วันนี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวตรงกันว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. เห็นชอบในหลักการให้ยุบกรมการศาสนา และให้โอนกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไปรวมไว้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ซึ่งกรมการศาสนาได้ทักท้วงว่ากรมการศาสนาไม่ได้ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ดูแลกิจการศาสนาอื่น ๆ ด้วย การยุบกรมการศาสนาจึงอาจเกิดผลเสียหายแก่ศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งศาสนิกของศาสนานั้น ๆ ด้วย
เป็นข้อทักท้วงที่ฟังขึ้นและเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ จะปล่อยให้ ก.พ.ร. ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นเห็นทีจะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองเป็นมั่นคง
ความจริงอายุเวลาของรัฐบาลนี้ก็มีอยู่น้อยกว่าน้อยแล้ว ไม่ควรจะทำการใดที่มีลักษณะนโยบายต่อไปอีก และความจริงหัวหน้ารัฐบาลก็เคยพูดว่าจะไม่ทำเรื่องใหญ่ ๆ อีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม แต่ไฉนจึงกลับมาทำเรื่องเช่นนี้?
หรือว่านี่คือการวางยาทางการเมืองของผู้คนในรัฐบาลบางคน เพราะเรื่องนี้หากดำเนินต่อไปก็อาจไม่มีการเลือกตั้งและรัฐบาลก็อาจล้มครืนลงเมื่อใดก็ได้
เนื่องจากเรื่องของศาสนานั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทุกศาสนา จึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่และต้องถือว่าเป็นเรื่องนโยบายสำคัญด้วย เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าไปดูและยับยั้งการกระทำของ ก.พ.ร. โดยพลัน
ก.พ.ร. นี้มีคนนั่งหัวโต๊ะเป็นคนใหญ่คนโตและมีอำนาจคับบ้านคับเมือง คือคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ผู้ซึ่งถูก ป.ป.ช. และคตส. ตรวจสอบการดำเนินงานที่ผ่านมาอยู่หลายเรื่อง แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเรื่องไหนแผ้วพานได้เลยแม้แต่ขุมขนหนึ่ง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าแต่เดิมมานั้นการบริหารงานด้านศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกซ์ ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์
กรมการศาสนาเป็นผู้ดูแลส่งเสริมทำนุบำรุงทุกศาสนาในนามของรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ว่าประเทศไทยแม้จะมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาใด พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งอัครศาสนูปถัมภก ทรงทำนุบำรุงทุกศาสนาโดยเสมอหน้ากัน
มีการปฏิบัติกันเช่นนี้ต่อเนื่องมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์
ต่อมาก็มีพวกชาวพุทธจ๋ากลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏว่าบรรลุภูมิธรรมขั้นไหนในพระพุทธศาสนา มีบทบาทมากขึ้นในบ้านเมือง เหมือนกับเมื่อครั้งที่พวกเดียรถีย์มีบทบาทมากในสมัยพระเจ้าอโศกของอินเดีย แล้วก่อความสับสนวุ่นวาย มีผลเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา จนพระเจ้าอโศกต้องทำการปฏิรูปแล้วจับคนพวกนี้ไปฆ่าเสียกว่า 3,000 คน
พระพุทธศาสนาจึงสถิตสถาพรฟื้นฟูขึ้นในอินเดีย จนสามารถสืบสานและเผยแพร่ขยายตัวไปในภูมิภาคต่าง ๆ
ชาวพุทธจ๋าพวกนั้นเป็นนักเดินขบวนที่เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นตัวกันอยู่ ต้องการแยกกิจการพระพุทธศาสนาออกมาต่างหากจากศาสนาอื่น เป็นการแสดงความใจแคบ ไม่สมกับที่เป็นชาวพุทธ และไม่สอดคล้องใด ๆ กับคำสอนในพระพุทธศาสนาเลย
รัฐบาลในยุคหนึ่งก็บ้าตามคนพวกนี้ แยกเอากิจการของพระพุทธศาสนาออกมาจากกรมการศาสนา แล้วมาตั้งเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นอกจากนี้ก็ให้หน่วยงานนี้ทำหน้าที่สนองงานมหาเถรสมาคมอีกด้วย ทั้งๆ ที่มหาเถรสมาคมก็มีสำนักงานเลขานุการคอยสนองงานอยู่แล้ว
แต่คราวนั้นก็แยกกิจการพระพุทธศาสนาออกมาไม่หมด เพราะในเรื่องพิธีกรรมยังคงดำรงอยู่ที่กรมการศาสนาเหมือนเดิม เพราะไม่ต้องการให้เห็นว่ามีการทำนุบำรุงแต่ละศาสนาในลักษณะที่แตกต่างกัน
จึงยังมีงานด้านพิธีการและการส่งเสริมพระพุทธศาสนาอยู่ที่กรมการศาสนาเช่นเดียวกับศาสนาทั้งหลาย และกลายเป็นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ทำหน้าที่หลักในการเป็นลูกไม้ลูกมือหรือสนองงานมหาเถรสมาคมเป็นหลักเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีความพยายามที่จะโอนงานทั้งหมดในส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาออกมาจากกรมการศาสนา และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันนี้
โดยมิได้คำนึงถึงหลักการว่าประเทศไทยให้ความสำคัญและทำนุบำรุงทุกศาสนาอย่างเสมอหน้ากัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ตาม
แต่การที่ประเทศไทยมีคนนับถือศาสนาพุทธมากก็พอมีเหตุผลที่จะอ้างได้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลกิจการของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
แต่ทำไปทำมาไม่รู้เดินเรื่องกันอีท่าไหน การกลับกลายเป็นว่าจะมีการยุบกรมการศาสนาไปเสียเลย แล้วโอนงานส่วนของพระพุทธศาสนาทั้งหมดไปรวมไว้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สำหรับพระพุทธศาสนานั้นก็ไม่กระไรนัก เพราะความจริงจะเอางานทั้งหมดมารวมไว้ที่เดียวก็เป็นเรื่องดีที่จะทำให้การบริหารจัดการเป็นเอกภาพและเป็นประโยชน์มากขึ้น แต่สำหรับศาสนาอื่นเล่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่แยแสได้หรือ ?
จะเอาการทำนุบำรุงดูแลศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกซ์ ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ไปไว้ที่ไหน?
ยังดีอยู่หน่อยหนึ่งที่ ก.พ.ร. ก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าการเห็นชอบหลักการดังกล่าวจะเป็นไปโดยถูกต้อง จึงให้ทำการศึกษาเพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไรกันดี
ก็ต้องบอกว่ามันไม่มีอะไรดีทั้งนั้น! ควรจะต้องยึดถือหลักการเดิมนั่นแหละจะดีกว่า
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม และต้องคิดอ่านหาหนทางว่าจะทำกันอย่างไรจึงจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้ดีกว่านี้
อย่างน้อยคนที่จะเป็นสมเด็จพระราชาคณะนั้นพอจะอวดหรืออ้างให้ชาวพุทธได้ภูมิใจได้หรือไม่ว่าสามารถบรรลุภูมิธรรมในฌานขั้นใด ไม่ต้องพูดถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็ได้
ส่วนกรมการศาสนาก็ให้ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม และต้องคิดอ่านหาหนทางว่าจะทำการอย่างไรจึงจะให้ทุกศาสนามีบทบาทและเผยแผ่ลักธรรมคำสอนทำให้ ศาสนิกของตนเป็นคนดี มีความเสียสละแก่บ้านเมือง ไม่เห็นแก่ตัว
นี่แหละจึงเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า.
ซึ่งกรมการศาสนาได้ทักท้วงว่ากรมการศาสนาไม่ได้ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ดูแลกิจการศาสนาอื่น ๆ ด้วย การยุบกรมการศาสนาจึงอาจเกิดผลเสียหายแก่ศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งศาสนิกของศาสนานั้น ๆ ด้วย
เป็นข้อทักท้วงที่ฟังขึ้นและเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ จะปล่อยให้ ก.พ.ร. ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นเห็นทีจะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองเป็นมั่นคง
ความจริงอายุเวลาของรัฐบาลนี้ก็มีอยู่น้อยกว่าน้อยแล้ว ไม่ควรจะทำการใดที่มีลักษณะนโยบายต่อไปอีก และความจริงหัวหน้ารัฐบาลก็เคยพูดว่าจะไม่ทำเรื่องใหญ่ ๆ อีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม แต่ไฉนจึงกลับมาทำเรื่องเช่นนี้?
