วันนี้เป็นวันที่ 23 ตุลาคม 2550 เป็นวันปิยมหาราช เป็นวันที่คนไทยทั้งชาติน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาราชเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งพระเมตตาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณแก่ชนชาติไทยและประชาชาติไทยอย่างยิ่งใหญ่เป็นเอนกอนันต์
วันนี้แม้ยุคสมัยของพระองค์จะร่วงพ้นไปร่วม 100 ปีแล้ว แต่พระบารมีและพระคุณแห่งพระมหาราชเจ้าพระองค์นี้ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ประชาชาติไทยยังเลื่อมใส ยังเคารพศรัทธาและบูชาพระองค์ท่านประหนึ่งว่าพระองค์ท่านยังทรงพระชนม์อยู่
ยุคสมัยของพระองค์ท่านรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่ายุคสมัยใดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เป็นความรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนสยามได้ชื่อว่าเป็นดวงประทีปแห่งความรุ่งโรจน์ทางด้านบูรพทิศ
ยุคสมัยของพระองค์ท่านมีเหตุการณ์สำคัญอันควรน้อมรำลึกดังนี้
เรื่องแรก คือการนำพาประเทศไปสู่การค้าเสรี ที่แม้ว่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากสัญญาเบาริ่ง แต่พระองค์ท่านก็ได้แปรวิกฤตนั้นให้เป็นโอกาสนำพาชาติสู่โลกกว้างทั้งทางด้านการค้า การลงทุน ศิลปและวัฒนธรรม จนทำให้สยามเป็นชาติต้น ๆ ของเอเชียที่มีความสัมพันธ์แทบทุกด้านกับยุโรปและอเมริกา รวมทั้งประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้
การค้าเสรีในยุคของพระองค์ท่านดูได้จากภาษาซึ่งพิมพ์ในธนบัตรยุคนั้นประกอบด้วยหลายภาษา คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาลาว ภาษากัมพูชา เป็นต้น
ต่างกันอย่างลิบลับกับธนบัตรไทยในวันนี้ที่มีแต่ภาษาไทยภาษาเดียวเท่านั้น แล้วเราจะเป็นสากลได้อย่างไร?
เรื่องที่สอง คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาด กำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจต่างๆ ทั่วโลก
ทรงสร้างดุลกำลังทั้งทางการเมืองและทางการทหารอย่างชาญฉลาดล้ำ ทำให้สยามในยุคนั้นแม้ว่าตกอยู่ในท่ามกลางสายตาที่จ้องเขมือบอย่างแวววาวของนักล่าอาณานิคมหลุดรอดพ้นจากอุ้งมือของนักล่าอาณานิคมมาได้ ทำให้ไทยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
ทรงสร้างดุลทางการเมืองและทางการทหาร ทั้งกับทางอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ทรงทำให้ผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจเกิดความสมดุลขึ้นในดินแดนสยาม ต่างก็ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน จนไม่มีใครกล้าขยี้ขย้ำชาติของเราได้
ต่างกันอย่างลิบลับกับนักยุทธศาสตร์และนักการต่างประเทศรุ่นหลังที่เอาประเทศไทยไปผูกเข้ากับขาของมหาอำนาจบางชาติจนเสียดุลอำนาจระหว่างประเทศ และทำให้ไทยกลายเป็นประเทศ “สมุนรับใช้” ของมหาอำนาจหลายยุคหลายสมัย
เรื่องที่สาม คือการวางรากฐานการพัฒนาประเทศไทย ชูธงชัยผืนใหญ่สองผืนขึ้นนำพาชาติ คือความพยายามที่จะมุ่งสร้างชาติเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมผืนหนึ่ง และความพยายามที่จะมุ่งสร้างชาติเป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการอีกผืนหนึ่ง
ธงชัยที่ชี้ทิศนำทางประเทศไทยทั้งสองผืนใหญ่นี้ล้วนสอดคล้องรองรับกับความเป็นจริงของประเทศไทย เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของมหาชนชาวสยามโดยแท้ เป็นการนำจุดเด่นของประเทศชาติเข้าสู่การแข่งขันในยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ
ความรุ่งเรืองไพบูลย์แห่งยุคสมัยของพระองค์คือผลิตผลแห่งความสำเร็จของการใช้ธงชัยผืนใหญ่สองผืนชี้นำพาประเทศของเรา ทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างมาแล้ว อันควรที่ชนชาวไทยรุ่นหลังจะได้น้อมนำผลผลึกแห่งภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านและบรรพบุรุษไทยในยุคนั้นมาใช้ในการฟื้นฟูชาติครั้งใหม่สืบไป
เสียดายนักสิ้นยุคสมัยของพระองค์ท่านแล้ว พวกนักเรียนหัวนอกที่ในหัวมีแต่เศษขยะของฝรั่งล้มล้างธงชัยผืนใหญ่ทั้งสองผืนของพระองค์ท่านอย่างสิ้นเชิง และกำหนดทิศทางใหม่ของประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามแบบอย่างตะวันตก
ซึ่งประเทศไทยไม่มีรากฐานใด ๆ เลย ผลประโยชน์ตกได้แก่คนไทยเฉพาะค่าเช่าที่ดินราคาถูกและค่าแรงราคาถูกเท่านั้น โดยแลกเอามลภาวะที่เป็นพิษทั้งที่เกิดขึ้นกับผืนดิน แผ่นน้ำและน่านฟ้าของเรา ทำให้บ้านเมืองของเราตกอยู่ในวิกฤตใหญ่ของมลภาวะที่เป็นพิษและทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องได้ข้อสรุปว่าหนทางอุตสาหกรรมที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ไม่สามารถนำพาชาติไปสู่ความรุ่งเรืองไพบูลย์ได้ มีแต่ความหายนะเป็นเบื้องหน้าโดยแน่แท้
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องเชิดชูธงชัยผืนใหญ่ทั้งสองผืนของพระองค์ท่านมานำพาชาติบ้านเมืองเพื่อการกอบกู้ฟื้นฟูชาติของเราต่อไป
เรื่องที่สี่ คือการสร้างความมั่งคั่งและอยู่ดีกินดีแก่ชาวสยามโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่เรื่องที่พูดหาเสียงหรือนโยบายหลอกลวงแบบลม ๆ แล้ง ๆ ที่ดำเนินมาร่วมร้อยปีแล้ว และหนักหนาสาหัสขึ้นตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้
ทรงเล็งเห็นด้วยพระปรีชาญาณอันประเสริฐหลังจากเสด็จกลับจากการประพาสยุโรปแล้วว่าสยามและชาวสยามไม่มีทางพ้นจากความยากจน ไม่มีทางที่จะมีฐานะ ตราบใดที่ประเทศนี้ไม่มี Real Estate หรือฐานะที่แท้จริงของราษฎร
Real Estate ที่ว่านี้เป็นคำที่ใช้ในยุโรปสมัยนั้น คือฐานะที่แท้จริงของประชาชนโดยถือเอาจากฐานะการครองที่ดิน ซึ่งรัฐออกโฉนดที่ดินให้
สยามเวลานั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ ที่ดินจึงไม่มีค่าไม่มีราคาและไม่เป็นหลักประกันในการใช้ประโยชน์ที่แน่นอน ไม่ใช่สิ่งแสดงฐานะที่แท้จริง คำว่าศักดินาเท่านี้เท่านั้นไร่หาได้มีผืนนาแท้จริงไม่ หรือที่มีพระราชทานบ้างก็เป็นแต่กว้าง ๆ ไม่มีเอกสารสิทธิ์
จึงทรงพระราชดำริให้เดินสำรวจและออกโฉนดที่ดินให้แก่ชาวสยาม ทำให้ผืนแผ่นดินของพระองค์มีราคา เป็นฐานะที่มั่นคงของราษฎรทั้งในการทำ การใช้ประโยชน์ในทุกด้าน
วันนี้ที่ดิน 2 ใน 3 ของประเทศไทยถูกยึดครองโดยส่วนราชการ ไม่สามารถลงทุนหรือเป็นทรัพย์สินของราษฎรได้ เท่ากับพระบรมราชปณิธานของพระองค์ถูกบิดเบือนเบี่ยงเบนไปแล้ว
หากที่ดิน 2 ใน 3 ของประเทศเป็นเช่นนี้ ไทยและชาวไทยไม่มีทางพ้นจากความยากจน จึงถึงเวลาที่จะต้องฟื้นฟูพระบรมราโชบายประการนี้ขึ้นมาใหม่ คืนความเป็นธรรมให้ราษฎร
ในวาระเช่นนี้จึงขอเชิญชวนพี่น้องผองไทยร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในประการต่าง ๆ ดังได้แสดงมานี้.
