"ประชัย" ยันไม่ได้จัดฉากเรื่องรวมพรรค เผยตอนนี้ต้องต่างคนต่างเดินไปก่อน หลังเลือกตั้งค่อยมาหารือกันใหม่ ประกาศจุดยืนพรรคยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และทุนนิยมเสรี ขณะที่ "ประชาราช" ยันไม่มีใครย้ายไปเข้าพรรคพลังประชาชน ด้านรมว.กลาโหม สั่งตั้งกก.สอบ"บรรณวิทย์"กรณีโผล่หารือเรื่องรวมพรรค คาดเจ้าตัวลาออกเพื่อลงสนามเลือกตั้ง "อภิสิทธ์"ประกาศพร้อมสู้อำนาจเงิน ไม่หวั่นแผนทุ่มเงินโหวตนายกฯ
วานนี้ (22 ต.ค.) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวถึงการพบกันของแกนนำ 3 พรรคการเมือง คือ มัชฌิมาธิปไตย รวมใจไทยชาติพัฒนา และประชาราช เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นการพบปะสังสรรค์ และพูดคุยกันโดยคิดว่าจะได้ทางสายกลางที่ดีที่สุด เพราะขณะนี้เกิดความแตกแยกขึ้นมากมาย ไม่ได้ต้องการให้มีการเผยแพร่เป็นข่าว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนเชิญสื่อฯ
"การพบกันวันนั้นไม่ได้ซ่อนเร้นไม่ได้จัดฉาก คิดว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ไม่ใช่การกลับไปกลับมาของพรรคการเมือง แต่ละพรรคยังมีจุดยืนของตัวเอง เราได้ข้อยุติว่า จะแถลงร่วมกันอีกครั้งหลังเลือกตั้ง เวลานี้ให้ต่างคนต่างเดินไปก่อน" นายประชัย กล่าว และว่า ทั้ง 3 พรรค จะดำเนินกิจกรรมร่วมกันต่อหรือไม่ ต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน และเวลานี้พรรคมัชฌิมายังเปิดกว้าง พร้อมรับทุกคนที่ต้องการเข้ามาเป็นสมาชิก เพียงขอให้ใช้แนวนโยบาย และอุดมการณ์เดียวกัน
ส่วน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม จะเข้าร่วมงานกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย หรือไม่ นายประชัย กล่าวว่า พล.อ.สพรั่ง ยังเป็นข้าราชการประจำ จึงยังไม่สามารถรับ พล.อ.สพรั่ง เข้าพรรคได้ แต่ถ้าพล.อ.สพรั่ง ลาออก หรือเกษียณอายุราชการ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ยินดีต้อนรับ
ยึด ศก.พอเพียง-ทุนนิยมเสรี
วันเดียวกันนี้ นายประชัย ได้กล่าวเปิดการปฐมนิเทศผู้สมัครส.ส.กทม. ปริมณฑล และทีมงาน ที่อาคารทีพีไอ โดยกล่าวย้ำ ถึงนโยบายหลักด้วยการเดินสายกลาง ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ระบบทุนนิยมเสรี มีเงินเข้ามาลงทุนแล้วจะได้เงินกลับไป ส่วนการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนเอง เพราะหากให้เอกชนดำเนินการแล้ว จะต้องหวังกำไร และทำให้ประชาชนตกอยู่ในลักษณะถูกมัดมือชก ได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายรัฐสวัสดิการที่จะดูแลประชาชน ทั้งในเรื่องการศึกษาฟรี รักษาโรคฟรี การปฏิรูประบบงบประมาณแผ่นดินใหม่ โดยแยกงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำออกจากกัน เพื่อให้เหมือนกับอารยะประเทศที่ใช้กันอยู่
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตหัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา กล่าวว่า ได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรพิเศษ เพราะพรรคเห็นว่าตน เป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จทางการเมือง เป็น ส.ส.ตั้งแต่ปี 26 และเป็นอดีตรัฐมนตรีถึง 12 ครั้ง
นายสมศักดิ์ ให้ได้คำแนะนำผู้สมัครว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สมัครได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งคือ ถ้าผู้สมัครมีญาติอยู่ในชุมชนต่างๆ แต่หากไม่มีญาติ เราต้องสร้างเพื่อน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ 2 ส่วนปัจจัยที่ 3 คือ นโยบายของพรรค
