xs
xsm
sm
md
lg

มองภาพการเลือกตั้ง 2550

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

หลังจากที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จากการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่าประชาราษฎรมีสิทธิที่จะเลือกตัวแทนของตัวเองไปทำหน้าที่บริหารประเทศ และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองตามนัยระบบมีเสียงข้างมากที่ได้มาจากการเลือกตั้งขึ้น

แต่กฎกติกาที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมาย และวิธีปฏิบัติทางการเมืองสูงสุดในทุกระบอบเพื่อเป็นกลไกควบคุมให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนตามที่ทุกคนในชาติต้องการ โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของปวงชนที่จะเลือก และกำกับผู้แทนของตัวเองให้เข้าไปในสภาผู้แทนราษฎร และทำหน้าที่เลือกกลไกในการให้อำนาจบริหารประเทศ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการซึ่งเรียกว่าอำนาจอธิปไตย

แต่ในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ก็จะมีกลไกเพิ่มขึ้นตามธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละประเทศ เช่น อังกฤษ ก็มีวิธีปฏิบัติมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนรัฐธรรมนูญมีลักษณะไม่ได้มีการเขียนไว้แต่ได้รวบรวมมาตั้งแต่ก่อนแมกนา คาร์ตา(Magna Carta)และกฎบัตรนี้เป็นเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญยิ่งของอังกฤษมาตั้งแต่ ค.ศ. 1215 หรือ 892 ปีมาแล้ว ซึ่งอังกฤษถือว่าเป็นกฎหมายมหาชนจนทุกวันนี้เรียกว่ามหากฎบัตรใหญ่ (Great Charter) อันเป็นกฎหมายจารีตที่หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯและประเทศไทยเองที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากกฎหมายนี้

เนื้อหาสำคัญของแมกนาคาร์ตา คือสิทธิในการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของเสรีชน ทุกคนไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในชนชั้นหรือฐานะทางสังคมหรือวรรณะใดก็ตาม โดยพลเมืองจะต้องไม่ถูกกดขี่ พ่อค้าและชาวนาไม่จำเป็นต้องมอบสินค้าบางส่วนหรือผลผลิตทางการเกษตรให้กับขุนนางหรือพระเจ้าแผ่นดินเพื่อเป็นค่าคุ้มครอง และพระเจ้าแผ่นดินจะเรียกเก็บภาษีตามพระราชหฤทัยโดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภาบริหารราชการแผ่นดิน (The Great Council of The Nation) ก่อนไม่ได้

ดังนั้นกฎหมายนี้เองมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงใช้อำนาจเรียกเก็บภาษีเพื่อเข้าท้องพระคลังมากเกินควรและสภาผู้แทนราษฎรปฏิเสธไม่ยอมผ่านกฎหมายงบประมาณแผ่นดินจึงเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างรัฐสภากับกษัตริย์นำสู่สงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1642-1649 และฝ่ายรัฐสภาชนะจึงเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยรัฐสภาที่มี โอลิเวอร์ ครอมเวล (Oliver Cromwel)เป็นประธานปกครองสูงสุดเพราะเป็นแม่ทัพด้วย แต่อังกฤษกลับคืนเป็นระบบกษัตริย์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1660 เมื่อจอร์จ มองค์ นำทัพกองทัพราชภักดี (Loyalist) ชนะตระกูลครอมเวล (Cromwel)และกองทัพรัฐสภา

เหตุที่พระเจ้าชาร์ลส์ (King Charles 1) ต้องพ่ายแพ้และต่อมาทรงถูกตัดสินประหารชีวิตก็เพราะพระองค์ฝืนกฎหมายงบประมาณ ขณะที่ฝ่ายรัฐสภาของครอมเวลต้องพ่ายแพ้และล้มสลายไม่สามารถดำรงสภาพสาธารณรัฐได้ เพราะทุกคนในรัฐสภาที่ร่วมกับครอมเวลปกครองประเทศอังกฤษด้วยการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร

จึงมองเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีระบอบกษัตริย์เป็นประมุขของอังกฤษนั้น ขึ้นอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญและความซื่อตรงของคนที่อยู่ในระบอบรัฐสภา จึงจรรโลงประเทศอังกฤษไว้ได้ทุกสถานการณ์แม้กระทั่งสงครามโลกทั้งสองครั้ง

คนในระบอบรัฐสภาประกอบด้วยคนเลือก และคนถูกเลือกจึงจะทำให้รัฐสภามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประเทศอังกฤษเป็นประเทศหนึ่งที่มีรัฐสภาเก่าแก่ที่สุด แต่ไม่เคยมีการรัฐประหารยกเว้นในปี ค.ศ. 1642 อันเป็นความเจ็บปวดของคนอังกฤษเอง แต่ก็เป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าแก่การศึกษาทำให้การเล่นการเมืองในอังกฤษมีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่มีความสมดุลของเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อยอย่างจริงจัง เช่น กรณีนายโทนี่ แบลร์ ยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากบริหารแผ่นดินผิดพลาด กรณีเข้าร่วมสงครามอิรักกับสหรัฐฯ ทำให้คะแนนนิยมตกต่ำตั้งแต่ 2005 เป็นต้นมา

