"ประสงค์"หนุนยื่นญัตติ ซักฟอกโครงการซื้อรถหุ้มเกราะ ของ ทบ. เหตุกองทัพไม่ตอบข้อสงสัย สตง.-ย้าย"บรรณวิทย์" ยอมรับกองทัพจำเป็นต้องมีอาวุธ แต่การซื้อต้องโปร่งใส ด้าน ผบ.ทบ.พร้อมชี้แจง ไม่หนักใจ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ขณะที่อดีตผบ.ทบ. ยันรถใหม่ ไม่ใช่รถเก่าอัพเกรด ไปดูโรงงานมาแล้ว
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หนึ่งในรายชื่อที่สนับสนุนการยื่นญัตติ ปัญหาการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง ของกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุผลในการยื่นญัตติว่า ญัตตินี้จะช่วยให้สังคมเข้าใจข้อเท็จจริง เพราะการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ถือว่าเป็นความจำเป็น แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมากลับได้งบประมาณในการจัดซื้อน้อยมาก ดังนั้นสภาจะเป็นเวทีให้กองทัพได้ชี้แจงข้อสังสัยของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการจัดซื้ออาวุธของกองทัพจะใช้ระบบรัฐบาลกับรัฐบาล ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน คือ ต่างประเทศขายอาวุธให้ไทย ไทยก็ได้ขายสินค้า หรือผลผลิตทางการเกษตรได้ เป็นการพึ่งพากันซึ่งไทยควรจะยึดถือตรงนั้น เพราะประเทศชาติยังมีวิกฤตทางเศรษฐกิจอยู่
"นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในกระทรวงกลาโหม คือ ผู้ที่รับผิดชอบในการลงนามผ่านเรื่องที่จะนำขึ้นสู่การพิจารณาของรัฐมนตรีได้ตีกลับเรื่องไปยังกองทัพบก เพราะไม่สามารถชี้แจงข้อซักถามของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ได้ชัดเจน แต่ที่สุดได้มีการโยกย้ายผู้ที่รับผิดชอบดังกล่าวอย่างกระทันหัน ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่า มีอะไรกันหรือไม่"น.ต.ประสงค์ กล่าว และว่า คงมีสมาชิกบางส่วนหยิบยกเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินรบจากประเทศสวีเดน ของกองทัพอากาศขึ้นมาอภิปรายในที่ประชุมด้วย เพราะเป็นประเด็นเดียวกัน ตนขอยืนยันว่า กองทัพยังจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงและเสริมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส และดูที่ความจำเป็นและเหมาะสม โดยอาจจะยืดเวลาพิจารณาออกไปอีก
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณี สนช.ยื่นญัตติ เพื่อตรวจสอบ เรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพ ว่า ไม่เป็นไร คนที่ซื้ออาวุธ คือฝ่ายบริหารที่จะถูกตรวจสอบ ทางสภาฯ สามารถทำได้เลย ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากผู้บริหารหรือฝ่ายทหารต้องการซื้ออาวุธแล้ว ทำให้สนช.สบายใจได้ ถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เพราะเป็นกลไกอยู่แล้ว และไม่มีอะไรที่น่าหนักใจ คนเราทำงานเพื่อสาธารณะแล้วต้องพร้อมที่จะถูกสังคมตรวจสอบ และต้องชี้แจงได้ โดยต้องมีคนกำกับดูแลลักษณะนี้ถูกต้อง ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าเพราะอะไรสังคมจึงมาจับจ้องทหาร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ สังคมโดยทั่วไปถ้าเราชี้แจงเขาก็เข้าใจ สื่อทำให้เขาเข้าใจก็แล้วกัน เมื่อถามว่า รู้สึกเป็นห่วงว่าการโจมดีครั้งนี้จะทำให้การเมืองจะกลับไปสู่ยุคเก่าๆ อีก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เห็นมีใครโจมตี ตนมองว่าการที่มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่เรื่องโจมตี ถือเป็นเรื่องธรรมดาปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า กองทัพจะต้องแสดงศักยภาพ พล.อ. อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนพูดไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่สื่อไม่ยอมออก ก็ไปคิดเอาเอง
