ครม.เห็นของร่างพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 23 ธ.ค.แล้ว พร้อมประกาศปฏิทินเลือกตั้งรับสมัคร ส.ส.สัดส่วน 7-11 พ.ย. แบบแบ่งเขต 12-16 พ.ย. ด้าน “สุรยุทธ์” คาดนำพ.ร.ฎ.ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันให้กฤษฎีกาตีความสถานะรัฐบาล หลังพ.ร.ฎ.มีผลบังคับใช้ ต้องทำตาม รธน.มาตรา 181 หรือไม่ ส่วน กกต.มีมติแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วน 8 กลุ่มจังหวัดแล้ว ยึดรูปแบบที่ 1 ที่มี 21 พรรคกาารเมืองให้ความเห็นชอบ
นายสุทธิพล ทวีชัการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต. ) ให้สัมภาษณ์ วานนี้ (16 ต.ค.) ภายหลังเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม ครม. เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันเลือกตั้ง ว่าที่ประชุม ครม.มีมติกำหนดให้วันที่ 23 ธ.ค. 2550 เป็นวันเลือกตั้ง ตามที่ กกต.เสนอแล้ว ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายหลังวันที่ 23 ต.ค.
ส่วนหน้าที่ของรัฐบาลหลังจากที่พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งออกมาจะมีบทบาทหน้าที่อย่างไรนั้น ก็คงต้องไปปรึกษากับคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทาง กกต.เองก็ต้องการให้มีการช่วยกันประชาสัมพันธ์ว่า ในระหว่างวันที่ 22 ต.ค.-22 พ.ย.นี้เป็นช่วงของการไปลงทะเบียนของผู้ที่ต้องการที่จะไปใช้สิทธิ เลือกตั้งนอกพื้นที่ โดยคนที่ต้องการลงทะเบียนสามารถนำบัตรประชาชนไปแจ้งต่อ เจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องตามเขตต่างๆ ได้
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อ พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง มีผลบังคับใช้แล้ว กกต.จะต้องเปิดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ภายใน 20 วันนับจากวันที่ พ.ร.ฎ.ประกาศในราชกิจจาและมีผลบังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในวันที่ 24 ต.ค.และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ต.ค. และในวันที่ 23 ธ.ค.จะมีการเลือกตั้ง ทั้งนี้จะมีการเปิดรับสมัครแบบสัดส่วนเป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 7-11 พ.ย. และรับสมัครแบบแบ่งเขต 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-16 พ.ย.
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจะสามารถนำร่าง พ.ร.ฎ. กำหนดวันเลือกตั้ง ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้ ภายในสัปดาห์นี้ และได้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยตีความว่า เมื่อ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว รัฐบาลจะเป็นรัฐบาลรักษาการ และจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ที่จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือ อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ จะต้องขออนุญาตจาก กกต. หรือไม่ เพราะขณะนี้นักกฎหมายมีความเห็นเป็น 2 ด้าน จึงได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยบอกว่า สถานะของรัฐบาลหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
“คงเป็นแนวที่ถือว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องปฎิบัติงานตามปกติ ตามรัฐบธรรมนูญกำหนด แต่ถ้ามีนักกฎหมายมาบอกว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากแนวทางปกติ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่ง ที่ต้องรอฟังคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้ แต่รัฐบาลก็คงไม่อยู่เฉย คงทำงานที่มีความต่อเนื่อง แต่ก็ถือว่าเป็นต้องมีมารยาท ที่จะไม่กำหนดนโยบายที่เป็นนโยบายใหม่ๆ”
วันเดียวกัน มีการประชุม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เป็นประธานการประชุม
นาย นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้งแถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมตเลือกแบบการแบ่งเขตส.ส.สัดส่วน 8 กลุ่มรูปแบบที่ 1 ที่มีพรรคการเมืองเห็นชอบมากที่สุด 21 พรรค อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมัชฌิมา หรือ มัชฌิมาธิปไตย พรรคประชามติ พรรคประชากรไทย พรรคประชาราช พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังแผ่นดิน เป็นต้น รวมทั้งยังเห็นว่ารูปแบบดังกล่าว มีจำนวนสัดส่วนประชากรใกล้เคียงกันมากที่สุดด้วย โดยหลังจากนี้ กกต.จะนำประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ และภายหลังมี พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งก็จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง
นอกจากนี้กกต.ยังมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง คือ ร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนการจับเบอร์ของผู้สมัคร ส.ส.เขต และส.ส.สัดส่วน ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขต กรรมการการเลือกตั้งประจำเขต ร่างระเบียบค่าตอบแทนกรรมการประจำเขต ซึ่งกกต.จะนำประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ส่วนการพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. 157 เขตที่จังหวัดซึ่งมีเกิน 1 เขตเลือกตั้ง และต้องแบ่งใหม่ 45 จังหวัดนั้น กกต.ก็จะทยอย พิจารณาและประกาศเนื่องจากขณะนี้มีผู้ยื่นหนังสือคัดค้านการเสนอรูปแบบ การแบ่งเขตของกกต. จังหวัดมายังกกต.กลางจำนวนมาก
สำหรับการกำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งขณะนี้ต้องรอดูว่าร่า งพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด แต่คาดว่าวันสมัครรับเลือกตั้งน่าจะเป็นช่วงต้นเดือน พ.ย. ซึ่งกกต. และที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายเห็นว่าการกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงระยะเวลา 30 วันก่อนวันเลือกตั้งแม้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ผู้ที่จะมีสิทธิ์สมัครต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 30 วันจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องคุณสมบัติ แต่การประกาศรับสมัคร เป็นหน้าที่ของกกต. และหากเลื่อนระยะเวลาออกไปก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานด้านอื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการแบ่งเขตส.ส.แบบสัดส่วน8 กลุ่มจังหวัดรูปแบบที่ 1 ที่กกต.เห็นชอบนั้น กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วย 11 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,615,610 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คนได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง ลำพูน แพร่ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร
กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วย 9 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,897,563 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก อุทัยธานี เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น
กลุ่มที่ 3 ประกอบด้วย 10 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,959,163 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานีหนองคาย นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ มหาสารคาม กลุ่มที่ 4 ประกอบด้วย 6 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,992,434 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 51 คน ได้แก่ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
กลุ่มที่ 5 ประกอบด้วย 10 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,818,710 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ นครราชสีมา นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด กลุ่มที่ 6 ประกอบด้วย 3 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,802,639 คน คิดเป็นจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต 49 คน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สุมทรปราการ
กลุ่มที่ 7 ประกอบด้วย 15 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,800,965 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 48 คน ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุมทรสาคร สุมทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง
และกลุ่มที่ 8 ประกอบด้วย 12 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,941,622 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 52 คน ได้แก่ สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
นายสุทธิพล ทวีชัการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต. ) ให้สัมภาษณ์ วานนี้ (16 ต.ค.) ภายหลังเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม ครม. เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันเลือกตั้ง ว่าที่ประชุม ครม.มีมติกำหนดให้วันที่ 23 ธ.ค. 2550 เป็นวันเลือกตั้ง ตามที่ กกต.เสนอแล้ว ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายหลังวันที่ 23 ต.ค.
ส่วนหน้าที่ของรัฐบาลหลังจากที่พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งออกมาจะมีบทบาทหน้าที่อย่างไรนั้น ก็คงต้องไปปรึกษากับคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทาง กกต.เองก็ต้องการให้มีการช่วยกันประชาสัมพันธ์ว่า ในระหว่างวันที่ 22 ต.ค.-22 พ.ย.นี้เป็นช่วงของการไปลงทะเบียนของผู้ที่ต้องการที่จะไปใช้สิทธิ เลือกตั้งนอกพื้นที่ โดยคนที่ต้องการลงทะเบียนสามารถนำบัตรประชาชนไปแจ้งต่อ เจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องตามเขตต่างๆ ได้
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อ พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง มีผลบังคับใช้แล้ว กกต.จะต้องเปิดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ภายใน 20 วันนับจากวันที่ พ.ร.ฎ.ประกาศในราชกิจจาและมีผลบังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในวันที่ 24 ต.ค.และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ต.ค. และในวันที่ 23 ธ.ค.จะมีการเลือกตั้ง ทั้งนี้จะมีการเปิดรับสมัครแบบสัดส่วนเป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 7-11 พ.ย. และรับสมัครแบบแบ่งเขต 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-16 พ.ย.