นอกจากนี้นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงนายประชัย ว่า เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องระบบงบประมาณ ไม่เคยเห็นใครที่มีความสามารถเท่านี้ ทั้งเรื่องการจัดสรรงปบระมาณ ปัญหาเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตร ปัญหาเกี่ยวกับปศุสัตว์ รวมทั้งการทำให้นโยบายของพรรคสามารถปฏิบัติได้ ซึ่งจะต้องมี ส.ส. แต่การสร้าง ส.ส.ไม่ใช่เรื่องง่าย
"เชื่อว่ามัชฌิมาธิปไตย ได้หัวหน้าพรรคที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เพียงแต่ไม่เคยสมัครเป็นผู้แทนเท่านั้น แต่มีความรู้ทางการเมือง เนื่องจากเคยเป็นส.ว. มาก่อน มั่นใจว่าตัวของ นายประชัย และนโยบายของพรรคมัชฌิมาธิปไตย หากผู้สมัครทุกคนนำนโยบายไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนได้เข้าใจแล้ว มั่นใจว่ามัชฌิมาธิปไตย จะเป็นแกนนำสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล สิ่งสำคัญคือ การนำนโยบายไปนำเสนอให้ประชาขนเข้าใจ"นายสมศักดิ์ กล่าว
นายอัมรินทร์ คอมันตร์ ที่ปรึกษาพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้แนะนำถึงการหาเสียงของผู้สมัครในเขต กทม. ว่า ผู้สมัครต้องรับรู้ถึงทุกข์ของประชาชน เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาและความทุกข์ของประชาชนได้ พร้อมตั้งเป้าว่า หากทุกคนมีความสามัคคี และตั้งใจที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง โดยนำนโยบายของพรรคไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมแล้ว เชื่อว่าพรรคจะมี ส.ส.กทม. ไม่ต่ำกว่า 25 คน
"สุชาติ" ยันเด็กประชาราช ไม่ไป พปช.
นายสุชาติ บรรดาศักดิ์ อดีต ส.ส.นนทบุรี สมาชิกพรรคประชาราช กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า อดีต ส.ส.ของพรรคประชาราช จะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ตนและอดีต ส.ส.ทุกคนยืนยันที่จะอยู่พรรคประชาราช ไม่มีใครย้ายออกไปไหนแน่นอน
ส่วนข่าวที่ออกมาว่าตนได้ไปพบกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนนั้น เป็นเพียงการคุยในเรื่องส่วนตัว ซึ่งตนกับนายยงยุทธ สนิทสนมกันมานาน ถ้าจะมีการคุยเรื่องการเมืองจริงๆ คงไม่ไปหารือกันอย่างเปิดเผยแบบนั้น คงต้องไปหาที่ลับๆ คุยกัน ส่วนการร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน หลังการเลือกตั้งนั้น วันนี้ตนยืนยันได้แค่เพียงว่า พรรคประชาราช เราไม่เป็นศัตรูกับใคร
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่บ้านพักเมืองทองธานี ของนายเสนาะ เทียนทองหัวหน้าพรรคประชาราช ว่า นายเสนาะ ยังคงเก็บตัวเงียบในบ้านพัก โดยปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่เฝ้าติดตามข่าวการควบรวมพรรคที่ไม่ประสบความสำเร็จ
กลาโหมตั้ง กก.สอบ"บรรณวิทย์"
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.อ. พิษณุ อุไรเลิศ เจ้ากรมเสมียนตรา ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ที่ไปแสดงตัวเป็นตัวแทนกลุ่มการเมืองในการหารือเพื่อรวมพรรคประชาราช มัชฌิมาธิปไตย และรวมใจไทยชาติพัฒนา เมื่อวันที่ 20ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ยังเป็นทหารในราชการอยู่ โดยให้ พล.อ.สุรพันธ์ พุ่มแก้ว จเรทหารทั่วไป เป็นประธานคณะกรรมการฯ อย่างไรก็ตาม ผลการสอบสวน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กรณีออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีผู้บังคับบัญชานั้น ยังไม่มีความคืบหน้า
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โดยมารยาทแล้ว การกระทำของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เป็นเรื่องไม่สมควร แต่ก็แล้วแต่ว่า ทางกระทรวงกลาโหม จะว่าอย่างไร
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เข้าร่วมประชุมพรรคการเมืองว่า ไม่ได้มีข้อห้าม เพราะการที่ข้าราชการจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นทำได้ แต่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ คงจะทำไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายในรูปแบบของระเบียบการไว้ ถ้าจะลงเลือกตั้งก็ต้องลาออก เป็นสิ่งที่มีอยู่ในกฎหมายอย่างชัดเจน