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และอดีตผบ.ทบ. กล่าวถึงโครงการซื้อรถหุ้มเกราล้อยางว่า ทหารทำถูกต้อง แต่มีคนมาร้องเรียน ซึ่งเป็นธรรมดาของการจัดซื้อจัดจ้าง ผู้เสียประโยชน์ก็ต้องมีการร้องเรียนอยู่แล้ว ซึ่งหากกองทัพบกมีการจัดซื้อที่โปร่งใส ถูกต้องตามขั้นตอนก็ไม่ต้องวิตกอะไร การจัดซื้อรถดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันชาติ และเราไม่รู้ว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น และนี่ราคาเพียงคันละ 25 ล้านบาท หากไปซื้อของยุโรป จะตกคันละ 80-90 ล้านบาท เอาไปคูณดูว่าจะเป็นราคาใด
พล.อ.สนธิ กล่าวยืนยันว่า สมัยที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เดินทางไปดูโรงงานการผลิตรถดังกล่าวที่ประเทศยูเครน ซึ่งพบว่าเป็นโรงงานที่มีสายการผลิต และเป็นรถใหม่จริง ไม่ใช่รถเก่ามาอัพเกรด หากผู้ใดสนใจในเรื่องนี้ให้ไปขอข้อมูลได้ที่กองทัพบก ซึ่งมีคณะกรรมการดำเนินงานทำข้อมูล และภาพถ่ายในการดูงานที่ยูเครน ส่วนบริษัทที่ได้รับการประมูลยื่นเสนอเงื่อนไขเข้ามาหลังเปิดซอง จะบอกว่าผิดได้อย่างไร เพราะยังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.พิชษณุ ปุจฉาการ โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ บริษัท ล็อกฮีต มาร์ติน บริษัทค้าอาวุธจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ และ กองทัพอากาศ เพื่อชี้แจงเหตุผลการเปลี่ยนแปลงมาซื้อเครื่องบิน กริพเพน ของประเทศสวีเดน ว่า กระทรวงการต่างประเทศ และ ทางกองทัพอากาศยังไม่ได้รายงานมาให้ทางกระทรวงกลาโหมได้รับทราบ อีกทั้ง พล.อ. บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ก็ยังไม่ได้สั่งการอะไร เพราะยังไม่เห็นหนังสือร้องเรียนของบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางกองทัพอากาศจะต้องชี้แจงรายละเอียดถึงความจำเป็นในการจัดซื้อให้ทราบ ทั้งนี้ตนทราบแต่เพียงว่า อยู่ในระหว่างการพิจารณาในการจัดซื้อเท่านั้น
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หนึ่งในรายชื่อที่สนับสนุนการยื่นญัตติ ปัญหาการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง ของกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุผลในการยื่นญัตติว่า ญัตตินี้จะช่วยให้สังคมเข้าใจข้อเท็จจริง เพราะการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ถือว่าเป็นความจำเป็น แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมากลับได้งบประมาณในการจัดซื้อน้อยมาก ดังนั้นสภาจะเป็นเวทีให้กองทัพได้ชี้แจงข้อสังสัยของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการจัดซื้ออาวุธของกองทัพจะใช้ระบบรัฐบาลกับรัฐบาล ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน คือ ต่างประเทศขายอาวุธให้ไทย ไทยก็ได้ขายสินค้า หรือผลผลิตทางการเกษตรได้ เป็นการพึ่งพากันซึ่งไทยควรจะยึดถือตรงนั้น เพราะประเทศชาติยังมีวิกฤตทางเศรษฐกิจอยู่
"นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในกระทรวงกลาโหม คือ ผู้ที่รับผิดชอบในการลงนามผ่านเรื่องที่จะนำขึ้นสู่การพิจารณาของรัฐมนตรีได้ตีกลับเรื่องไปยังกองทัพบก เพราะไม่สามารถชี้แจงข้อซักถามของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ได้ชัดเจน แต่ที่สุดได้มีการโยกย้ายผู้ที่รับผิดชอบดังกล่าวอย่างกระทันหัน ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่า มีอะไรกันหรือไม่"น.ต.ประสงค์ กล่าว และว่า คงมีสมาชิกบางส่วนหยิบยกเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินรบจากประเทศสวีเดน ของกองทัพอากาศขึ้นมาอภิปรายในที่ประชุมด้วย เพราะเป็นประเด็นเดียวกัน ตนขอยืนยันว่า กองทัพยังจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงและเสริมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส และดูที่ความจำเป็นและเหมาะสม โดยอาจจะยืดเวลาพิจารณาออกไปอีก
