xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 62 บุพเพสันนิวาส (ตอน 2-จบ)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

.
เมื่ออานุภาพแห่งความเพียรอันประกอบด้วยองค์แห่งอิทธิบาทสี่แล้ว พลังรุกก็ล้นเหลือ พลังรับก็ย่อมอ่อนตัวลงด้วยอำนาจแห่งอิทธิบาทนั้น ดังนั้นวันเวลายิ่งผ่านไป สาวเจ้าก็อ่อนท่าทีลง จากที่ไม่ยอมพูดยอมจาก็ค่อยๆ พูดจา แต่ยังคงจำกัดวงอยู่แค่การพูดจาเท่านั้น

ผมเป็นนักเขียนมาแต่อ้อนแต่ออก และมีความสนใจในอักษรกลอนกานต์มาแต่น้อย และการใช้อักษรกลอนกวีนั้นย่อมไม่มีวันเวลาไหนดีเท่ากับวันเวลาที่มีอารมณ์รักหรืออารมณ์โศกหรือผิดหวังพลั้งพลาด เพราะอารมณ์เหล่านี้มีพลังและให้ความรู้สึกที่สามารถสะท้อนเป็นบทกลอนได้อย่างลึกซึ้ง

จึงไม่น่าแปลกใจอันใดที่คนแต่โบราณเขามักจะสื่อสารความรักกันด้วยเพลงยาวหรือเพลงเรือ หรือเพลงพื้นบ้านอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์รัก ยกเว้นก็แต่บางส่วนที่สะท้อนอารมณ์รักถิ่นฐานบ้านเกิดและวัฒนธรรมประเพณี จึงทำให้มีบทกวีเหล่านี้เกิดขึ้นในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก

เมื่อสาวเจ้าไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ผมจึงรักที่จะใช้การสื่อสารด้วยจดหมายรักแทน และได้หาช่องทางทั้งจากเพื่อนนักศึกษาพยาบาล แม้กระทั่งจากน้องชายของสาวเจ้าเองเป็นผู้เดินสารรักให้

โดยหารู้ไม่ว่าสารรักแต่ละฉบับนั้นสาวเจ้าเอาไปอ่านกันในหมู่เพื่อนจนเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงเป็นอันมาก และได้ทราบความในภายหลังว่าในบรรดานักเรียนพยาบาลนั้น ใครได้รับจดหมายรักจากคนรักก็จะเอามาอ่านอวดประชันกัน

ในหมู่เพื่อน ๆ ย่อมไม่มีใครรู้จิตใจใครว่าใครรักใครชอบใจใคร แต่เมื่อเป็นการเอาจดหมายรักมาอ่านประชันกันแล้ว ผมก็เชื่อว่าสารรักของผมนั้นไพเราะเสนาะหูไม่แพ้สารรักของใครเป็นแน่

ดังนั้นหากการนำเอาสารรักไปอ่านกันในหมู่เพื่อนโดยหวังประจานหรือเพื่อความสนุกสนานก็ตามที กลับเกิดภาษีแก่ผม เพราะคนเรานั้นย่อมมีอุปนิสัยที่รักชัยชนะ เหมือนกับเจ้าของบ่อนวัวชนหรือไก่ชน เลี้ยงไก่ชนหรือวัวชนแล้วก็หมายให้วัวชนหรือไก่ชนของตนได้รับชัยชนะ ถึงจะไม่รักชอบพอแต่ก็มีน้ำใจเชียร์เป็นพื้นฐาน

หรือถ้าหากเป็นการนำไปอ่านอวดกันโดยมีการตัดสินใจลึกๆที่จะผูกพันกันเป็นคนรัก ก็สะท้อนให้เห็นว่าอำนาจแห่งความเพียรนั้นได้ทำให้เกิดความหวั่นไหวและน้อมใจให้ก่อความรักขึ้นได้แล้ว

แต่ถึงวันนี้ผมก็ไม่เคยรู้ว่าการนำสารรักไปอ่านกันในหมู่เพื่อนนั้นเกิดขึ้นแต่ความรู้สึกนึกคิดประการใดของสาวเจ้าเลย และก็ไม่เคยอยากจะไต่ถามในเรื่องนี้เพราะเรื่องราวในโลกนี้บางทีไม่รู้เสียบ้างยังดีกว่าที่จะรับรู้ไปเสียทุกเรื่อง

ความพยายามของผมแรงกล้าถึงขนาด จึงทำให้ความองอาจกล้าหาญเกิดขึ้น และความองอาจกล้าหาญลักษณะนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นความหน้าด้านก็ได้ เพราะสามารถทำการได้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด

เทศกาลสงกรานต์ปีถัดมา สาวเจ้าเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ผมทราบความก็นั่งรถไฟตามไป ไปลงที่สถานีรถไฟบางมูลนากในเวลาประมาณตีสาม ได้ว่าจ้างรถสามล้อถีบคันหนึ่งให้ไปส่งที่ “โรงแรมวาเหมี่ยน” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะรู้จักแต่ชื่อเท่านั้น โดยตกลงจ่ายค่าจ้างให้กับคนถีบสามล้อเป็นเงิน 20 บาท

คนถีบสามล้อก็ดีใจหาย ยอมรับค่าจ้างโดยไม่ขอต่อรองเลยแม้แต่คำเดียว การที่เป็นทั้งนี้ก็เพราะว่าคนถีบสามล้อรู้ดีว่าโรงแรมวาเหมี่ยนที่ว่านั้นอยู่ห่างจากสถานีรถไฟบางมูลนากเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น

ผมไปถึงก็เคาะประตูเรียกเพราะถือเสียว่าเป็นโรงแรม ย่อมมีแขกมาหาที่พักได้ทุกเวลา ไหน ๆ มาแล้วก็ทำตัวเป็นแขก แต่พอผู้คนที่บ้านของสาวเจ้ารู้ว่าเป็นผมมาเท่านั้นก็ปลุกกันทั้งบ้าน จนสาวเจ้าเองก็ต้องถูกปลุกออกมาต้อนรับตามประเพณีถิ่นที่แขกมาถึงเรือนชานแล้วต้องต้อนรับขับสู้

ยามนั้นสาวเจ้าจะมีน้ำใจรักหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่สถานการณ์ก็บังคับให้เป็นไป คือต้องจำใจต้อนรับแขกผู้มาเยือนในฐานะเจ้าบ้าน พาไปเที่ยวนั่นชมนี่ โดยเฉพาะคืองานบุญสงกรานต์ และการไปไหว้พระสำคัญประจำถิ่นคือหลวงปู่เขียน

เวลาเพียง 2-3 วันแห่งเทศกาลสงกรานต์นั้น ทำให้เรารู้จักใกล้ชิดกันจริง ๆ จังๆ เป็นครั้งแรก ทำให้ความเมินเฉยเหินห่างที่เป็นมาแต่ก่อนหายไป ในขณะที่ผมก็รู้สถานการณ์ดีว่าปานนี้แล้วสาวเจ้าก็ยังมิได้มีความรักผูกพันแต่ประการใด

รักเขาข้างเดียวก็จะเป็นไรไป นี่เป็นเพราะผมมีความมั่นใจในวิชาความรู้ตัวว่าสาวเจ้าผู้นี้แหละคือคู่ชีวิตเป็นแท้แล้ว ดังนั้นแม้สาวเจ้าจะวางตัวเหินห่างรักษาระยะข้างระยะเคียงอย่างไรผมก็มิได้ใส่ใจแต่ประการใด

กลับจากบางมูลนากครั้งนั้นแล้วผมได้แต่งนิราศขึ้นเรื่องหนึ่ง โดยแต่งในขณะที่นั่งรถไฟนั่นแหละ เก็บเอาอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่ขณะที่นายสถานีบางมูลนากลั่นระฆังเป็นสัญญาณให้รถออกจากสถานี โดยที่สาวเจ้าและครอบครัวมาส่งผมที่สถานีรถไฟนั้น