หรือว่านี่คือการวางยาทางการเมืองของผู้คนในรัฐบาลบางคน เพราะเรื่องนี้หากดำเนินต่อไปก็อาจไม่มีการเลือกตั้งและรัฐบาลก็อาจล้มครืนลงเมื่อใดก็ได้
เนื่องจากเรื่องของศาสนานั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทุกศาสนา จึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่และต้องถือว่าเป็นเรื่องนโยบายสำคัญด้วย เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าไปดูและยับยั้งการกระทำของ ก.พ.ร. โดยพลัน
ก.พ.ร. นี้มีคนนั่งหัวโต๊ะเป็นคนใหญ่คนโตและมีอำนาจคับบ้านคับเมือง คือคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ผู้ซึ่งถูก ป.ป.ช. และคตส. ตรวจสอบการดำเนินงานที่ผ่านมาอยู่หลายเรื่อง แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเรื่องไหนแผ้วพานได้เลยแม้แต่ขุมขนหนึ่ง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าแต่เดิมมานั้นการบริหารงานด้านศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกซ์ ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์
กรมการศาสนาเป็นผู้ดูแลส่งเสริมทำนุบำรุงทุกศาสนาในนามของรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ว่าประเทศไทยแม้จะมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาใด พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งอัครศาสนูปถัมภก ทรงทำนุบำรุงทุกศาสนาโดยเสมอหน้ากัน
มีการปฏิบัติกันเช่นนี้ต่อเนื่องมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์
ต่อมาก็มีพวกชาวพุทธจ๋ากลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏว่าบรรลุภูมิธรรมขั้นไหนในพระพุทธศาสนา มีบทบาทมากขึ้นในบ้านเมือง เหมือนกับเมื่อครั้งที่พวกเดียรถีย์มีบทบาทมากในสมัยพระเจ้าอโศกของอินเดีย แล้วก่อความสับสนวุ่นวาย มีผลเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา จนพระเจ้าอโศกต้องทำการปฏิรูปแล้วจับคนพวกนี้ไปฆ่าเสียกว่า 3,000 คน
พระพุทธศาสนาจึงสถิตสถาพรฟื้นฟูขึ้นในอินเดีย จนสามารถสืบสานและเผยแพร่ขยายตัวไปในภูมิภาคต่าง ๆ
ชาวพุทธจ๋าพวกนั้นเป็นนักเดินขบวนที่เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นตัวกันอยู่ ต้องการแยกกิจการพระพุทธศาสนาออกมาต่างหากจากศาสนาอื่น เป็นการแสดงความใจแคบ ไม่สมกับที่เป็นชาวพุทธ และไม่สอดคล้องใด ๆ กับคำสอนในพระพุทธศาสนาเลย
รัฐบาลในยุคหนึ่งก็บ้าตามคนพวกนี้ แยกเอากิจการของพระพุทธศาสนาออกมาจากกรมการศาสนา แล้วมาตั้งเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นอกจากนี้ก็ให้หน่วยงานนี้ทำหน้าที่สนองงานมหาเถรสมาคมอีกด้วย ทั้งๆ ที่มหาเถรสมาคมก็มีสำนักงานเลขานุการคอยสนองงานอยู่แล้ว
แต่คราวนั้นก็แยกกิจการพระพุทธศาสนาออกมาไม่หมด เพราะในเรื่องพิธีกรรมยังคงดำรงอยู่ที่กรมการศาสนาเหมือนเดิม เพราะไม่ต้องการให้เห็นว่ามีการทำนุบำรุงแต่ละศาสนาในลักษณะที่แตกต่างกัน
จึงยังมีงานด้านพิธีการและการส่งเสริมพระพุทธศาสนาอยู่ที่กรมการศาสนาเช่นเดียวกับศาสนาทั้งหลาย และกลายเป็นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ทำหน้าที่หลักในการเป็นลูกไม้ลูกมือหรือสนองงานมหาเถรสมาคมเป็นหลักเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีความพยายามที่จะโอนงานทั้งหมดในส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาออกมาจากกรมการศาสนา และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันนี้
โดยมิได้คำนึงถึงหลักการว่าประเทศไทยให้ความสำคัญและทำนุบำรุงทุกศาสนาอย่างเสมอหน้ากัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ตาม
แต่การที่ประเทศไทยมีคนนับถือศาสนาพุทธมากก็พอมีเหตุผลที่จะอ้างได้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลกิจการของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
แต่ทำไปทำมาไม่รู้เดินเรื่องกันอีท่าไหน การกลับกลายเป็นว่าจะมีการยุบกรมการศาสนาไปเสียเลย แล้วโอนงานส่วนของพระพุทธศาสนาทั้งหมดไปรวมไว้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สำหรับพระพุทธศาสนานั้นก็ไม่กระไรนัก เพราะความจริงจะเอางานทั้งหมดมารวมไว้ที่เดียวก็เป็นเรื่องดีที่จะทำให้การบริหารจัดการเป็นเอกภาพและเป็นประโยชน์มากขึ้น แต่สำหรับศาสนาอื่นเล่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่แยแสได้หรือ ?
จะเอาการทำนุบำรุงดูแลศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกซ์ ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ไปไว้ที่ไหน?
ยังดีอยู่หน่อยหนึ่งที่ ก.พ.ร. ก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าการเห็นชอบหลักการดังกล่าวจะเป็นไปโดยถูกต้อง จึงให้ทำการศึกษาเพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไรกันดี
ก็ต้องบอกว่ามันไม่มีอะไรดีทั้งนั้น! ควรจะต้องยึดถือหลักการเดิมนั่นแหละจะดีกว่า
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม และต้องคิดอ่านหาหนทางว่าจะทำกันอย่างไรจึงจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้ดีกว่านี้
อย่างน้อยคนที่จะเป็นสมเด็จพระราชาคณะนั้นพอจะอวดหรืออ้างให้ชาวพุทธได้ภูมิใจได้หรือไม่ว่าสามารถบรรลุภูมิธรรมในฌานขั้นใด ไม่ต้องพูดถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็ได้
ส่วนกรมการศาสนาก็ให้ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม และต้องคิดอ่านหาหนทางว่าจะทำการอย่างไรจึงจะให้ทุกศาสนามีบทบาทและเผยแผ่ลักธรรมคำสอนทำให้ ศาสนิกของตนเป็นคนดี มีความเสียสละแก่บ้านเมือง ไม่เห็นแก่ตัว
นี่แหละจึงเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า.