เมื่อถามว่า กรณีของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ มีความชัดเจนว่า จะลงเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบอยู่ที่เจ้าตัวว่าจะสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ หากสมัครรับเลือกตั้งก็ต้องลาออก
แหล่งข่าว เปิดเผยว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เตรียมแจ้งเจตจำนงค์ในการขอลาออกจากตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม เพื่อไปเล่นการเมือง หลังจากที่ผ่านมาได้ออกมาเคลื่อนไหวในหลายเรื่อง รวมถึง การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา และไปเป็นตัวแทนพรรคการเมืองในการประชุมหารือที่บ้านซอยราชครู จนกระทั่งถูกต้องคณะกรรมการสอบสวนฯ
"ถึงแม้จะแสดงเจตจำนงในการลาออก ก็คงต้องรอขั้นตอน และขบวนการในการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ อีกนาน กว่าจะมีการอนุมัติให้ออก"แหล่งข่าว กล่าว
"สดศรี"ขอ ตร.คุ้มกันระบุถูกปองร้าย
นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวถึงการที่พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช และ พรรครวมไทยใจชาติพัฒนา จะรวมกัน ว่า ตามข้อกฎหมายไม่สามารถทำได้ เพราะเหลือเวลาเพียงไม่นานจะมีการเปิดรับสมัครเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นการรวมตัวกันเพื่อตั้งพรรคใหม่ จึงทำไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ต้องใช้เวลาในการรับรองพรรคใหม่กว่า 30 วัน เว้นแต่ผู้สมัครจะลาออก เพื่อไปสังกัดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นๆ
นางสดศรี ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีท่อเหล็กขนาด 6 เมตรโยนเข้าไปในบ้านพักว่า เหตุดังกล่าวเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ เพราะเป็นการขว้างเข้ามาในลักษณะจงใจ ซึ่งเรื่องนี้ได้เรียน กกต.ท่านอื่นได้ทราบแล้ว ซึ่งหลายคนก็เตือนระวังตัว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาอารักขาความปลอดภัยให้กับ กกต.เป็นรายบุคคลด้วย
"เรื่องนี้ น่าจะเกิดจากกลุ่มบุคคลที่เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ที่ได้เสนอ นายกรัฐมนตรีให้เปลี่ยนจากการว่าจ้างบริษัทเอกชนให้เป็นโรงพิมพ์ของรัฐ เป็นผู้จัดการพิมพ์แทน ซึ่งได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เพราะหากเหตุอะไรขึ้นจะได้มีข้อมูลในการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น"นางสดศรี กล่าว
"อภิสิทธิ์"ลั่นพร้อมสู้อำนาจเงิน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่รู้สึกกังวลกับกรณีที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) ระบุว่า เลือกตั้งครั้งนี้อาจมีปรากฏการณ์ ส.ส.หลายคนโหวตให้หัวหน้าพรรคการเมืองอื่นเป็นนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าที่สุดแล้วเมื่อมีการเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นผู้สอบถามผู้สมัครส.ส.เองว่า นโยบายเป็นอย่างไร พรรคมีจุดยืนทางการเมืองเป็นอย่างไร และสนับสนุนใครเป็นนายกฯ หาก ส.ส.ไม่ดำเนินการตามเจตนารมรณ์ของประชาชน ก็คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ต้องเชื่อในระบบ และเสียงที่เป็นความคาดหวังของประชาชน ที่จะเป็นผู้กำหนดเส้นทางให้พรรคการเมืองและนักการเมือง