นิราศบางมูลนากที่แต่งขึ้นในคราวนั้น ขึ้นด้วยบทที่ว่า

“เสียงกระดิ่งเป๊ง เป๊ง เร่งการจากให้พี่พรากจากนุชสุดที่หวัง
บางมูลนากบางนี้มีพลัง…………………………”


นับเป็นนิราศเรื่องแรกที่มีขนาดยาวเรื่องหนึ่งที่ผมได้แต่งขึ้นด้วยอารมณ์รักอย่างลึกซึ้งในขณะนั้น

โบราณว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นนั้นไม่ผิดเลย เพราะในปีที่สามแห่งการเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของผม ผลของความพยายามก็ปรากฏดอกผลให้เห็นอย่างชัดเจน

วันเกิดของผมในปีนั้นเป็นปีที่ผมได้รับของขวัญวันเกิดเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะธรรมเนียมประเพณีคนบ้านผมนั้นไม่เขานิยมจัดงานวันเกิดและไม่มีธรรมเนียมที่จะให้ของขวัญวันเกิดกันและกัน ผมจึงไม่เคยได้รับของขวัญวันเกิดจากใครเลย

แต่ปีนั้นของขวัญชิ้นแรกในชีวิต แม้น้อยนิดและไร้ราคา แต่กลับมีคุณค่าแก่ชีวิตและจิตใจมหาศาลนัก เพราะเป็นของขวัญจากสาวเจ้าที่ผมรัก เป็นซองจดหมายเล็ก ๆ แต่ไม่ได้มีจดหมายหรือสารรักใด ๆ เลย

มันเป็นปลอกหมอนใบหนึ่งและมีกระดาษสีเหลืองตัดเป็นรูปชายธงสามเหลี่ยมชุบด้วยน้ำหอมกลิ่นโอปาส ซึ่งผมทราบภายหลังว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่เป็นที่นิยมที่สุดของหนุ่มสาวในยุคนั้น กระดาษสีเหลืองดังกล่าวนี้ผูกด้วยไหมสีแดงทำให้เป็นสีเหลืองแดงคือสีแห่งธรรมศาสตร์

ของขวัญอันน้อยนิดแต่เป็นสัญญาณบอกความในดวงจิตของเจ้าสาวอย่างชัดเจน เหตุที่เข้าใจเช่นนั้นก็เพราะว่าขณะนั้นบทเพลงสุนทราภรณ์ที่ขับร้องโดยบุษยา รังสี คือเพลงฝากหมอนกำลังโด่งดัง

เพลงบทนี้มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “คืนวันนี้ถ้าพี่นอนหนุนหมอนน้อย ใจจงคล้อยคิดถึงน้องเจ้าของหมอน”

ผมเชื่อมั่นว่าของขวัญชิ้นน้อยนี้คือสัญญาณหมายการตัดสินใจของสาวเจ้า ซึ่งผมทราบภายหลังว่าก่อนตัดสินใจส่งของขวัญชิ้นนี้ให้แก่ผม สาวเจ้าก็ได้บอกกล่าวเลิกความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกับเพื่อนหนุ่มชาวคณะบัญชีก่อนแล้ว สะท้อนให้เห็นน้ำใจสัตย์ซื่ออันควรแก่การนับถืออย่างยิ่ง

การเรียนปีที่สามในปีนั้นมีความหมายยิ่งในชีวิต การตัดสินใจให้ของขวัญชิ้นนี้นอกจากเป็นการตัดสินใจเลือกเพื่อนคู่ชีวิตของสาวเจ้าแล้ว ผมเข้าใจว่าเกิดแต่น้ำใจเห็นอกเห็นใจที่ต้องการให้กำลังใจในการศึกษาในปีนั้น

เพราะการเรียนปีที่สาม หากผลการสอบได้หมดครบทุกวิชาก็จะมีฐานะเท่ากับได้อนุปริญญา สามารถที่จะสมัครเข้าเรียนที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาได้.

โปรดติดตามตอนที่ 63 “นักจัดรายการเพลงสุนทราภรณ์ ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2550

กำลังโหลดความคิดเห็น