xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของวาจา

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

“.....วาจาใดไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ก็ไม่กล่าววาจานั้น คำใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น คำใดไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น คำใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของคนอื่น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น ทั้งนี้เพราะตถาคตมีความอนุเคราะห์ในสัตว์ทั้งหลาย”

ด้วยคำว่า “ตถาคต” ที่แทรกอยู่ หรือสำนวนที่ปรากฏ ย่อมทำให้รู้โดยพลันว่า ความข้างต้นย่อมเป็นของใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกในส่วนที่ว่าด้วย “อภยราชกุมารสูตร” หรือสูตรว่าด้วยอภยราชกุมาร โดยอภยราชกุมารนี้คือโอรสพระองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร

ในที่นี้ใคร่ขออธิบายความที่ว่าโดยแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ดังนี้

1. พระพุทธเจ้าจะไม่กล่าววาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ และไม่เป็นประโยชน์

2. ถึงแม้จะเป็นวาจาที่จริงแท้แน่นอน แต่หากไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าววาจานั้น

3. วาจาใดที่เมื่อกล่าวออกไปแล้วไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น พระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าววาจานั้นเช่นกัน

4. แต่ถ้าวาจาใดเป็นคำจริงแท้ และเป็นประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รักหรือพอใจของคนอื่น พระพุทธเจ้าก็ย่อมวินิจฉัยได้เองว่าควรจะกล่าววาจานั้นหรือไม่

5. ในทำนองเดียวกัน หากวาจาใดที่ไม่จริง หรือจริง แต่ไม่เป็นประโยชน์ หากแต่เป็นวาจาที่คนฟังใคร่อยากฟัง พระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าววาจานั้น

6. และถึงแม้ว่าวาจาที่จะกล่าวนั้นเป็นคำจริงแท้แน่นอน และเป็นประโยชน์จริง หรือเมื่อกล่าวออกไปแล้วคนฟังใคร่อยากฟังด้วยความพอใจ พระพุทธเจ้าก็ยังคงจะวินิจฉัยว่าควรกล่าววาจานั้นหรือไม่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของความข้างต้นยังอยู่ตรงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้นได้ก็เพราะพระองค์ “มีความอนุเคราะห์ในสัตว์ทั้งหลาย”

ที่ว่าสำคัญก็เพราะว่า หากลองนำข้อความทั้งหมดมาพิจารณาเปรียบเทียบกับชีวิตจริงของเราในแต่ละวันแล้วก็จะพบว่า ข้อความนั้นใช่ว่าทุกคนจะปฏิบัติได้ครบถ้วนไม่

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะมาอ้างว่าเป็นเพราะเรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ยังมีกิเลส ที่ยังไงเสียก็ทำไม่ได้อย่างที่พระพุทธเจ้าทำ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้แล้ว (จึงย่อมทำได้) ทั้งนี้เพราะถ้าหากเราคิดอย่างนั้นแล้ว ก็ง่ายที่จะนำใจเราให้ทำ (พูด) ยังไงก็ได้ต่อไป ไหนๆ ก็เป็นมนุษย์ที่มีกิเลสอยู่แล้วนี่ พูดผิดบ้างถูกบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ใครรับได้รับไม่ได้ก็ช่างมัน ลงว่าคิดอย่างนี้เสียแล้ว เราท่านก็คงไม่ต้องยกย่องหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เสียเวลาเปล่าๆ

ที่ยกเอาข้อความหรือหลักคำสอนดังกล่าวมาอธิบายไว้ในที่นี้ เหตุผลหลักไม่ใช่เพื่อสอนหรือเตือนในวาจาที่เราพูดกันอยู่ในแต่ละวัน ที่ยังไงเสียก็เป็นเรื่องในเชิงปัจเจก ซึ่งจะพูดดีพูดไม่ดีก็ส่งผลต่อผู้พูดเป็นกรณีไป ไม่ได้ส่งผลถึงผู้อื่นหรือส่วนรวมในวงกว้าง

แต่ที่ยกขึ้นมากล่าวอ้างก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงวาจาหรือคำพูดของคนที่อ้างว่า ตนกำลังปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติเพื่อบ้านเมือง หรือเพื่อประชาชน คนเหล่านี้หาใช่ใครที่ไหน หากแต่คือ นักการเมือง

ก่อนที่จะกล่าวถึงนักการเมืองนั้น ขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า คนที่ทำงานเพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองยังมีอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง นั่นคือ ข้าราชการ

