"สมหมาย ภาษี" ยังลุ้นกู้เจบิกปล่อยกู้ไทยทันรัฐบาลขิงแก่ เหตุต้องใช้เงินเมกะโปรเจกต์อีกหลายโครงการ เผยแม้จีนจะทำระบบรางดี แต่การสร้างระบบขนาดใหญ่ ญี่ปุ่นเป็นผู้เชี่ยวชาญ แจงกู้เงินดอลลาร์จากจีน 400 ล้านเหรียญ ช่วยลดภาระหนี้เพราะดอลลาร์อ่อนค่า
กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบความตกลงทั่วไประหว่าง กระทรวงการคลังไทย กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China EXIM Bank) วงเงินกู้ไม่เกิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.36 หมื่นล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะให้ไทยกู้เงินเพื่อสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์จากจีน สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งมีสัดส่วนสินค้าจากจีนจะไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ของโครงการที่ได้รับความเห็นชอบทั้งสองประเทศ นั้น วานนี้ (23 ต.ค.) นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า กรอบตกลงดังกล่าวนับว่าเป็นเงื่อนไขการกู้ยืมเงินที่ผ่อนปรนมาก และถึงแม้จะทำความตกลงในกรอบทั่วไปกับจีน
อย่างไรก็ตาม ไทยก็ยังต้องการกู้เงินจากนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) เพราะยังต้องก่อสร้างเมกะโปรเจกต์อีกหลายโครงการในระยะยาว จึงต้องเดินหน้าเจรจาร่วมกับเจบิกอย่างต่อเนื่อง และมองว่าการประกอบระบบรางรถไฟ หรืองานทั่วไปของระบบรางจีนน่าจะทำได้ดี แต่หากเป็นการสร้างระบบขนาดใหญ่ทางญี่ปุ่นก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการให้เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐได้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการกู้เงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะจะช่วยลดภาระ เมื่อต้องชำระคืนเงินกู้
วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษร่างกรอบความตกลงทั่วไประหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China EXIM Bank) ขั้นตอนการใช้เงินกู้จะพิจารณาเป็นรายโครงการ
รายละเอียดกรอบความตกลงทั่วไป และสัญญาเงินกู้รายโครงการจะต้องสอดคล้องและอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน หากมีข้อโต้แย้ง ที่เกี่ยวข้องกับความตกลงทั่วไป และสัญญาเงินกู้รายโครงการซึ่งไม่สามารถประนีประนอมกันได้ภายใน 60 วัน ให้ส่งข้อขัดแย้งดังกล่าวต่อ CIETAC ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อพิจารณาและให้ถือคำตัดสินของ CIETAC เป็นสิ้นสุด
"ในส่วนนี้จะทำให้ไม่จำเป็นต้องไปตีความว่าการเซ็นความตกลงระหว่างประเทศแบบนี้จะเข้าข่ายต้องขออนุมัติจากสภาฯ หรือไม่ เพราะในกรณีเราใช้ตามกฎหมายจีนโดยเป็นความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจงมา" นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเงินกู้ 15 ปี ระยะปลอดหนี้ 5 ปี และมีค่าธรรมเนียมเงินกู้ร้อยละ 0.5 ต่อปีของวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย และค่าธรรมเนียมการจัดการ ร้อยละ 0.5 ต่อปีของวงเงินกู้ โดยการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยจะต้องจ่ายคืนปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 21 ม.ค. และ 21 ก.ค. ของทุกปี
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดในการเจรจาเงินกู้ระหว่างกระทรวงการคลังกับเจ้าหน้าที่เจบิก ปรากฏว่า เจบิกจะตัดสินใจหลังจากไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ ขณะที่นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยังมั่นใจ โดยระบุว่า ภายในเดือนนี้ เจบิกจะให้คำตอบการปล่อยกู้เพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในส่วนก่อสร้างรางและอุโมงค์
เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม.เห็นชอบดำเนินโครงการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในส่วนก่อสร้างงานโยธา 31,217 ล้านบาท และที่ปรึกษา 1,248 ล้านบาท รวมเงิน 32,465 ล้านบาท ตามที่ สศช.เสนอ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสม เนื่องจากจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจร และสนับสนุนบรรยากาศลงทุนในไทย พร้อมทั้งให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในระบบเดินรถและจัดหาขบวนรถ เพื่อลดภาระการลงทุนในส่วนของระบบรถไฟฟ้าภาครัฐ ซึ่งการบริหารโดยเอกชนจะคล่องตัวในการเพิ่มประสิทธิภาพ
โครงการสายสีม่วงมีระยะทาง 23 ก.ม. เริ่มจากสถานีบางใหญ่ไปตามถนนกาญจนาภิเษก เข้าสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระนั่งเกล้า เข้าสู่ถนนติวานนท์ ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ถนนประชาราษฎร์ ไปสิ้นสุดที่เส้นทางสถานีเตาปูน มีโครงสร้างทางวิ่งเป็นโครงสร้างยกระดับทางคู่ ซึ่งทั้งหมดมี 16 สถานี โดย มี 2 สถานีร่วมคือ สถานีบางซ่อน และสถานีเตาปูน
กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบความตกลงทั่วไประหว่าง กระทรวงการคลังไทย กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China EXIM Bank) วงเงินกู้ไม่เกิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.36 หมื่นล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะให้ไทยกู้เงินเพื่อสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์จากจีน สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งมีสัดส่วนสินค้าจากจีนจะไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ของโครงการที่ได้รับความเห็นชอบทั้งสองประเทศ นั้น วานนี้ (23 ต.ค.) นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า กรอบตกลงดังกล่าวนับว่าเป็นเงื่อนไขการกู้ยืมเงินที่ผ่อนปรนมาก และถึงแม้จะทำความตกลงในกรอบทั่วไปกับจีน
อย่างไรก็ตาม ไทยก็ยังต้องการกู้เงินจากนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) เพราะยังต้องก่อสร้างเมกะโปรเจกต์อีกหลายโครงการในระยะยาว จึงต้องเดินหน้าเจรจาร่วมกับเจบิกอย่างต่อเนื่อง และมองว่าการประกอบระบบรางรถไฟ หรืองานทั่วไปของระบบรางจีนน่าจะทำได้ดี แต่หากเป็นการสร้างระบบขนาดใหญ่ทางญี่ปุ่นก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการให้เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐได้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการกู้เงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะจะช่วยลดภาระ เมื่อต้องชำระคืนเงินกู้
วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษร่างกรอบความตกลงทั่วไประหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China EXIM Bank) ขั้นตอนการใช้เงินกู้จะพิจารณาเป็นรายโครงการ
รายละเอียดกรอบความตกลงทั่วไป และสัญญาเงินกู้รายโครงการจะต้องสอดคล้องและอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน หากมีข้อโต้แย้ง ที่เกี่ยวข้องกับความตกลงทั่วไป และสัญญาเงินกู้รายโครงการซึ่งไม่สามารถประนีประนอมกันได้ภายใน 60 วัน ให้ส่งข้อขัดแย้งดังกล่าวต่อ CIETAC ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อพิจารณาและให้ถือคำตัดสินของ CIETAC เป็นสิ้นสุด
"ในส่วนนี้จะทำให้ไม่จำเป็นต้องไปตีความว่าการเซ็นความตกลงระหว่างประเทศแบบนี้จะเข้าข่ายต้องขออนุมัติจากสภาฯ หรือไม่ เพราะในกรณีเราใช้ตามกฎหมายจีนโดยเป็นความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจงมา" นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเงินกู้ 15 ปี ระยะปลอดหนี้ 5 ปี และมีค่าธรรมเนียมเงินกู้ร้อยละ 0.5 ต่อปีของวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย และค่าธรรมเนียมการจัดการ ร้อยละ 0.5 ต่อปีของวงเงินกู้ โดยการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยจะต้องจ่ายคืนปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 21 ม.ค. และ 21 ก.ค. ของทุกปี
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดในการเจรจาเงินกู้ระหว่างกระทรวงการคลังกับเจ้าหน้าที่เจบิก ปรากฏว่า เจบิกจะตัดสินใจหลังจากไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ ขณะที่นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยังมั่นใจ โดยระบุว่า ภายในเดือนนี้ เจบิกจะให้คำตอบการปล่อยกู้เพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในส่วนก่อสร้างรางและอุโมงค์
เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม.เห็นชอบดำเนินโครงการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในส่วนก่อสร้างงานโยธา 31,217 ล้านบาท และที่ปรึกษา 1,248 ล้านบาท รวมเงิน 32,465 ล้านบาท ตามที่ สศช.เสนอ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสม เนื่องจากจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจร และสนับสนุนบรรยากาศลงทุนในไทย พร้อมทั้งให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในระบบเดินรถและจัดหาขบวนรถ เพื่อลดภาระการลงทุนในส่วนของระบบรถไฟฟ้าภาครัฐ ซึ่งการบริหารโดยเอกชนจะคล่องตัวในการเพิ่มประสิทธิภาพ
โครงการสายสีม่วงมีระยะทาง 23 ก.ม. เริ่มจากสถานีบางใหญ่ไปตามถนนกาญจนาภิเษก เข้าสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระนั่งเกล้า เข้าสู่ถนนติวานนท์ ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ถนนประชาราษฎร์ ไปสิ้นสุดที่เส้นทางสถานีเตาปูน มีโครงสร้างทางวิ่งเป็นโครงสร้างยกระดับทางคู่ ซึ่งทั้งหมดมี 16 สถานี โดย มี 2 สถานีร่วมคือ สถานีบางซ่อน และสถานีเตาปูน