สถาบันรามจิตติ โดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม ได้เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ “Child Watch Project” ติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ พบว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ชกมวยไทยบนเวทีอาชีพ ตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานศึกษา สถานที่ราชการ วัด ฯลฯ จำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ เป็นเด็กในภาคอีสาน จำนวนเกือบ 8,000 คน และถ้าคิดทั้งประเทศจะพบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ชกมวยไทยแบบนี้ มากกว่า 10,000 คน
แค่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเดียว มีนักมวยเด็กแบบนี้ มากกว่า 600 คน และพบว่ามีเด็กอายุเพียง 7 ขวบอยู่ด้วย
เด็กๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะได้รับเงินค่าขึ้นชกมวยไทย ครั้งละประมาณ 50-600 บาท โดยที่ครึ่งหนึ่งยังต้องหักแบ่งให้ค่ายมวย
เด็กๆ ที่ขึ้นเวทีชกมวยไทยเหล่านี้ จะต้องแลกกับอาการบาดเจ็บตามร่างกายไปอีกหลายวัน โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบนอกจากที่มองเห็นภายนอก เช่น ผลกระทบสายตาหรือระบบการมองเห็นผิดปกติ ระบบประสาทได้รับการกระทบกระเทือนจนส่งผลในเรื่องความจำ และส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาว ซึ่งเป้นอาการสืบเนื่องมาจากการ “เมาหมัด” รุนแรงยิ่งกว่านักมวยไทยหลายๆ คน ต้องประสบมาก่อนแล้ว
ยิ่งกว่านั้น แนวโน้มระยะหลังยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะมีเด็กๆ เข้ามาชกมวยไทยแบบนี่มากขึ้น ทั้งชายและหญิง โดยที่ผู้ปกครองให้การสนับสนุนเนื่องจากถูกจูงใจว่าเป็นการสืบสานศิลปะมวยไทย หรือมีครูในโรงเรียนเป็นผู้ฝึกสอน
ข้อเท็จจริงที่ค้นพบจากงานศึกษาวิจัยดังกล่าว ทำให้เกิดความคิดตามมา 2 ทางระคนกัน
ความคิดแรก
1. ทำให้นึกถึงอดีตนักมวยไทยชื่อดังที่เคยพบคุยกัน “อภิเดช ศิษย์หิรัญ” เจ้าของสมญานาม “นักเตะ บางนกแขวก” ซึ่งเมื่อสูงอายุขึ้น มีอาการทางสมอง เบลอ ความจำเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากการถูกต่อย เตะ กระทบกระเทือนสมอง และระบบสายตามีปัญหา
นักมวยส่วนมากได้รับผลกระทบในยามแก่เฒ่าทั้งสิ้น นับเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม เท่ากับว่า เป็นการแลกเรือนร่าง แลกสุขภาพ เพื่อเอาเงินมาใช้ก่อนในวัยหนุ่ม แลกกับการเสื่อมเสียสุขภาวะในวัยชรา
2. ลองคิดดู เด็กวัยกำลังเจริญเติบโต (0-14 ปี) เมื่อได้รับแรงกระแทกรอยต่อที่ปลายกระดูกแต่ละท่อน (ขา แขน ฯลฯ) ซึ่งมีจุดที่เจริญเติบโต สร้างกระดูกให้ยาวขึ้น จะไม่ทำงานสมบูรณ์ ส่งผลให้เตี้ย แคระเกร็นกว่าที่ควร
3. น่าคิดว่า เด็กอยู่ในวัยที่ต้องเรียนรู้ แสวงหาความรู้เป็นรากฐานของชีวิต ได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยให้อยากรู้ อยากเห็น เปิดประตูความรู้สู่โลกกว้าง แต่ถ้ามุ่งสนใจแต่ความรุนแรง การเอาชนะ หมกมุ่นกับการประหัตประหาร (ป้องกันตัว) ย่อมจะทำให้เวลาและความสนใจในเรื่องอื่นๆ ลดน้อยลง แล้วอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร
ยิ่งกว่านั้น การให้เด็กเข้าไปคุ้นชินกับความรุนแรงตั้งแต่ในวัยที่กำลังบ่มเพาะจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้เด็กๆ มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรุนแรงภายใน อันมีผลสืบเนื่องไปถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในชีวิตต่อไปภายภาคหน้า
4. มวย และเวทีมวย มักจะมาควบคู่กับการพนัน เด็กจะคุ้นเคยต่อการพนัน ติดสินบน ล้มมวย ต่อรอง เมื่อได้หรือชนะก็อยากจะได้มากขึ้น เมื่อเสียหรือแพ้ก็อยากจะได้เงินคืน วนเวียน หมุนเวียนอยู่กับกิเลส ที่ไม่สรร้างรายได้ที่แท้จริงต่อส่วนรวม ชนะก็ได้เอาเงินของคนอื่นมาใช้ แพ้ก็ให้เงินคนอื่นไปใช้ เมื่อได้มากก็ดีใจใช้เงินเกินตัว เมื่อเสียมากก็คิดหาทางลัดเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย
ความคิดต่อมา
1.น่าคิดว่า มวย- มวยไทย เป็นศิลป วัฒนธรรม(วิถีการดำเนินชีวิต) เป็นศิลปะการป้องกันตัว ถ้าไม่ฝึกตั้งแต่เด็กจะรักษาสืบสานศิลปะไว้ได้อย่างไร เราจะรักษาศิลปะป้องกันตัวด้วยต้นทุนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ? และต้นทุนเหล่านี้ควรจะเกิดหรือตกอยู่ที่ใคร ?