จะว่าไปแล้ว อาชีพข้าราชการก็ไม่ต่างกับนักการเมือง เป็นอยู่แต่ว่าข้าราชการนั้นเป็นนักการเมืองในระบอบเก่า และเมื่อตกทอดมาถึงปัจจุบัน ข้าราชการต้องขึ้นต่อการเมืองในระบอบใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปก็มักจะขึ้นต่อนักการเมืองอีกชั้นหนึ่ง บางครั้งอาจกระด้างกระเดื่องบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาอะไร ที่หนักจริงๆ นั้นเห็นจะหนีไม่พ้นการก่อการรัฐประหารนั่นเอง ซึ่งก็มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว

สิ่งที่ข้าราชการต่างไปจากนักการเมืองก็คือ ข้าราชการนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล และมีตำแหน่งที่สูงต่ำลดหลั่นกันไป และที่เราสามารถสัมผัสได้มากกว่านักการเมืองก็คือ ข้าราชการที่ดีๆ มักจะมีให้เห็นอยู่เสมอ

ถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าไม่เป็นธรรมแก่นักการเมือง ว่าหาดีๆ สักคนไม่มีเอาเลยหรือ จริงๆ คือมี แต่ที่มีนั้นเราหาได้ง่ายก็แต่ในอดีต กับปัจจุบันแล้วคงต้องคิดหนัก

โดยที่ไม่ต้องยกตัวอย่างอื่นไกล เอาแค่เรื่องของวาจาเรื่องเดียวดังที่ยกข้อความของพระพุทธเจ้ามาเราก็คิดหนักจริงๆ ว่า มีใครบ้างที่มีวาจาอย่างที่ยกมา

เมื่อไม่นานมานี้ เรามีผู้นำที่ถือได้ว่าล้มเหลวในเรื่องวาจาอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือหากไม่เป็นวาจาแบบไม้หลักปักขี้เลนแล้ว ก็จะเป็นวาจาที่ชวนหาเรื่องเพาะบ่มศัตรูโดยไม่จำเป็น

แต่ในทำนองเดียวกัน นานมาแล้วที่เรามีนักการเมืองที่ล้มเหลวในทางวาจา และตกมาถึงทุกวันนี้ก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้น อย่างเช่น นานมาแล้วที่เราได้เห็นการผสมพันธุ์ทางการเมืองของเหล่านักการเมือง แต่เราก็ไม่เคยเห็นการผสมพันธุ์ครั้งใดจะเอิกเกริกเท่า พ.ศ. นี้อีกแล้ว และการผสมพันธุ์ทางการเมืองนี้ก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางผลประโยชน์หรือ “เงิน” ตัวเดียวล้วนๆ ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกเลย

ปรากฏการณ์นี้อาจถือเป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่เขาเรียกกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอมาตยาธิปไตย ถึงตรงนี้บางท่านอาจนำไปเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 แล้วบอกว่า ยุคที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลนั้นไม่มีปรากฏการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นอย่างหนาหูหนาตา ใครที่คิดอย่างนี้คงคิดผิด เพราะเอาเข้าจริงแล้วพรรคไทยรักไทยก็ไป “ดูด” นักการเมืองเหล่านี้มาด้วยเงินเช่นกัน และที่สามารถดูดมาได้อย่างมีพลังก็เพราะพรรคนี้มีเงินหนาและจ่ายแพง ใครๆ ก็อยากจะถูกดูด ฉะนั้น ที่อ้างว่าไปเพราะอุดมการณ์นั้นจึงไม่ใช่วาจาที่จริงหรือแท้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การผสมพันธุ์ของนักการเมืองดังกล่าวจะเป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องเงินก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาสำรอกวาจาออกมาก็ยังคงอ้างว่าเพื่ออุดมการณ์หรือเพื่อชาติบ้านเมือง โดยวาจาที่ทั้งทะเลาะกันหรือดีกันนั้น ถามว่า มีส่วนเสี้ยวของวาจาตรงไหนบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองดังที่พวกเขาอ้าง ถามว่า มีส่วนเสี้ยวของวาจาตรงไหนบ้างที่ประชาชนได้ประโยชน์

อาจกล่าวได้ว่า แทบทุกวาจาไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์โกรธหรือรัก หรือวาจาที่พูดให้คนอื่นพอใจหรือเสียใจ หรือวาจาที่จริง ที่แท้ หรือไม่จริง ไม่แท้ หรือวาจาที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด ต่างล้วนเป็นวาจาที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น

เพียงเรื่องของวาจาเรื่องเดียวยังเชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่เหลือนอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเชื่อถืออีกต่อไป เรื่องเช่นนี้เป็นมานานแล้ว และจะยังคงเป็นต่อไป ที่น่าเศร้าก็คือ สังคมโดยรวมก็มองเห็นเรื่องเช่นนี้ แต่สังคมก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้
กำลังโหลดความคิดเห็น