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณี สนช.ยื่นญัตติ เพื่อตรวจสอบ เรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพ ว่า ไม่เป็นไร คนที่ซื้ออาวุธ คือฝ่ายบริหารที่จะถูกตรวจสอบ ทางสภาฯ สามารถทำได้เลย ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากผู้บริหารหรือฝ่ายทหารต้องการซื้ออาวุธแล้ว ทำให้สนช.สบายใจได้ ถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เพราะเป็นกลไกอยู่แล้ว และไม่มีอะไรที่น่าหนักใจ คนเราทำงานเพื่อสาธารณะแล้วต้องพร้อมที่จะถูกสังคมตรวจสอบ และต้องชี้แจงได้ โดยต้องมีคนกำกับดูแลลักษณะนี้ถูกต้อง ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าเพราะอะไรสังคมจึงมาจับจ้องทหาร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ สังคมโดยทั่วไปถ้าเราชี้แจงเขาก็เข้าใจ สื่อทำให้เขาเข้าใจก็แล้วกัน เมื่อถามว่า รู้สึกเป็นห่วงว่าการโจมดีครั้งนี้จะทำให้การเมืองจะกลับไปสู่ยุคเก่าๆ อีก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เห็นมีใครโจมตี ตนมองว่าการที่มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่เรื่องโจมตี ถือเป็นเรื่องธรรมดาปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า กองทัพจะต้องแสดงศักยภาพ พล.อ. อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนพูดไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่สื่อไม่ยอมออก ก็ไปคิดเอาเอง
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และอดีตผบ.ทบ. กล่าวถึงโครงการซื้อรถหุ้มเกราล้อยางว่า ทหารทำถูกต้อง แต่มีคนมาร้องเรียน ซึ่งเป็นธรรมดาของการจัดซื้อจัดจ้าง ผู้เสียประโยชน์ก็ต้องมีการร้องเรียนอยู่แล้ว ซึ่งหากกองทัพบกมีการจัดซื้อที่โปร่งใส ถูกต้องตามขั้นตอนก็ไม่ต้องวิตกอะไร การจัดซื้อรถดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันชาติ และเราไม่รู้ว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น และนี่ราคาเพียงคันละ 25 ล้านบาท หากไปซื้อของยุโรป จะตกคันละ 80-90 ล้านบาท เอาไปคูณดูว่าจะเป็นราคาใด
พล.อ.สนธิ กล่าวยืนยันว่า สมัยที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เดินทางไปดูโรงงานการผลิตรถดังกล่าวที่ประเทศยูเครน ซึ่งพบว่าเป็นโรงงานที่มีสายการผลิต และเป็นรถใหม่จริง ไม่ใช่รถเก่ามาอัพเกรด หากผู้ใดสนใจในเรื่องนี้ให้ไปขอข้อมูลได้ที่กองทัพบก ซึ่งมีคณะกรรมการดำเนินงานทำข้อมูล และภาพถ่ายในการดูงานที่ยูเครน ส่วนบริษัทที่ได้รับการประมูลยื่นเสนอเงื่อนไขเข้ามาหลังเปิดซอง จะบอกว่าผิดได้อย่างไร เพราะยังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด
ด้าน พล.ท.พิชษณุ ปุจฉาการ โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ บริษัท ล็อกฮีต มาร์ติน บริษัทค้าอาวุธจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ และ กองทัพอากาศ เพื่อชี้แจงเหตุผลการเปลี่ยนแปลงมาซื้อเครื่องบิน กริพเพน ของประเทศสวีเดน ว่า กระทรวงการต่างประเทศ และ ทางกองทัพอากาศยังไม่ได้รายงานมาให้ทางกระทรวงกลาโหมได้รับทราบ อีกทั้ง พล.อ. บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ก็ยังไม่ได้สั่งการอะไร เพราะยังไม่เห็นหนังสือร้องเรียนของบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางกองทัพอากาศจะต้องชี้แจงรายละเอียดถึงความจำเป็นในการจัดซื้อให้ทราบ ทั้งนี้ตนทราบแต่เพียงว่า อยู่ในระหว่างการพิจารณาในการจัดซื้อเท่านั้น