2. การที่เด็กต้องชกมวย ช่วยพ่อแม่หาเงิน ก็เพราะจน จึงต้องหาเงินทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
ลองพิจารณาดูว่า ทำไมเด็กอีสานต่อยมวยมาก ก็เพราะจนมาก เพราะต้องการเงินมากกกว่า เพราะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของเงินมากกว่า
เงินที่ได้จะถูกหัก ถูกแบ่ง ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากการต้องพึ่งพาค่ายมวย โปรโมเตอร์มวย อีกนานเท่าไหร่ ?
3. น่าสงสัยว่า โปรโมเตอร์มวย หัวหน้าค่ายมวย มองการชกมวยไทยเป็นศิลปะวัฒนธรรม หรือมองเป็นการค้าธุรกิจ มองนักมวยเด็กเป็นสินค้าหรืออนาคตของชาติหรืออนาคตทางธุรกิจ ???
น่าสนใจว่า ในกรณีดังกล่าว ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ออกมาให้ความเห็นอย่างน่าใคร่ครวญ
นายวรากรณ์ สามโกเศศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความเป็นห่วงในการคุ้มครองเยาวชน โดยเห็นว่า กฎหมายกีฬามวยในปัจจุบันไม่ได้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ขึ้นชกมวย โดยเฉพาะมวยไทยหรือมวยพื้นบ้าน แต่การจัดชกทุกครั้งจะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุตามที่กฎหมายระบุ ซึ่งในความเป็นจริงมีเพียงกระจับ ฟันยาง แต่เฮดการ์ดที่ใช้สวมใส่ป้องกันการกระทบกระเทือนสมองยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยเพียงพอ
ในการดำเนินการขั้นต้น รัฐมนตรีช่วยฯ ระบุว่า ได้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต เพื่อให้ผู้อำนวยการเขตฯ สอดส่องดูแลให้ทางสถานศึกษาแนะนำเด็กและผู้ปกครองว่าการขึ้นชกมวยในช่วงอายุยังเด็กแบบนี้จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ระยะยาว หรือห้ามมิให้ครูนำเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ขึ้นชกมวย หรือใช้โรงเรียนเป็นสถานที่ชกมวย โดยนายวรากรณ์ (รมชฯ) ระบุด้วยว่า ในความคิดเห็นส่วนตัว มองว่า การขึ้นชกมวยในการเลี้ยงชีพน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 21 ปี เพราะร่างกายจะได้พัฒนาเต็มที่แล้ว
ขอชื่นชมความคิดเห็นของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เล็งเห็นผลประโยชน์ในระยะยาวของเยาชนของชาติเป็นสำคัญ
ผมอยากจะสนับสนุนด้วยว่า ควรให้น้ำหนักกับการพัฒนาเด็ก พัฒนาคน พัฒนาสมองของชาติ เพื่อสังคมประเทศและสุขภาวะชีวิตที่ดีของเด็กในระยะยาว
ควรจะหาทางช่วยเหลือด้านอาชีพ รายได้ของครอบครัวเด็กๆ ที่ต้องชกมวย รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กนักเรียนช่วยทำงานที่ได้เรียนรู้ แม้อาชีพมวยก็เป็นอาชีพที่ได้เรียนรู้ แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนผลกระทบในระยะยาว
ควรจะหาทางศึกษาวิจัยเพื่อเรียนรู้ว่า การอนุรักษ์ศิลปะมวยไทย จะมีทางเลือก ทางออก อย่างไร ที่ไม่ใช้วิธีที่มีผลเป็นการเบียดบังชีวิตและแรงงานของเด็ก หรือหาผลประโยชน์จากเด็กอย่างทุกวันนี้
มวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ แต่เด็กไทยก็เป็นอนาคตของชาติ เช่นกัน
แค่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเดียว มีนักมวยเด็กแบบนี้ มากกว่า 600 คน และพบว่ามีเด็กอายุเพียง 7 ขวบอยู่ด้วย
เด็กๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะได้รับเงินค่าขึ้นชกมวยไทย ครั้งละประมาณ 50-600 บาท โดยที่ครึ่งหนึ่งยังต้องหักแบ่งให้ค่ายมวย