สำหรับกรณีที่มีการระบุว่า มีกระแสข่าวการกันเงินร้อยละ 60 ไว้ใช้ในการโหวตนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งนั้น ตนและพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจไว้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้การเมืองไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเงิน หากใครอยากเอาเงินมาซื้อ ก็ไม่มีปัญหา ตนจะสู้กับการใช้เงิน ขอเพียง กกต. รัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง เอาจริงเอาจังกับการใช้เงินที่ไม่ถูกต้องทุกรูปแบบ
ส่วนกรณีที่ทีมกฎหมายพรรคพลังประชาชน ระบุว่า คณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง ขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าขัดกับมาตราใด แต่คิดว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว ไม่สามารถก้าวก่ายอำนาจ กกต. ตามรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญถือเป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการซื้อเสียงไม่ได้ชี้นำ กกต.
"ผมไม่ทราบว่า ทำไมพลังประชาชน ถึงต้องกลัวการต่อต้านการซื้อสิทธิ ขายเสียง ก็เขาไม่มีอำนาจในการชี้นำ กกต. และ กตต.มีอำนาจอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญในการที่จะชี้ขาดเรื่องของการเลือกตั้ง"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รัฐบาลพร้อมประกาศวันเลือกตั้ง
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.ฎ. เลือกตั้งว่า รัฐบาลได้นำพระราชกฤษฏีกากำหนดวันเลือกตั้งขึ้นกราบบังคมทูลฯ และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยมาแล้ว ต่อจากนี้เพียงแต่ทาง กกต.มีความพร้อมที่จะให้พิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อไร
"รัฐบาลเป็นคนสนับสนุน รัฐบาลต้อมถาม กกต.ว่าท่าน พร้อมหรือยัง เพราะขณะนี้เราได้ดำเนินการในทุกๆ อย่างให้เสร็จสิ้นแล้ว หากพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาจะมีผลใช้บังคับในวันรุ่งขึ้น หากวันนี้ (22 ค.ต.) ทาง กกต.บอกว่าพร้อม พรุ่งนี้ (23ต.ค.) การพิมพ์ก็สามารถดำเนินการได้ และในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 24 ต.ค. ก็จะมีผลบังคับใช้ได้ เมื่อมีผลบังคับใช้กฎหมายการเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับ ก็จะมีผลบังคับใช้เช่นกัน ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ และขณะนี้ทาง กกต.ได้ทำความเข้าใจกับพรรคการเมืองแล้ว แต่ในส่วนของพี่น้องประชาชน ยังต้องทำความเข้าใจอีกมาก ในส่วนเหล่านี้เราจะช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้รับทราบ เพราะจะมีความแตกต่างจากกฎหมายเลือกตั้งเดิม"นายกฯ กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าาวถึง ผลสำรวจโพลที่พบประชาชนยังรับเงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงแต่ไม่กล้าบอกที่มา ว่า เคยเรียนแล้วในเรื่องของความรู้สึกของพี่น้อปงระชาน หากเราไม่ช่วยกันในเรื่องของการใช้เงิน การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การเมืองเราคงไม่พัฒนาไปถึงไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนมีความเป็นห่วง อยากเห็นการเมืองบ้างเรามีความก้าวหน้า พัฒนาไปบ้าง เราคงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าไม่ให้มีการใล้เงินเลย แต่ทำอย่างไรที่จะลดปัญหาการใช้เงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงกัน ส่วนกรณีที่มองกันว่าประชาชนคงไม่กล้าที่จะแจ้งที่มาเพราะเกรงความไม่ปลอดภัยนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คงจะต้องพิจารณา คงจะมีวิธีการที่จะทำอย่างไรที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลเหล่านี้โดยที่ไม่เกป็นพิษเป็นภัยกับผู้ที่แจ้งข้อมูล
วานนี้ (22 ต.ค.) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวถึงการพบกันของแกนนำ 3 พรรคการเมือง คือ มัชฌิมาธิปไตย รวมใจไทยชาติพัฒนา และประชาราช เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นการพบปะสังสรรค์ และพูดคุยกันโดยคิดว่าจะได้ทางสายกลางที่ดีที่สุด เพราะขณะนี้เกิดความแตกแยกขึ้นมากมาย ไม่ได้ต้องการให้มีการเผยแพร่เป็นข่าว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนเชิญสื่อฯ
