เชื่อไหมครับว่าประโยคที่ผมนำขึ้นมาจั่วหัววันนี้ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย
และมีมากเสียด้วย
หลายคนยกตัวอย่างยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเบื่อหน่ายรัฐบาลที่สักแต่ขายความซื่อสัตย์สุจริต (ซึ่ง...ถึงที่สุดแล้วก็หาเป็นเช่นนั้นจริงไม่) หรืออย่างไร ถึงได้เอ่ยปากยอมรับให้มีการโกงได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพูดจะเอาอะไรมาวัดระดับของคำที่ใช้ว่า ็โกงบ้างิ นี่มันกี่บาทกี่สตางค์
ไม่รู้ว่าโกงขนาดรัฐบาลที่แล้วเป็น “โกงบ้าง” หรือ “โกงมากิ” หรือ “โกงมากเกินไป” กันแน่
สังคมไทยวันนี้ จากสังคมที่เคยยึดเอาหลักคำสอนเรื่องหิริโอตัปปะ, อกุศลมูล 3, เกรงกลัวการทำบาป, เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ อันเป็นกุศโลบาย (อุบายที่เป็นกุศล) ที่ห้ามไม่ให้คนทำชั่ว กลายมาเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มองว่า
“โกงบ้างไม่เป็นไร..ขอให้ทำงานได้”
“คอมมิชชั่นเป็นเรื่องปกติ”
“เลี้ยงดูปูเสื่อ พาไปดูงานต่างประเทศ แถมพ็อกเก็ตมันนี่ เป็นเรื่องธรรมดา”
“มีรัฐบาลไหนไม่โกงบ้าง โกงแล้วมีผลงานยังดีกว่าโกงแล้วไม่ทำงาน”
ฯลฯ
รวมทั้งเห็นคนที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ แต่ร่ำรวย เป็นแบบอย่างที่น่าทำตาม
ในยุคก่อน หากข้าราชการได้ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว ก็คือ การปฎิญาณตนแสดงถึงความจงรัก ภักดีจะละเมิดมิได้ จะต้องเคารพเชื่อฟังพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์ แต่มาอีกยุคนี้ ถึงขนาดทรงมีพระราชดำรัสว่าด้วยการทุจริต ทรงแช่งผู้ทุจริต ทรงย้ำให้รัฐมนตรีกระทำตามคำสัตย์ปฏิญาณ ก็ยังไม่สะทกสะท้านกัน
ขณะเดียวกัน โลกานุวัตน์ก็ยิ่งส่งเสริมให้ขบวนการคอร์รัปชั่นทั้งซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
การเจรจาในต่างประเทศ จ่ายเงินในต่างประเทศ
การตั้งบริษัทกระดาษในต่างประเทศ แล้วเข้ามาทำมาหากินในประเทศ
การฟอกเงินในต่างประเทศ
การใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็นเครื่องมือในรูปแบบต่าง ๆ
แปลกแต่จริงที่ ด้านหนึ่ง โลกาภิวัตน์ทำลายภูมิคุ้มกันการต่อต้านการทุจริตแบบดั้งเดิมของสังคม ก่อให้เกิดพัฒนาการของการโกงมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง กลับเรียกหากลไกการปราบทุจริตที่มีประสิทธิภาพ มีการประกาศว่าคอร์รัปชั่นคือเนื้อร้ายของการพัฒนาโลกโดยรวม เรียกร้องให้ปราบปรามทุจริตและมีความโปร่งใส
วัฏจักรของคอรัปชั่น มันเป็นวัฏจักรเดียวกันกับวัฎจักรพัฒนาการของโลกก็ว่าได้
มนุษยชาติบริโภค และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมอย่างขนานใหญ่ แล้วก็ทำให้ทำให้มนุษยชาติเองเผชิญกับโรคภัยโรคระบาดร้ายแรง และภาวะเรือนกระจก แต่ในขณะเดียวกัน ก็พยายามจะหาหนทางขจัดปัดเป่าหาทางรักษาโรคดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่โรคนั้นเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง
เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นกลไกทางสังคม และศีลธรรม
แต่น่าเสียดายที่ปรากฏว่า ภูมิคุ้มกันดังกล่าวของสังคมไทยถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว
หลายปีมานี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองออกมาพูดกันเรื่องคอรัปชั่นมากขึ้น แม้กระทั่งองค์พระประมุขของเรา ถือเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน (และครั้งที่ 2 ในยุครัตนโกสินทร์) ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ็ทรงแช่งิ ผู้ทุจริต ให้เป็นที่ปรากฏต่อผู้คนทั้งแผ่นดิน
ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 พ่อของแผ่นดินพระราชทานพระบรมราโชวาท แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการ หรือผู้ว่าฯซีอีโอ ทรงย้ำให้ทุกคนเน้นประสานงาน อย่าประสานงาน และอย่าทุจริต พระองค์ทรงรับสั่งว่าในช่วงเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีทุจริตมากขึ้น พระบรมราโชวาทที่จับใจประ ชาชนทั่วไปโดยนัยก็คือ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็นไป
ต้องไม่ลืมว่า สังคมไทยโบราณให้อำนาจแก่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงวินิจฉัย
กฎหมายตราสามดวง บทพระไอยการอาญาหลวง ที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 1895 รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ว่าด้วย บทลงโทษข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ
บทลงโทษต่อข้าราชการผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวงในยุคก่อนรุนแรงมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ความผิดของการฉ้อราษฎรบังหลวงก็คือ...
การประทุษร้าย เบียดบัง ส่วย สัตภัทยา และพระราชทรัพย์ มาเป็นของตนหรือผู้อื่น ข่มเหงราษฎร เก็บเอาข้าวของลูกเมีย ข้าคน มาเป็นประ โยชน์แก่ตน ปกปิดป้องกันผู้มีคดีและผู้รับไว้มิให้ส่งตุลาการดำเนินเป็นคดี
เป็นต้น
มีบทลงโทษดังนี้....
“ฟันคอ ริบเรือน ริบราชบาท เอาลูกเมียข้าคนเป็นราชบาท ยึดทรัพย์ สินสิ่งของเข้าพระคลัง ตัดมือ ตัดเท้า จองจำใส่ตรุ โดยยถากรรม เฆี่ยนด้วยลวดหนัง หรือไม้หวาย ตัดปากแหวะปากเอามะพร้าวห้าวยัดปาก ใส่ตระกร้อให้ช้างเตะ”
สะท้อนว่ายุคนั้นก็มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้ง ๆ ที่กฎศีลธรรมที่ในยุคนั้นถือว่าเข้มแข็งมาก ก็ยัง ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตฉ้อโกงเบียดบังของหลวงได้ 100 %
ช่วงการปกครองแบบเผด็จการทหารหลังการเปลี่ยนแปลงแปลงการปกครอง ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมาสู่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นยุคที่มีสีสันมาก และมีกรณีตัวอย่างมากมายเพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์เรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทย
แม้ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จะมีผลงานเด่น ๆ ออกมามากมาย เช่น การออกกฎหมายเลิกเสพและจำหน่ายฝิ่นโดยเด็ดขาด กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล สั่งประหารชีวิตผู้ต้องหาลอบวางเพลิง กฎหมายปรามการค้าประเวณี และเริ่มมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ฯลฯ คนดีของสังคมอย่างดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ก็ยังทำงานให้กับระบอบนั้น
แต่ดูเหมือนว่าคนยุคหลังแทบจะจำผลงานเด่น ๆ ดี ๆ ไม่ได้เลย
เพราะถูกภาพ “คอร์รัปชัน” และ “เผด็จการ” กลบเสียหมด !
จำได้ไหมครับว่าเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถึงแก่อสัญกรรมในปี 2506 จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้สืบอำนาจเผด็จการคนต่อมา ยึดทรัพย์ด้วยมาตรา 17 ฐานโกงชาติโกงแผ่นดิน
ยึดทรัพย์เข้าหลวงได้ถึง 3,000 ล้านบาทในสมัยนั้น !
