ระบบอุปถัมภ์ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า The patron-client system เป็นระบบที่อยู่ในสังคมจารีตนิยม ซึ่งได้แก่ ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฯลฯ ระบบอุปถัมภ์เกิดจากความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ในแง่ทรัพย์ศฤงคาร สถานะ และอำนาจ (wealth, status and power) แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งได้แก่ จิตใจ ศีลธรรมและจริยธรรม ผู้อุปถัมภ์ (patron) จะเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะเอื้ออำนวยประโยชน์ได้ทั้งในอำนาจทางการเมือง ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สถานะทางสังคม และสำหรับบางกรณีผู้อุปถัมภ์คือบุคคลเป็นที่เคารพนับถือในคุณความดี สามารถให้ความรู้สึกที่ดีกับผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ มีลักษณะคล้ายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ส่วนผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์คือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต้องอาศัยผู้อุปถัมภ์เพื่อผลประโยชน์ดังกล่าว รวมทั้งส่วนที่เป็นบวกในทางจิตใจ เป็นทั้งที่พึ่งในทางวัตถุและในทางจิตใจ ในกรณีของสังคมไทยนั้นผู้อุปถัมภ์จะต้องมีบารมี ซึ่งความหมายได้แก่ การเป็นที่ยอมรับว่ามีลักษณะเป็นผู้นำ สามารถอุปถัมภ์ผู้ตามได้ ขณะเดียวกันผู้ตามก็หวังพึ่งผู้อุปถัมภ์ทั้งผลประโยชน์ต่างๆ ดังกล่าวมารวมทั้งกรณีทางจิตใจด้วย
ระบบอุปถัมภ์ที่ส่งผลโดยตรงในสังคมไทยในอดีตคือระบบการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากสังคมในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นเป็นสังคมเกษตร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษได้ ระบบที่จะให้ความสมบูรณ์พูนสุขดีที่สุดคือระบบราชการ ผู้ที่รับราชการเป็นขุนนางย่อมจะมีทั้งอำนาจ ทรัพย์ศฤงคาร สถานะทางสังคม และบ่อยครั้งก็จะเป็นกลุ่มชนชั้นนำทางสังคม (social elite) ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการพูดจา แต่งเนื้อแต่งตัว หรือกล่าวง่ายๆ คือแบบอย่างในการดำรงชีวิตให้กับผู้อื่นในทางสังคม ชัย เรืองศิลป์ เคยเขียนว่า คนไทยเชื้อสายจีนในสำเพ็งเมื่อออกมาข้างนอกจะมีบ่าวไพร่ตามเป็นแถว มีคนถือกระโถนน้ำหมากและเครื่องใช้อื่นๆ ในลักษณะของบริวารผู้ติดตามซึ่งเป็นการเลียนแบบเจ้านายในสมัยนั้น แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปแบบอย่างการดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น โฆษณาในทีวีปัจจุบันจะเป็นเรื่องของนักธุรกิจระดับชาติ จึงเป็นแบบอย่างทั้งในแง่การแต่งตัว การใช้ชีวิตเช่นการดื่มไวน์ เป็นต้น
เนื่องจากอาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่สำคัญในสมัยก่อน จึงมีคำกล่าวที่ว่า “สิบพ่อค้า ก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” แปลว่า พ่อค้าวานิช 10 คนเทียบไม่ได้กับคนที่พระมหากษัตริย์ทรงชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางหนึ่งคน โลกทัศน์ วิธีคิด การดำรงชีวิต บุญวาสนา ลาภยศสรรเสริญ จึงขึ้นอยู่กับระบบราชการซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น ถ้าระบบอุปถัมภ์มีจุดบกพร่องก็อาจนำไปสู่ความเสียหายได้ ในขณะเดียวกันผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ในระบบราชการก็มีความคิด ปรัชญา การปฏิบัติที่สอดคล้องกับระบบ เมื่อใดที่ผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญวาสนาผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ก็จะหมดอำนาจวาสนาไปด้วย ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบอุปถัมภ์
ตัวอย่างของระบบอุปถัมภ์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายนั้น ได้มีการตักเตือนโดยพระบวรราชนิพนธ์เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า ความตอนหนึ่งว่า “.....จะตั้งแต่งเสนาธิบดี ไม่ควรอย่าให้อรรคฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงษ์กระษัตรา เสียยศเสียศักดินัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงษา เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร สารพัดจะเสียสิ้นสุด ทั้งการยุทธก็ไม่เตรียมฝึกสอน จึงไม่รู้กู้แก้พระนคร เหมือนหนอนเบียนให้ประจำกรรม.....”
จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการแต่งตั้งคนผิดมาดำรงตำแหน่งอาจจะนำไปสู่ความเสียหายได้ ขณะเดียวกันภายใต้ระบบดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งเนื่องจากลูกน้องที่ประจบสอพลอทั้งสองฝ่ายเกิดเขม่นกันเอง เช่น กรณีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างวังหลวงและวังหน้าคณะโขนของทั้งสองวังยกพวกตีกัน นอกจากนั้นยังมีการขัดแย้งในเรื่องการแข่งเรือระหว่างสองวัง จนสุดท้ายก็เอาปืนใหญ่หันหน้าเข้าหากัน เดชะบุญที่ไม่เกิดความขัดแย้งจนถึงกับเป็นสงครามกลางเมือง
นอกเหนือจากนี้บ่อยครั้งผู้ซึ่งต้องการจะก้าวลงจากตำแหน่งจะถูกลูกน้องดึงไว้โดยอ้างว่า บ้านเมืองจะเสียหาย ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับนาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจวาสนาของตนเองขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์ จึงพยายามที่จะให้อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ผลสุดท้ายนายก็ตกที่นั่งลำบาก
ในส่วนของการรับราชการภายใต้ระบบอุปถัมภ์นั้น เห็นได้ชัดจากคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดัน คนเสมอกันสนับสนุน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบอุปถัมภ์ ในส่วนคนเสมอกันสนับสนุนนั้นอาจไม่ใช่ทุกกรณี เพราะส่วนใหญ่คนเสมอกันจะเป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งหรือที่เรียกว่าเลื่อยขาเก้าอี้ ในแง่ของนโยบายปฏิบัติมีการกล่าวซึ่งเป็นคำกลอนว่า “ลินเตีย สินมาก ปากสอพลอ ล่อไข่แดง แกร่งวิชา บ้าการเมือง” ระบบราชการยังนำไปสู่วัฒนธรรมแบบประจบสอพลอ เสแสร้งในการแสดงความซื่อสัตย์ และจงรักภักดี จนไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด เช่น มีคำกล่าวว่า “ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน”
หลังจากนั้นระบบราชการภายใต้ระบบอุปถัมภ์ดำเนินมาด้วยดีในระดับหนึ่งจนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการเลือกตั้งมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหาร ทำให้ทุกสิ่งแห่งการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งยากยิ่งขึ้นเพราะต้องใช้กลเม็ดภายในระบบราชการเอง พร้อมๆ กับเกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองซึ่งมาจากนักการเมือง อันจะเห็นได้จากส่วนสุดท้ายที่ผูกกับคำกลอน “บ้าการเมือง”
เมื่อบุญวาสนาของผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ขึ้นอยู่กับความอุปถัมภ์ของผู้อุปถัมภ์ เมื่อผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญลงตัวเองก็พลอยสิ้นบุญวาสนาไปด้วย ซึ่งในส่วนนี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีที่หนึ่งคือ การที่ผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญวาสนา ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ก็ตกระกำลำบาก กรณีที่สอง ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ถูกทำลายล้างจนสิ้นหรือตีจาก ทำให้ผู้อุปถัมภ์หมดการสนับสนุนก็จะสิ้นบุญวาสนาไปด้วย อันจะเห็นได้จากสิ่งที่สุนทรภู่ได้กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทอง ความว่า
“เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ”
ในกรณีที่ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ถูกทำลายล้างจนผู้อุปถัมภ์หมดผู้สนับสนุน ก็เห็นได้จากกรณีของรามเกียรติ์ที่มีการกล่าวถึงอยู่หลายตอนว่า “ทั้งหมู่ม้ารถคชพล จะเหลือแต่สักตนก็หาไม่” หรือ “สิ้นหมู่ม้ารถคชพล เสนาสามนต์อกนิษฐ์”
ในกรณีของรามเกียรติ์นั้นได้มีการกล่าวล้อกันในหมู่ข้าราชการที่เกษียณอายุ ในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเกษียณอายุก็จะมีการกล่าวพร้อมกันว่า “ทั้งหมู่ม้ารถคชพล จะเหลือแต่สักตนก็หาไม่”