"การพบกันวันนั้นไม่ได้ซ่อนเร้นไม่ได้จัดฉาก คิดว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ไม่ใช่การกลับไปกลับมาของพรรคการเมือง แต่ละพรรคยังมีจุดยืนของตัวเอง เราได้ข้อยุติว่า จะแถลงร่วมกันอีกครั้งหลังเลือกตั้ง เวลานี้ให้ต่างคนต่างเดินไปก่อน" นายประชัย กล่าว และว่า ทั้ง 3 พรรค จะดำเนินกิจกรรมร่วมกันต่อหรือไม่ ต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน และเวลานี้พรรคมัชฌิมายังเปิดกว้าง พร้อมรับทุกคนที่ต้องการเข้ามาเป็นสมาชิก เพียงขอให้ใช้แนวนโยบาย และอุดมการณ์เดียวกัน
ส่วน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม จะเข้าร่วมงานกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย หรือไม่ นายประชัย กล่าวว่า พล.อ.สพรั่ง ยังเป็นข้าราชการประจำ จึงยังไม่สามารถรับ พล.อ.สพรั่ง เข้าพรรคได้ แต่ถ้าพล.อ.สพรั่ง ลาออก หรือเกษียณอายุราชการ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ยินดีต้อนรับ
ยึด ศก.พอเพียง-ทุนนิยมเสรี
วันเดียวกันนี้ นายประชัย ได้กล่าวเปิดการปฐมนิเทศผู้สมัครส.ส.กทม. ปริมณฑล และทีมงาน ที่อาคารทีพีไอ โดยกล่าวย้ำ ถึงนโยบายหลักด้วยการเดินสายกลาง ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ระบบทุนนิยมเสรี มีเงินเข้ามาลงทุนแล้วจะได้เงินกลับไป ส่วนการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนเอง เพราะหากให้เอกชนดำเนินการแล้ว จะต้องหวังกำไร และทำให้ประชาชนตกอยู่ในลักษณะถูกมัดมือชก ได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายรัฐสวัสดิการที่จะดูแลประชาชน ทั้งในเรื่องการศึกษาฟรี รักษาโรคฟรี การปฏิรูประบบงบประมาณแผ่นดินใหม่ โดยแยกงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำออกจากกัน เพื่อให้เหมือนกับอารยะประเทศที่ใช้กันอยู่
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตหัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา กล่าวว่า ได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรพิเศษ เพราะพรรคเห็นว่าตน เป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จทางการเมือง เป็น ส.ส.ตั้งแต่ปี 26 และเป็นอดีตรัฐมนตรีถึง 12 ครั้ง
นายสมศักดิ์ ให้ได้คำแนะนำผู้สมัครว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สมัครได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งคือ ถ้าผู้สมัครมีญาติอยู่ในชุมชนต่างๆ แต่หากไม่มีญาติ เราต้องสร้างเพื่อน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ 2 ส่วนปัจจัยที่ 3 คือ นโยบายของพรรค
นอกจากนี้นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงนายประชัย ว่า เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องระบบงบประมาณ ไม่เคยเห็นใครที่มีความสามารถเท่านี้ ทั้งเรื่องการจัดสรรงปบระมาณ ปัญหาเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตร ปัญหาเกี่ยวกับปศุสัตว์ รวมทั้งการทำให้นโยบายของพรรคสามารถปฏิบัติได้ ซึ่งจะต้องมี ส.ส. แต่การสร้าง ส.ส.ไม่ใช่เรื่องง่าย
"เชื่อว่ามัชฌิมาธิปไตย ได้หัวหน้าพรรคที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เพียงแต่ไม่เคยสมัครเป็นผู้แทนเท่านั้น แต่มีความรู้ทางการเมือง เนื่องจากเคยเป็นส.ว. มาก่อน มั่นใจว่าตัวของ นายประชัย และนโยบายของพรรคมัชฌิมาธิปไตย หากผู้สมัครทุกคนนำนโยบายไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนได้เข้าใจแล้ว มั่นใจว่ามัชฌิมาธิปไตย จะเป็นแกนนำสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล สิ่งสำคัญคือ การนำนโยบายไปนำเสนอให้ประชาขนเข้าใจ"นายสมศักดิ์ กล่าว