เด็กๆ ที่ขึ้นเวทีชกมวยไทยเหล่านี้ จะต้องแลกกับอาการบาดเจ็บตามร่างกายไปอีกหลายวัน โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบนอกจากที่มองเห็นภายนอก เช่น ผลกระทบสายตาหรือระบบการมองเห็นผิดปกติ ระบบประสาทได้รับการกระทบกระเทือนจนส่งผลในเรื่องความจำ และส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาว ซึ่งเป้นอาการสืบเนื่องมาจากการ “เมาหมัด” รุนแรงยิ่งกว่านักมวยไทยหลายๆ คน ต้องประสบมาก่อนแล้ว
ยิ่งกว่านั้น แนวโน้มระยะหลังยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะมีเด็กๆ เข้ามาชกมวยไทยแบบนี่มากขึ้น ทั้งชายและหญิง โดยที่ผู้ปกครองให้การสนับสนุนเนื่องจากถูกจูงใจว่าเป็นการสืบสานศิลปะมวยไทย หรือมีครูในโรงเรียนเป็นผู้ฝึกสอน
ข้อเท็จจริงที่ค้นพบจากงานศึกษาวิจัยดังกล่าว ทำให้เกิดความคิดตามมา 2 ทางระคนกัน
ความคิดแรก
1. ทำให้นึกถึงอดีตนักมวยไทยชื่อดังที่เคยพบคุยกัน “อภิเดช ศิษย์หิรัญ” เจ้าของสมญานาม “นักเตะ บางนกแขวก” ซึ่งเมื่อสูงอายุขึ้น มีอาการทางสมอง เบลอ ความจำเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากการถูกต่อย เตะ กระทบกระเทือนสมอง และระบบสายตามีปัญหา
นักมวยส่วนมากได้รับผลกระทบในยามแก่เฒ่าทั้งสิ้น นับเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม เท่ากับว่า เป็นการแลกเรือนร่าง แลกสุขภาพ เพื่อเอาเงินมาใช้ก่อนในวัยหนุ่ม แลกกับการเสื่อมเสียสุขภาวะในวัยชรา
2. ลองคิดดู เด็กวัยกำลังเจริญเติบโต (0-14 ปี) เมื่อได้รับแรงกระแทกรอยต่อที่ปลายกระดูกแต่ละท่อน (ขา แขน ฯลฯ) ซึ่งมีจุดที่เจริญเติบโต สร้างกระดูกให้ยาวขึ้น จะไม่ทำงานสมบูรณ์ ส่งผลให้เตี้ย แคระเกร็นกว่าที่ควร
3. น่าคิดว่า เด็กอยู่ในวัยที่ต้องเรียนรู้ แสวงหาความรู้เป็นรากฐานของชีวิต ได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยให้อยากรู้ อยากเห็น เปิดประตูความรู้สู่โลกกว้าง แต่ถ้ามุ่งสนใจแต่ความรุนแรง การเอาชนะ หมกมุ่นกับการประหัตประหาร (ป้องกันตัว) ย่อมจะทำให้เวลาและความสนใจในเรื่องอื่นๆ ลดน้อยลง แล้วอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร
ยิ่งกว่านั้น การให้เด็กเข้าไปคุ้นชินกับความรุนแรงตั้งแต่ในวัยที่กำลังบ่มเพาะจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้เด็กๆ มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรุนแรงภายใน อันมีผลสืบเนื่องไปถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในชีวิตต่อไปภายภาคหน้า
4. มวย และเวทีมวย มักจะมาควบคู่กับการพนัน เด็กจะคุ้นเคยต่อการพนัน ติดสินบน ล้มมวย ต่อรอง เมื่อได้หรือชนะก็อยากจะได้มากขึ้น เมื่อเสียหรือแพ้ก็อยากจะได้เงินคืน วนเวียน หมุนเวียนอยู่กับกิเลส ที่ไม่สรร้างรายได้ที่แท้จริงต่อส่วนรวม ชนะก็ได้เอาเงินของคนอื่นมาใช้ แพ้ก็ให้เงินคนอื่นไปใช้ เมื่อได้มากก็ดีใจใช้เงินเกินตัว เมื่อเสียมากก็คิดหาทางลัดเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย
ความคิดต่อมา
1.น่าคิดว่า มวย- มวยไทย เป็นศิลป วัฒนธรรม(วิถีการดำเนินชีวิต) เป็นศิลปะการป้องกันตัว ถ้าไม่ฝึกตั้งแต่เด็กจะรักษาสืบสานศิลปะไว้ได้อย่างไร เราจะรักษาศิลปะป้องกันตัวด้วยต้นทุนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ? และต้นทุนเหล่านี้ควรจะเกิดหรือตกอยู่ที่ใคร ?