วันนี้แม้ยุคสมัยของพระองค์จะร่วงพ้นไปร่วม 100 ปีแล้ว แต่พระบารมีและพระคุณแห่งพระมหาราชเจ้าพระองค์นี้ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ประชาชาติไทยยังเลื่อมใส ยังเคารพศรัทธาและบูชาพระองค์ท่านประหนึ่งว่าพระองค์ท่านยังทรงพระชนม์อยู่
ยุคสมัยของพระองค์ท่านรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่ายุคสมัยใดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เป็นความรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนสยามได้ชื่อว่าเป็นดวงประทีปแห่งความรุ่งโรจน์ทางด้านบูรพทิศ
ยุคสมัยของพระองค์ท่านมีเหตุการณ์สำคัญอันควรน้อมรำลึกดังนี้
เรื่องแรก คือการนำพาประเทศไปสู่การค้าเสรี ที่แม้ว่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากสัญญาเบาริ่ง แต่พระองค์ท่านก็ได้แปรวิกฤตนั้นให้เป็นโอกาสนำพาชาติสู่โลกกว้างทั้งทางด้านการค้า การลงทุน ศิลปและวัฒนธรรม จนทำให้สยามเป็นชาติต้น ๆ ของเอเชียที่มีความสัมพันธ์แทบทุกด้านกับยุโรปและอเมริกา รวมทั้งประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้
การค้าเสรีในยุคของพระองค์ท่านดูได้จากภาษาซึ่งพิมพ์ในธนบัตรยุคนั้นประกอบด้วยหลายภาษา คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาลาว ภาษากัมพูชา เป็นต้น
ต่างกันอย่างลิบลับกับธนบัตรไทยในวันนี้ที่มีแต่ภาษาไทยภาษาเดียวเท่านั้น แล้วเราจะเป็นสากลได้อย่างไร?
เรื่องที่สอง คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาด กำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจต่างๆ ทั่วโลก
ทรงสร้างดุลกำลังทั้งทางการเมืองและทางการทหารอย่างชาญฉลาดล้ำ ทำให้สยามในยุคนั้นแม้ว่าตกอยู่ในท่ามกลางสายตาที่จ้องเขมือบอย่างแวววาวของนักล่าอาณานิคมหลุดรอดพ้นจากอุ้งมือของนักล่าอาณานิคมมาได้ ทำให้ไทยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
ทรงสร้างดุลทางการเมืองและทางการทหาร ทั้งกับทางอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ทรงทำให้ผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจเกิดความสมดุลขึ้นในดินแดนสยาม ต่างก็ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน จนไม่มีใครกล้าขยี้ขย้ำชาติของเราได้
ต่างกันอย่างลิบลับกับนักยุทธศาสตร์และนักการต่างประเทศรุ่นหลังที่เอาประเทศไทยไปผูกเข้ากับขาของมหาอำนาจบางชาติจนเสียดุลอำนาจระหว่างประเทศ และทำให้ไทยกลายเป็นประเทศ “สมุนรับใช้” ของมหาอำนาจหลายยุคหลายสมัย
เรื่องที่สาม คือการวางรากฐานการพัฒนาประเทศไทย ชูธงชัยผืนใหญ่สองผืนขึ้นนำพาชาติ คือความพยายามที่จะมุ่งสร้างชาติเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมผืนหนึ่ง และความพยายามที่จะมุ่งสร้างชาติเป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการอีกผืนหนึ่ง
ธงชัยที่ชี้ทิศนำทางประเทศไทยทั้งสองผืนใหญ่นี้ล้วนสอดคล้องรองรับกับความเป็นจริงของประเทศไทย เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของมหาชนชาวสยามโดยแท้ เป็นการนำจุดเด่นของประเทศชาติเข้าสู่การแข่งขันในยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ
ความรุ่งเรืองไพบูลย์แห่งยุคสมัยของพระองค์คือผลิตผลแห่งความสำเร็จของการใช้ธงชัยผืนใหญ่สองผืนชี้นำพาประเทศของเรา ทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างมาแล้ว อันควรที่ชนชาวไทยรุ่นหลังจะได้น้อมนำผลผลึกแห่งภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านและบรรพบุรุษไทยในยุคนั้นมาใช้ในการฟื้นฟูชาติครั้งใหม่สืบไป
เสียดายนักสิ้นยุคสมัยของพระองค์ท่านแล้ว พวกนักเรียนหัวนอกที่ในหัวมีแต่เศษขยะของฝรั่งล้มล้างธงชัยผืนใหญ่ทั้งสองผืนของพระองค์ท่านอย่างสิ้นเชิง และกำหนดทิศทางใหม่ของประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามแบบอย่างตะวันตก
ซึ่งประเทศไทยไม่มีรากฐานใด ๆ เลย ผลประโยชน์ตกได้แก่คนไทยเฉพาะค่าเช่าที่ดินราคาถูกและค่าแรงราคาถูกเท่านั้น โดยแลกเอามลภาวะที่เป็นพิษทั้งที่เกิดขึ้นกับผืนดิน แผ่นน้ำและน่านฟ้าของเรา ทำให้บ้านเมืองของเราตกอยู่ในวิกฤตใหญ่ของมลภาวะที่เป็นพิษและทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องได้ข้อสรุปว่าหนทางอุตสาหกรรมที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ไม่สามารถนำพาชาติไปสู่ความรุ่งเรืองไพบูลย์ได้ มีแต่ความหายนะเป็นเบื้องหน้าโดยแน่แท้
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องเชิดชูธงชัยผืนใหญ่ทั้งสองผืนของพระองค์ท่านมานำพาชาติบ้านเมืองเพื่อการกอบกู้ฟื้นฟูชาติของเราต่อไป
เรื่องที่สี่ คือการสร้างความมั่งคั่งและอยู่ดีกินดีแก่ชาวสยามโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่เรื่องที่พูดหาเสียงหรือนโยบายหลอกลวงแบบลม ๆ แล้ง ๆ ที่ดำเนินมาร่วมร้อยปีแล้ว และหนักหนาสาหัสขึ้นตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้
ทรงเล็งเห็นด้วยพระปรีชาญาณอันประเสริฐหลังจากเสด็จกลับจากการประพาสยุโรปแล้วว่าสยามและชาวสยามไม่มีทางพ้นจากความยากจน ไม่มีทางที่จะมีฐานะ ตราบใดที่ประเทศนี้ไม่มี Real Estate หรือฐานะที่แท้จริงของราษฎร
Real Estate ที่ว่านี้เป็นคำที่ใช้ในยุโรปสมัยนั้น คือฐานะที่แท้จริงของประชาชนโดยถือเอาจากฐานะการครองที่ดิน ซึ่งรัฐออกโฉนดที่ดินให้
สยามเวลานั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ ที่ดินจึงไม่มีค่าไม่มีราคาและไม่เป็นหลักประกันในการใช้ประโยชน์ที่แน่นอน ไม่ใช่สิ่งแสดงฐานะที่แท้จริง คำว่าศักดินาเท่านี้เท่านั้นไร่หาได้มีผืนนาแท้จริงไม่ หรือที่มีพระราชทานบ้างก็เป็นแต่กว้าง ๆ ไม่มีเอกสารสิทธิ์
จึงทรงพระราชดำริให้เดินสำรวจและออกโฉนดที่ดินให้แก่ชาวสยาม ทำให้ผืนแผ่นดินของพระองค์มีราคา เป็นฐานะที่มั่นคงของราษฎรทั้งในการทำ การใช้ประโยชน์ในทุกด้าน
วันนี้ที่ดิน 2 ใน 3 ของประเทศไทยถูกยึดครองโดยส่วนราชการ ไม่สามารถลงทุนหรือเป็นทรัพย์สินของราษฎรได้ เท่ากับพระบรมราชปณิธานของพระองค์ถูกบิดเบือนเบี่ยงเบนไปแล้ว
หากที่ดิน 2 ใน 3 ของประเทศเป็นเช่นนี้ ไทยและชาวไทยไม่มีทางพ้นจากความยากจน จึงถึงเวลาที่จะต้องฟื้นฟูพระบรมราโชบายประการนี้ขึ้นมาใหม่ คืนความเป็นธรรมให้ราษฎร
ในวาระเช่นนี้จึงขอเชิญชวนพี่น้องผองไทยร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในประการต่าง ๆ ดังได้แสดงมานี้.