นายอัมรินทร์ คอมันตร์ ที่ปรึกษาพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้แนะนำถึงการหาเสียงของผู้สมัครในเขต กทม. ว่า ผู้สมัครต้องรับรู้ถึงทุกข์ของประชาชน เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาและความทุกข์ของประชาชนได้ พร้อมตั้งเป้าว่า หากทุกคนมีความสามัคคี และตั้งใจที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง โดยนำนโยบายของพรรคไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมแล้ว เชื่อว่าพรรคจะมี ส.ส.กทม. ไม่ต่ำกว่า 25 คน
"สุชาติ" ยันเด็กประชาราช ไม่ไป พปช.
นายสุชาติ บรรดาศักดิ์ อดีต ส.ส.นนทบุรี สมาชิกพรรคประชาราช กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า อดีต ส.ส.ของพรรคประชาราช จะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ตนและอดีต ส.ส.ทุกคนยืนยันที่จะอยู่พรรคประชาราช ไม่มีใครย้ายออกไปไหนแน่นอน
ส่วนข่าวที่ออกมาว่าตนได้ไปพบกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนนั้น เป็นเพียงการคุยในเรื่องส่วนตัว ซึ่งตนกับนายยงยุทธ สนิทสนมกันมานาน ถ้าจะมีการคุยเรื่องการเมืองจริงๆ คงไม่ไปหารือกันอย่างเปิดเผยแบบนั้น คงต้องไปหาที่ลับๆ คุยกัน ส่วนการร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน หลังการเลือกตั้งนั้น วันนี้ตนยืนยันได้แค่เพียงว่า พรรคประชาราช เราไม่เป็นศัตรูกับใคร
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่บ้านพักเมืองทองธานี ของนายเสนาะ เทียนทองหัวหน้าพรรคประชาราช ว่า นายเสนาะ ยังคงเก็บตัวเงียบในบ้านพัก โดยปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่เฝ้าติดตามข่าวการควบรวมพรรคที่ไม่ประสบความสำเร็จ
กลาโหมตั้ง กก.สอบ"บรรณวิทย์"
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.อ. พิษณุ อุไรเลิศ เจ้ากรมเสมียนตรา ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ที่ไปแสดงตัวเป็นตัวแทนกลุ่มการเมืองในการหารือเพื่อรวมพรรคประชาราช มัชฌิมาธิปไตย และรวมใจไทยชาติพัฒนา เมื่อวันที่ 20ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ยังเป็นทหารในราชการอยู่ โดยให้ พล.อ.สุรพันธ์ พุ่มแก้ว จเรทหารทั่วไป เป็นประธานคณะกรรมการฯ อย่างไรก็ตาม ผลการสอบสวน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กรณีออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีผู้บังคับบัญชานั้น ยังไม่มีความคืบหน้า
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โดยมารยาทแล้ว การกระทำของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เป็นเรื่องไม่สมควร แต่ก็แล้วแต่ว่า ทางกระทรวงกลาโหม จะว่าอย่างไร
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เข้าร่วมประชุมพรรคการเมืองว่า ไม่ได้มีข้อห้าม เพราะการที่ข้าราชการจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นทำได้ แต่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ คงจะทำไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายในรูปแบบของระเบียบการไว้ ถ้าจะลงเลือกตั้งก็ต้องลาออก เป็นสิ่งที่มีอยู่ในกฎหมายอย่างชัดเจน
เมื่อถามว่า กรณีของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ มีความชัดเจนว่า จะลงเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบอยู่ที่เจ้าตัวว่าจะสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ หากสมัครรับเลือกตั้งก็ต้องลาออก
แหล่งข่าว เปิดเผยว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เตรียมแจ้งเจตจำนงค์ในการขอลาออกจากตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม เพื่อไปเล่นการเมือง หลังจากที่ผ่านมาได้ออกมาเคลื่อนไหวในหลายเรื่อง รวมถึง การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา และไปเป็นตัวแทนพรรคการเมืองในการประชุมหารือที่บ้านซอยราชครู จนกระทั่งถูกต้องคณะกรรมการสอบสวนฯ