และเมื่อนายกอร์ดอน บราวน์ (Gordon Brown) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายโทนี่แบลร์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2007 ก็เปลี่ยนนโยบายสงครามอิรักทันทีทำให้พรรคกรรมกรยังครองอำนาจบริหารอยู่ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่คลาสสิกของอังกฤษ และนายกอร์ดอน บราวน์ ได้สั่งถอนทหารอังกฤษออกจากอิรักอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมทำให้แรงต่อต้านรัฐบาล และพรรคกรรมกรยุติลงซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งผู้เลือก และผู้รับเลือกจากประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภาเคารพเสียงของประชาชนโดยรวม มิใช่จะไม่ฟังเสียงส่วนน้อยของสมาชิกพรรคอนุรักษนิยม พรรคเสรีนิยมและประชาชนทั่วไป

ส่วนประเทศไทยมีการเลือกตั้งมาแล้วทั้งหมด 24 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งในประวัติการเลือกตั้งที่เป็นแผลการเมืองในประเทศไทยคงเป็นครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ซึ่งในประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก และนำสู่การรัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และทำให้รูปโฉมการเมืองไทยเปลี่ยนไปสู่ลักษณะเผด็จการเต็มตัวเพราะมีตัวแปรมากมายทั้งภัยภายในและภายนอก อันเป็นเหตุสู่การปฏิวัติ กบฏหลายครั้งและเกิดการปฏิรูปการเมือง โดยนิสิต นักศึกษา และประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่มีความรุนแรงระหว่างประชาชนกับรัฐบาลทหาร

และครั้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในประเทศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งเกิดความอดสูในระบอบประชาธิปไตยของไทยเพราะมีการใช้เล่ห์ทางการเมืองและเงินสร้างนอมินีการเมืองและถูกพิพากษาว่าผิดกฎหมาย จริยธรรมและคุณธรรมสาเหตุหลักที่เป็นประเด็นสำคัญเกิดมหาวิกฤติได้แก่การเลือกตั้งครั้งที่ 23 เมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2544 ทำให้อดีตพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแล้วกว้านซื้อสมาชิกรัฐสภาในพรรคอื่นๆ ได้รวมเป็นพรรคไทยรักไทย จึงจะทำอะไรก็ได้เพราะอำนาจสร้างกฎหมายอยู่ในมือ

ส่วนการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 อดีตพรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่งในรัฐสภา 374 ที่นั่ง จึงเกิดสภาพเผด็จการทางรัฐสภาโดยไม่ต้องซื้อสมาชิกจากพรรคอื่นทันที และนำสู่การขยายอำนาจรัฐของพรรคไทยรักไทยผ่านรัฐสภาหลากหลายกรณีทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 หมดความศักดิ์สิทธิ์ และในที่สุดก็เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การเลือกตั้ง 2550 จะเป็นครั้งที่ 24 และจะเป็นครั้งที่สำคัญยิ่งอีกครั้งหลังประวัติศาสตร์ไทย เพราะตัวละครในบทบาทนักการเมืองยังเป็นดาราเดิมๆ ที่มีประสบการณ์สีเทา (Gray) เกือบทั้งสิ้น ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งหรือทั้งทางตรงหรือก็ทางอ้อมเชิงลบทั้งนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่หากกฎหมายและผู้รักษากฎหมายเข้มแข็งการคอร์รัปชันทุจริตหรือบริหารขาดประสิทธิภาพก็จะหมดไป

ประเด็นหนึ่งในรายการของคุณวีระ สมความคิด ใน TTV 2 เมื่อวันพุธที่ 14 ที่ผ่านมานี้ ได้หยิบยกเรื่องหากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลได้จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคนที่ถูกศาลตัดสินว่าผิด หรือล้มขบวนยุติธรรมที่กำลังสอบสวนหาความผิดกับสมาชิกคณะรัฐมนตรีชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประเด็นนี้เองก็เป็นเรื่องน่าคิดเพราะความสมานฉันท์จะหายไปจากเวทีการเมืองไทยทันที

อดีตของการเมืองไทยส่วนใหญ่จะวกวนอยู่กับการช่วยเหลือพรรคพวก เป็นการแลกเปลี่ยน หรือเป็นการใช้หนี้นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันตามที่ว่านักการเมืองไทยไม่มีมิตรและศัตรูถาวรนั้นจริงเพราะมีสภาพ Hybrid แต่ยังไม่เคยเห็นนักการเมืองไทยที่ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ของตัวเองและของชาติ เพราะยังไม่เห็นมีพรรคไหนที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ยืนยงอยู่บนอุดมการณ์ชาติ แต่จะมองผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่

แต่อย่างไรก็ดี พรรคการเมืองที่มีวัฒนธรรมองค์กรในวันนี้ย่อมมีคุณค่าดีกว่าพรรคการเมืองใหม่ๆ แต่นักการเมืองเดิมๆที่อยู่ในกระแสวิกฤติทุจริตของรัฐบาลที่แล้วเกือบทั้งสิ้น เมื่อเป็นพรรคการเมืองใหม่ต้องถามว่า พรรคนี้มีอุดมการณ์ที่เป็นจริงหรือไม่เพราะพรรคที่มีวัฒนธรรมองค์กรเหนียวแน่นสมาชิกพรรคสามารถใช้ยึดเหนี่ยวได้ เพราะพรรคที่มีวัฒนธรรมการเมืองย่อมรู้ว่า หากบริหารขาดประสิทธิภาพหรือโกงกินบ้านเมืองแล้วอะไรจะเกิดขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น