ในกรณีของผู้อุปถัมภ์หรือผู้ที่มีบุญวาสนาในสังคม อันประกอบด้วย อำนาจ ทรัพย์ศฤงคาร และสถานะทางสังคมนั้น ในขณะที่สังคมกำลังเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง อาจจะโหยหาผู้มีบารมีในมิติที่สี่คือผู้มีศีลธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ เสมือนหนึ่งคนกำลังจมน้ำที่พยายามคว้าขอนไม้ ใบหญ้า หรืออะไรก็ตามที่ลอยน้ำมา ถ้าหาตัวบุคคลที่เป็นมนุษย์ไม่ได้ก็จะวิ่งไปหาสิ่งที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นสะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่ต้องโหยหาผู้อุปถัมภ์เพื่อการอยู่รอดในการดำรงชีวิต และการรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณ เพื่อจะได้มีความหวังและมีที่พึ่ง
ระบบอุปถัมภ์ที่ส่งผลโดยตรงในสังคมไทยในอดีตคือระบบการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากสังคมในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นเป็นสังคมเกษตร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษได้ ระบบที่จะให้ความสมบูรณ์พูนสุขดีที่สุดคือระบบราชการ ผู้ที่รับราชการเป็นขุนนางย่อมจะมีทั้งอำนาจ ทรัพย์ศฤงคาร สถานะทางสังคม และบ่อยครั้งก็จะเป็นกลุ่มชนชั้นนำทางสังคม (social elite) ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการพูดจา แต่งเนื้อแต่งตัว หรือกล่าวง่ายๆ คือแบบอย่างในการดำรงชีวิตให้กับผู้อื่นในทางสังคม ชัย เรืองศิลป์ เคยเขียนว่า คนไทยเชื้อสายจีนในสำเพ็งเมื่อออกมาข้างนอกจะมีบ่าวไพร่ตามเป็นแถว มีคนถือกระโถนน้ำหมากและเครื่องใช้อื่นๆ ในลักษณะของบริวารผู้ติดตามซึ่งเป็นการเลียนแบบเจ้านายในสมัยนั้น แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปแบบอย่างการดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น โฆษณาในทีวีปัจจุบันจะเป็นเรื่องของนักธุรกิจระดับชาติ จึงเป็นแบบอย่างทั้งในแง่การแต่งตัว การใช้ชีวิตเช่นการดื่มไวน์ เป็นต้น
เนื่องจากอาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่สำคัญในสมัยก่อน จึงมีคำกล่าวที่ว่า “สิบพ่อค้า ก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” แปลว่า พ่อค้าวานิช 10 คนเทียบไม่ได้กับคนที่พระมหากษัตริย์ทรงชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางหนึ่งคน โลกทัศน์ วิธีคิด การดำรงชีวิต บุญวาสนา ลาภยศสรรเสริญ จึงขึ้นอยู่กับระบบราชการซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น ถ้าระบบอุปถัมภ์มีจุดบกพร่องก็อาจนำไปสู่ความเสียหายได้ ในขณะเดียวกันผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ในระบบราชการก็มีความคิด ปรัชญา การปฏิบัติที่สอดคล้องกับระบบ เมื่อใดที่ผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญวาสนาผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ก็จะหมดอำนาจวาสนาไปด้วย ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบอุปถัมภ์
ตัวอย่างของระบบอุปถัมภ์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายนั้น ได้มีการตักเตือนโดยพระบวรราชนิพนธ์เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า ความตอนหนึ่งว่า “.....จะตั้งแต่งเสนาธิบดี ไม่ควรอย่าให้อรรคฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงษ์กระษัตรา เสียยศเสียศักดินัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงษา เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร สารพัดจะเสียสิ้นสุด ทั้งการยุทธก็ไม่เตรียมฝึกสอน จึงไม่รู้กู้แก้พระนคร เหมือนหนอนเบียนให้ประจำกรรม.....”
จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการแต่งตั้งคนผิดมาดำรงตำแหน่งอาจจะนำไปสู่ความเสียหายได้ ขณะเดียวกันภายใต้ระบบดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งเนื่องจากลูกน้องที่ประจบสอพลอทั้งสองฝ่ายเกิดเขม่นกันเอง เช่น กรณีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างวังหลวงและวังหน้าคณะโขนของทั้งสองวังยกพวกตีกัน นอกจากนั้นยังมีการขัดแย้งในเรื่องการแข่งเรือระหว่างสองวัง จนสุดท้ายก็เอาปืนใหญ่หันหน้าเข้าหากัน เดชะบุญที่ไม่เกิดความขัดแย้งจนถึงกับเป็นสงครามกลางเมือง
นอกเหนือจากนี้บ่อยครั้งผู้ซึ่งต้องการจะก้าวลงจากตำแหน่งจะถูกลูกน้องดึงไว้โดยอ้างว่า บ้านเมืองจะเสียหาย ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับนาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจวาสนาของตนเองขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์ จึงพยายามที่จะให้อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ผลสุดท้ายนายก็ตกที่นั่งลำบาก
ในส่วนของการรับราชการภายใต้ระบบอุปถัมภ์นั้น เห็นได้ชัดจากคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดัน คนเสมอกันสนับสนุน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบอุปถัมภ์ ในส่วนคนเสมอกันสนับสนุนนั้นอาจไม่ใช่ทุกกรณี เพราะส่วนใหญ่คนเสมอกันจะเป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งหรือที่เรียกว่าเลื่อยขาเก้าอี้ ในแง่ของนโยบายปฏิบัติมีการกล่าวซึ่งเป็นคำกลอนว่า “ลินเตีย สินมาก ปากสอพลอ ล่อไข่แดง แกร่งวิชา บ้าการเมือง” ระบบราชการยังนำไปสู่วัฒนธรรมแบบประจบสอพลอ เสแสร้งในการแสดงความซื่อสัตย์ และจงรักภักดี จนไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด เช่น มีคำกล่าวว่า “ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน”
หลังจากนั้นระบบราชการภายใต้ระบบอุปถัมภ์ดำเนินมาด้วยดีในระดับหนึ่งจนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการเลือกตั้งมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหาร ทำให้ทุกสิ่งแห่งการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งยากยิ่งขึ้นเพราะต้องใช้กลเม็ดภายในระบบราชการเอง พร้อมๆ กับเกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองซึ่งมาจากนักการเมือง อันจะเห็นได้จากส่วนสุดท้ายที่ผูกกับคำกลอน “บ้าการเมือง”
เมื่อบุญวาสนาของผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ขึ้นอยู่กับความอุปถัมภ์ของผู้อุปถัมภ์ เมื่อผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญลงตัวเองก็พลอยสิ้นบุญวาสนาไปด้วย ซึ่งในส่วนนี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีที่หนึ่งคือ การที่ผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญวาสนา ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ก็ตกระกำลำบาก กรณีที่สอง ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ถูกทำลายล้างจนสิ้นหรือตีจาก ทำให้ผู้อุปถัมภ์หมดการสนับสนุนก็จะสิ้นบุญวาสนาไปด้วย อันจะเห็นได้จากสิ่งที่สุนทรภู่ได้กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทอง ความว่า
“เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ”
ในกรณีที่ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ถูกทำลายล้างจนผู้อุปถัมภ์หมดผู้สนับสนุน ก็เห็นได้จากกรณีของรามเกียรติ์ที่มีการกล่าวถึงอยู่หลายตอนว่า “ทั้งหมู่ม้ารถคชพล จะเหลือแต่สักตนก็หาไม่” หรือ “สิ้นหมู่ม้ารถคชพล เสนาสามนต์อกนิษฐ์”
ในกรณีของรามเกียรติ์นั้นได้มีการกล่าวล้อกันในหมู่ข้าราชการที่เกษียณอายุ ในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเกษียณอายุก็จะมีการกล่าวพร้อมกันว่า “ทั้งหมู่ม้ารถคชพล จะเหลือแต่สักตนก็หาไม่”
ในกรณีของผู้อุปถัมภ์หรือผู้ที่มีบุญวาสนาในสังคม อันประกอบด้วย อำนาจ ทรัพย์ศฤงคาร และสถานะทางสังคมนั้น ในขณะที่สังคมกำลังเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง อาจจะโหยหาผู้มีบารมีในมิติที่สี่คือผู้มีศีลธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ เสมือนหนึ่งคนกำลังจมน้ำที่พยายามคว้าขอนไม้ ใบหญ้า หรืออะไรก็ตามที่ลอยน้ำมา ถ้าหาตัวบุคคลที่เป็นมนุษย์ไม่ได้ก็จะวิ่งไปหาสิ่งที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นสะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่ต้องโหยหาผู้อุปถัมภ์เพื่อการอยู่รอดในการดำรงชีวิต และการรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณ เพื่อจะได้มีความหวังและมีที่พึ่ง