"ถึงแม้จะแสดงเจตจำนงในการลาออก ก็คงต้องรอขั้นตอน และขบวนการในการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ อีกนาน กว่าจะมีการอนุมัติให้ออก"แหล่งข่าว กล่าว
"สดศรี"ขอ ตร.คุ้มกันระบุถูกปองร้าย
นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวถึงการที่พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช และ พรรครวมไทยใจชาติพัฒนา จะรวมกัน ว่า ตามข้อกฎหมายไม่สามารถทำได้ เพราะเหลือเวลาเพียงไม่นานจะมีการเปิดรับสมัครเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นการรวมตัวกันเพื่อตั้งพรรคใหม่ จึงทำไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ต้องใช้เวลาในการรับรองพรรคใหม่กว่า 30 วัน เว้นแต่ผู้สมัครจะลาออก เพื่อไปสังกัดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นๆ
นางสดศรี ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีท่อเหล็กขนาด 6 เมตรโยนเข้าไปในบ้านพักว่า เหตุดังกล่าวเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ เพราะเป็นการขว้างเข้ามาในลักษณะจงใจ ซึ่งเรื่องนี้ได้เรียน กกต.ท่านอื่นได้ทราบแล้ว ซึ่งหลายคนก็เตือนระวังตัว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาอารักขาความปลอดภัยให้กับ กกต.เป็นรายบุคคลด้วย
"เรื่องนี้ น่าจะเกิดจากกลุ่มบุคคลที่เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ที่ได้เสนอ นายกรัฐมนตรีให้เปลี่ยนจากการว่าจ้างบริษัทเอกชนให้เป็นโรงพิมพ์ของรัฐ เป็นผู้จัดการพิมพ์แทน ซึ่งได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เพราะหากเหตุอะไรขึ้นจะได้มีข้อมูลในการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น"นางสดศรี กล่าว
"อภิสิทธิ์"ลั่นพร้อมสู้อำนาจเงิน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่รู้สึกกังวลกับกรณีที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) ระบุว่า เลือกตั้งครั้งนี้อาจมีปรากฏการณ์ ส.ส.หลายคนโหวตให้หัวหน้าพรรคการเมืองอื่นเป็นนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าที่สุดแล้วเมื่อมีการเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นผู้สอบถามผู้สมัครส.ส.เองว่า นโยบายเป็นอย่างไร พรรคมีจุดยืนทางการเมืองเป็นอย่างไร และสนับสนุนใครเป็นนายกฯ หาก ส.ส.ไม่ดำเนินการตามเจตนารมรณ์ของประชาชน ก็คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ต้องเชื่อในระบบ และเสียงที่เป็นความคาดหวังของประชาชน ที่จะเป็นผู้กำหนดเส้นทางให้พรรคการเมืองและนักการเมือง
สำหรับกรณีที่มีการระบุว่า มีกระแสข่าวการกันเงินร้อยละ 60 ไว้ใช้ในการโหวตนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งนั้น ตนและพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจไว้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้การเมืองไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเงิน หากใครอยากเอาเงินมาซื้อ ก็ไม่มีปัญหา ตนจะสู้กับการใช้เงิน ขอเพียง กกต. รัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง เอาจริงเอาจังกับการใช้เงินที่ไม่ถูกต้องทุกรูปแบบ
ส่วนกรณีที่ทีมกฎหมายพรรคพลังประชาชน ระบุว่า คณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง ขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าขัดกับมาตราใด แต่คิดว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว ไม่สามารถก้าวก่ายอำนาจ กกต. ตามรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญถือเป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการซื้อเสียงไม่ได้ชี้นำ กกต.