2. การที่เด็กต้องชกมวย ช่วยพ่อแม่หาเงิน ก็เพราะจน จึงต้องหาเงินทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
ลองพิจารณาดูว่า ทำไมเด็กอีสานต่อยมวยมาก ก็เพราะจนมาก เพราะต้องการเงินมากกกว่า เพราะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของเงินมากกว่า
เงินที่ได้จะถูกหัก ถูกแบ่ง ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากการต้องพึ่งพาค่ายมวย โปรโมเตอร์มวย อีกนานเท่าไหร่ ?
3. น่าสงสัยว่า โปรโมเตอร์มวย หัวหน้าค่ายมวย มองการชกมวยไทยเป็นศิลปะวัฒนธรรม หรือมองเป็นการค้าธุรกิจ มองนักมวยเด็กเป็นสินค้าหรืออนาคตของชาติหรืออนาคตทางธุรกิจ ???
น่าสนใจว่า ในกรณีดังกล่าว ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ออกมาให้ความเห็นอย่างน่าใคร่ครวญ
นายวรากรณ์ สามโกเศศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความเป็นห่วงในการคุ้มครองเยาวชน โดยเห็นว่า กฎหมายกีฬามวยในปัจจุบันไม่ได้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ขึ้นชกมวย โดยเฉพาะมวยไทยหรือมวยพื้นบ้าน แต่การจัดชกทุกครั้งจะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุตามที่กฎหมายระบุ ซึ่งในความเป็นจริงมีเพียงกระจับ ฟันยาง แต่เฮดการ์ดที่ใช้สวมใส่ป้องกันการกระทบกระเทือนสมองยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยเพียงพอ
ในการดำเนินการขั้นต้น รัฐมนตรีช่วยฯ ระบุว่า ได้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต เพื่อให้ผู้อำนวยการเขตฯ สอดส่องดูแลให้ทางสถานศึกษาแนะนำเด็กและผู้ปกครองว่าการขึ้นชกมวยในช่วงอายุยังเด็กแบบนี้จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ระยะยาว หรือห้ามมิให้ครูนำเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ขึ้นชกมวย หรือใช้โรงเรียนเป็นสถานที่ชกมวย โดยนายวรากรณ์ (รมชฯ) ระบุด้วยว่า ในความคิดเห็นส่วนตัว มองว่า การขึ้นชกมวยในการเลี้ยงชีพน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 21 ปี เพราะร่างกายจะได้พัฒนาเต็มที่แล้ว
ขอชื่นชมความคิดเห็นของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เล็งเห็นผลประโยชน์ในระยะยาวของเยาชนของชาติเป็นสำคัญ
ผมอยากจะสนับสนุนด้วยว่า ควรให้น้ำหนักกับการพัฒนาเด็ก พัฒนาคน พัฒนาสมองของชาติ เพื่อสังคมประเทศและสุขภาวะชีวิตที่ดีของเด็กในระยะยาว
ควรจะหาทางช่วยเหลือด้านอาชีพ รายได้ของครอบครัวเด็กๆ ที่ต้องชกมวย รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กนักเรียนช่วยทำงานที่ได้เรียนรู้ แม้อาชีพมวยก็เป็นอาชีพที่ได้เรียนรู้ แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนผลกระทบในระยะยาว
ควรจะหาทางศึกษาวิจัยเพื่อเรียนรู้ว่า การอนุรักษ์ศิลปะมวยไทย จะมีทางเลือก ทางออก อย่างไร ที่ไม่ใช้วิธีที่มีผลเป็นการเบียดบังชีวิตและแรงงานของเด็ก หรือหาผลประโยชน์จากเด็กอย่างทุกวันนี้
มวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ แต่เด็กไทยก็เป็นอนาคตของชาติ เช่นกัน