และมีมากเสียด้วย
หลายคนยกตัวอย่างยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเบื่อหน่ายรัฐบาลที่สักแต่ขายความซื่อสัตย์สุจริต (ซึ่ง...ถึงที่สุดแล้วก็หาเป็นเช่นนั้นจริงไม่) หรืออย่างไร ถึงได้เอ่ยปากยอมรับให้มีการโกงได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพูดจะเอาอะไรมาวัดระดับของคำที่ใช้ว่า ็โกงบ้างิ นี่มันกี่บาทกี่สตางค์
ไม่รู้ว่าโกงขนาดรัฐบาลที่แล้วเป็น “โกงบ้าง” หรือ “โกงมากิ” หรือ “โกงมากเกินไป” กันแน่
สังคมไทยวันนี้ จากสังคมที่เคยยึดเอาหลักคำสอนเรื่องหิริโอตัปปะ, อกุศลมูล 3, เกรงกลัวการทำบาป, เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ อันเป็นกุศโลบาย (อุบายที่เป็นกุศล) ที่ห้ามไม่ให้คนทำชั่ว กลายมาเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มองว่า
“โกงบ้างไม่เป็นไร..ขอให้ทำงานได้”
“คอมมิชชั่นเป็นเรื่องปกติ”
“เลี้ยงดูปูเสื่อ พาไปดูงานต่างประเทศ แถมพ็อกเก็ตมันนี่ เป็นเรื่องธรรมดา”
“มีรัฐบาลไหนไม่โกงบ้าง โกงแล้วมีผลงานยังดีกว่าโกงแล้วไม่ทำงาน”
ฯลฯ
รวมทั้งเห็นคนที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ แต่ร่ำรวย เป็นแบบอย่างที่น่าทำตาม
ในยุคก่อน หากข้าราชการได้ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว ก็คือ การปฎิญาณตนแสดงถึงความจงรัก ภักดีจะละเมิดมิได้ จะต้องเคารพเชื่อฟังพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์ แต่มาอีกยุคนี้ ถึงขนาดทรงมีพระราชดำรัสว่าด้วยการทุจริต ทรงแช่งผู้ทุจริต ทรงย้ำให้รัฐมนตรีกระทำตามคำสัตย์ปฏิญาณ ก็ยังไม่สะทกสะท้านกัน
ขณะเดียวกัน โลกานุวัตน์ก็ยิ่งส่งเสริมให้ขบวนการคอร์รัปชั่นทั้งซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
การเจรจาในต่างประเทศ จ่ายเงินในต่างประเทศ
การตั้งบริษัทกระดาษในต่างประเทศ แล้วเข้ามาทำมาหากินในประเทศ
การฟอกเงินในต่างประเทศ
การใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็นเครื่องมือในรูปแบบต่าง ๆ
แปลกแต่จริงที่ ด้านหนึ่ง โลกาภิวัตน์ทำลายภูมิคุ้มกันการต่อต้านการทุจริตแบบดั้งเดิมของสังคม ก่อให้เกิดพัฒนาการของการโกงมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง กลับเรียกหากลไกการปราบทุจริตที่มีประสิทธิภาพ มีการประกาศว่าคอร์รัปชั่นคือเนื้อร้ายของการพัฒนาโลกโดยรวม เรียกร้องให้ปราบปรามทุจริตและมีความโปร่งใส
วัฏจักรของคอรัปชั่น มันเป็นวัฏจักรเดียวกันกับวัฎจักรพัฒนาการของโลกก็ว่าได้
มนุษยชาติบริโภค และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมอย่างขนานใหญ่ แล้วก็ทำให้ทำให้มนุษยชาติเองเผชิญกับโรคภัยโรคระบาดร้ายแรง และภาวะเรือนกระจก แต่ในขณะเดียวกัน ก็พยายามจะหาหนทางขจัดปัดเป่าหาทางรักษาโรคดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่โรคนั้นเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง
เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นกลไกทางสังคม และศีลธรรม
แต่น่าเสียดายที่ปรากฏว่า ภูมิคุ้มกันดังกล่าวของสังคมไทยถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว
หลายปีมานี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองออกมาพูดกันเรื่องคอรัปชั่นมากขึ้น แม้กระทั่งองค์พระประมุขของเรา ถือเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน (และครั้งที่ 2 ในยุครัตนโกสินทร์) ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ็ทรงแช่งิ ผู้ทุจริต ให้เป็นที่ปรากฏต่อผู้คนทั้งแผ่นดิน
ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 พ่อของแผ่นดินพระราชทานพระบรมราโชวาท แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการ หรือผู้ว่าฯซีอีโอ ทรงย้ำให้ทุกคนเน้นประสานงาน อย่าประสานงาน และอย่าทุจริต พระองค์ทรงรับสั่งว่าในช่วงเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีทุจริตมากขึ้น พระบรมราโชวาทที่จับใจประ ชาชนทั่วไปโดยนัยก็คือ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็นไป
ต้องไม่ลืมว่า สังคมไทยโบราณให้อำนาจแก่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงวินิจฉัย
กฎหมายตราสามดวง บทพระไอยการอาญาหลวง ที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 1895 รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ว่าด้วย บทลงโทษข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ
บทลงโทษต่อข้าราชการผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวงในยุคก่อนรุนแรงมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ความผิดของการฉ้อราษฎรบังหลวงก็คือ...
การประทุษร้าย เบียดบัง ส่วย สัตภัทยา และพระราชทรัพย์ มาเป็นของตนหรือผู้อื่น ข่มเหงราษฎร เก็บเอาข้าวของลูกเมีย ข้าคน มาเป็นประ โยชน์แก่ตน ปกปิดป้องกันผู้มีคดีและผู้รับไว้มิให้ส่งตุลาการดำเนินเป็นคดี
เป็นต้น
มีบทลงโทษดังนี้....
“ฟันคอ ริบเรือน ริบราชบาท เอาลูกเมียข้าคนเป็นราชบาท ยึดทรัพย์ สินสิ่งของเข้าพระคลัง ตัดมือ ตัดเท้า จองจำใส่ตรุ โดยยถากรรม เฆี่ยนด้วยลวดหนัง หรือไม้หวาย ตัดปากแหวะปากเอามะพร้าวห้าวยัดปาก ใส่ตระกร้อให้ช้างเตะ”
สะท้อนว่ายุคนั้นก็มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้ง ๆ ที่กฎศีลธรรมที่ในยุคนั้นถือว่าเข้มแข็งมาก ก็ยัง ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตฉ้อโกงเบียดบังของหลวงได้ 100 %
ช่วงการปกครองแบบเผด็จการทหารหลังการเปลี่ยนแปลงแปลงการปกครอง ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมาสู่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นยุคที่มีสีสันมาก และมีกรณีตัวอย่างมากมายเพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์เรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทย
แม้ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จะมีผลงานเด่น ๆ ออกมามากมาย เช่น การออกกฎหมายเลิกเสพและจำหน่ายฝิ่นโดยเด็ดขาด กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล สั่งประหารชีวิตผู้ต้องหาลอบวางเพลิง กฎหมายปรามการค้าประเวณี และเริ่มมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ฯลฯ คนดีของสังคมอย่างดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ก็ยังทำงานให้กับระบอบนั้น
แต่ดูเหมือนว่าคนยุคหลังแทบจะจำผลงานเด่น ๆ ดี ๆ ไม่ได้เลย
เพราะถูกภาพ “คอร์รัปชัน” และ “เผด็จการ” กลบเสียหมด !
จำได้ไหมครับว่าเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถึงแก่อสัญกรรมในปี 2506 จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้สืบอำนาจเผด็จการคนต่อมา ยึดทรัพย์ด้วยมาตรา 17 ฐานโกงชาติโกงแผ่นดิน
ยึดทรัพย์เข้าหลวงได้ถึง 3,000 ล้านบาทในสมัยนั้น !