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจะสามารถนำร่าง พ.ร.ฎ. กำหนดวันเลือกตั้ง ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้ ภายในสัปดาห์นี้ และได้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยตีความว่า เมื่อ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว รัฐบาลจะเป็นรัฐบาลรักษาการ และจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ที่จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือ อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ จะต้องขออนุญาตจาก กกต. หรือไม่ เพราะขณะนี้นักกฎหมายมีความเห็นเป็น 2 ด้าน จึงได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยบอกว่า สถานะของรัฐบาลหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
“คงเป็นแนวที่ถือว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องปฎิบัติงานตามปกติ ตามรัฐบธรรมนูญกำหนด แต่ถ้ามีนักกฎหมายมาบอกว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากแนวทางปกติ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่ง ที่ต้องรอฟังคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้ แต่รัฐบาลก็คงไม่อยู่เฉย คงทำงานที่มีความต่อเนื่อง แต่ก็ถือว่าเป็นต้องมีมารยาท ที่จะไม่กำหนดนโยบายที่เป็นนโยบายใหม่ๆ”
วันเดียวกัน มีการประชุม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เป็นประธานการประชุม
นาย นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้งแถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมตเลือกแบบการแบ่งเขตส.ส.สัดส่วน 8 กลุ่มรูปแบบที่ 1 ที่มีพรรคการเมืองเห็นชอบมากที่สุด 21 พรรค อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมัชฌิมา หรือ มัชฌิมาธิปไตย พรรคประชามติ พรรคประชากรไทย พรรคประชาราช พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังแผ่นดิน เป็นต้น รวมทั้งยังเห็นว่ารูปแบบดังกล่าว มีจำนวนสัดส่วนประชากรใกล้เคียงกันมากที่สุดด้วย โดยหลังจากนี้ กกต.จะนำประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ และภายหลังมี พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งก็จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง
นอกจากนี้กกต.ยังมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง คือ ร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนการจับเบอร์ของผู้สมัคร ส.ส.เขต และส.ส.สัดส่วน ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขต กรรมการการเลือกตั้งประจำเขต ร่างระเบียบค่าตอบแทนกรรมการประจำเขต ซึ่งกกต.จะนำประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ส่วนการพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. 157 เขตที่จังหวัดซึ่งมีเกิน 1 เขตเลือกตั้ง และต้องแบ่งใหม่ 45 จังหวัดนั้น กกต.ก็จะทยอย พิจารณาและประกาศเนื่องจากขณะนี้มีผู้ยื่นหนังสือคัดค้านการเสนอรูปแบบ การแบ่งเขตของกกต. จังหวัดมายังกกต.กลางจำนวนมาก
สำหรับการกำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งขณะนี้ต้องรอดูว่าร่า งพ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด แต่คาดว่าวันสมัครรับเลือกตั้งน่าจะเป็นช่วงต้นเดือน พ.ย. ซึ่งกกต. และที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายเห็นว่าการกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงระยะเวลา 30 วันก่อนวันเลือกตั้งแม้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ผู้ที่จะมีสิทธิ์สมัครต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 30 วันจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องคุณสมบัติ แต่การประกาศรับสมัคร เป็นหน้าที่ของกกต. และหากเลื่อนระยะเวลาออกไปก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานด้านอื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการแบ่งเขตส.ส.แบบสัดส่วน8 กลุ่มจังหวัดรูปแบบที่ 1 ที่กกต.เห็นชอบนั้น กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วย 11 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,615,610 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คนได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง ลำพูน แพร่ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร
กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วย 9 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,897,563 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก อุทัยธานี เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น
กลุ่มที่ 3 ประกอบด้วย 10 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,959,163 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานีหนองคาย นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ มหาสารคาม กลุ่มที่ 4 ประกอบด้วย 6 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,992,434 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 51 คน ได้แก่ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
กลุ่มที่ 5 ประกอบด้วย 10 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,818,710 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 50 คน ได้แก่ นครราชสีมา นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด กลุ่มที่ 6 ประกอบด้วย 3 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,802,639 คน คิดเป็นจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต 49 คน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สุมทรปราการ
กลุ่มที่ 7 ประกอบด้วย 15 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,800,965 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 48 คน ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุมทรสาคร สุมทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง
และกลุ่มที่ 8 ประกอบด้วย 12 จังหวัด จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวัดรวม 7,941,622 คน คิดเป็นจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขต 52 คน ได้แก่ สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส