องของของสหภาพพม่า นำความรู้ไปช่วยพัฒนาระดับประเทศ ด้านการเกษตรด้วยการปลูกถั่วเหลือง ถั่ว แมคคาเดเมีย ข้าวโพด ส่วนในปี 2549 ได้เริ่มโครงการดอยตุง 3 ที่จังหวัดบัลค์ ที่สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถานกับการเลี้ยงแกะ และโครงการดอยตุง 4 ที่จังหวัดอาเจย์ ประเทศอินโดนีเซีย เรียนรู้การเลี้ยงแพะ ทำธนาคารแพะ และการปลูกปาล์ม เพื่อนำมาทำน้ำมัน
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้อำนวยการโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเผยว่า ปีนี้โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ก้าวสู่ปีที่ 20 ซึ่งที่ผ่านมา ทางมูลนิธิฯ มีผลิตภัณฑ์จากโครงการดังกล่าว โดยเริ่มใช้ชื่อ “แม่ฟ้าหลวง” ต่อมาเริ่มมีแบรนด์ “ดอยตุง” แต่ยังต่อท้ายด้วย โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
ล่าสุดเริ่มทดลองใช้แบรนด์ ดอยตุง เต็มตัวมาได้ประมาณ 3 ปี กับกาแฟดอยตุง โดยทางมูลนิธิฯมองว่า การใช้ชื่อมูลนิธิมาใช้เพื่อการทำธุรกิจจะไม่ดี จึงเห็นสมควรที่จะมีการปรับกระบวนการทำงานเพื่อให้มูลนิธิฯสามารถสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมสร้างแบรนด์ดอยตุงสู่ภาคธุรกิจเต็มตัว
“การสร้างแบรนด์สินค้าใหม่ ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ประกอบด้วย Café DoiTung สำหรับเครือข่ายร้านกาแฟ DoiTung Lifestyle สำหรับสินค้าแฟชั่นเครื่องประดับและของใช้ตกแต่งบ้าน และ DoiTung Lodge สำหรับที่พักบนดอยตุง โดยที่ทางมูลนิธิฯจะให้พระนาม แม่ฟ้าหลวง เป็นที่รู้จักเฉพาะในด้านการพัฒนาและการให้คืนสู่สังคมดังพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงมาตลอดพระชนม์ชีพ และจะใช้ชื่อ DoiTung ในการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งจะส่งผลให้ไม่มีชื่อ แม่ฟ้าหลวง เป็นชื่อสินค้าร้านค้าอีกต่อไป”
คุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการบริหาร โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทางมูลนิธิฯได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯในรอบ 20 ปี เพื่อให้แบรนด์ ดอยตุง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้กว้างขึ้น ประกอบด้วย การจัดกลุ่มธุรกิจ และ กำหนดหลักการและโครงสร้าง โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 สายธุรกิจ ได้แก่ 1.สายธุรกิจการเกษตร 2.สายธุรกิจอาหาร 3.สายธุรกิจแฟชั่นและเครื่องประดับ 4.สายธุรกิจของใช้ตกแต่งบ้าน และ5.สายธุรกิจการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้ายอดขายในรอบบัญชีปี 2551 (ต.ค. 50-ก.ย.51) ไว้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งในปี 2551 จะขยายร้านคาเฟ่ดอยตุงอีก 5-6 สาขา งบลงทุน 30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในรอบบัญชีปี 2550 (ต.ค.49-ก.ย.50 ) ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท ทำได้เพียง 470 ล้านบาท เติบโต 20% จากรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทในปีที่แล้ว มีกำไรสุทธิ 4% ของยอดขาย รายได้หลักมาจากสินค้าหัตถกรรมในส่วนของสายธุรกิจของใช้ของตกแต่งบ้าน 30% ขณะที่สินค้าที่สร้างรายได้น้อยที่สุดคือ ดอกไม้ จากสายธุรกิจการเกษตร 10% ที่เหลือมาจากอีก 3 สายธุรกิจในสัดส่วน 20% เท่าๆกัน
ในปี2545 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เริ่มดำเนินโครงการ “ดอยตุง2-โครงการพัฒนาหย่องข่า สหภาพเมียนมาร์” ตามคำร้องของของสหภาพพม่า นำความรู้ไปช่วยพัฒนาระดับประเทศ ด้านการเกษตรด้วยการปลูกถั่วเหลือง ถั่ว แมคคาเดเมีย ข้าวโพด ส่วนในปี 2549 ได้เริ่มโครงการดอยตุง 3 ที่จังหวัดบัลค์ ที่สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถานกับการเลี้ยงแกะ และโครงการดอยตุง 4 ที่จังหวัดอาเจย์ ประเทศอินโดนีเซีย เรียนรู้การเลี้ยงแพะ ทำธนาคารแพะ และการปลูกปาล์ม เพื่อนำมาทำน้ำมัน