"ผมไม่ทราบว่า ทำไมพลังประชาชน ถึงต้องกลัวการต่อต้านการซื้อสิทธิ ขายเสียง ก็เขาไม่มีอำนาจในการชี้นำ กกต. และ กตต.มีอำนาจอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญในการที่จะชี้ขาดเรื่องของการเลือกตั้ง"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รัฐบาลพร้อมประกาศวันเลือกตั้ง
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.ฎ. เลือกตั้งว่า รัฐบาลได้นำพระราชกฤษฏีกากำหนดวันเลือกตั้งขึ้นกราบบังคมทูลฯ และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยมาแล้ว ต่อจากนี้เพียงแต่ทาง กกต.มีความพร้อมที่จะให้พิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อไร
"รัฐบาลเป็นคนสนับสนุน รัฐบาลต้อมถาม กกต.ว่าท่าน พร้อมหรือยัง เพราะขณะนี้เราได้ดำเนินการในทุกๆ อย่างให้เสร็จสิ้นแล้ว หากพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาจะมีผลใช้บังคับในวันรุ่งขึ้น หากวันนี้ (22 ค.ต.) ทาง กกต.บอกว่าพร้อม พรุ่งนี้ (23ต.ค.) การพิมพ์ก็สามารถดำเนินการได้ และในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 24 ต.ค. ก็จะมีผลบังคับใช้ได้ เมื่อมีผลบังคับใช้กฎหมายการเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับ ก็จะมีผลบังคับใช้เช่นกัน ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ และขณะนี้ทาง กกต.ได้ทำความเข้าใจกับพรรคการเมืองแล้ว แต่ในส่วนของพี่น้องประชาชน ยังต้องทำความเข้าใจอีกมาก ในส่วนเหล่านี้เราจะช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้รับทราบ เพราะจะมีความแตกต่างจากกฎหมายเลือกตั้งเดิม"นายกฯ กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าาวถึง ผลสำรวจโพลที่พบประชาชนยังรับเงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงแต่ไม่กล้าบอกที่มา ว่า เคยเรียนแล้วในเรื่องของความรู้สึกของพี่น้อปงระชาน หากเราไม่ช่วยกันในเรื่องของการใช้เงิน การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การเมืองเราคงไม่พัฒนาไปถึงไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนมีความเป็นห่วง อยากเห็นการเมืองบ้างเรามีความก้าวหน้า พัฒนาไปบ้าง เราคงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าไม่ให้มีการใล้เงินเลย แต่ทำอย่างไรที่จะลดปัญหาการใช้เงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงกัน ส่วนกรณีที่มองกันว่าประชาชนคงไม่กล้าที่จะแจ้งที่มาเพราะเกรงความไม่ปลอดภัยนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คงจะต้องพิจารณา คงจะมีวิธีการที่จะทำอย่างไรที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลเหล่านี้โดยที่ไม่เกป็นพิษเป็นภัยกับผู้ที่แจ้งข้อมูล