“สนธิ” เหลืออดเฉ่ง “สุรยุทธ์” โจรอมของกลาง พร้อมเปิดโปงสื่อรับใช้กลุ่มทุน ชี้ “เซ็นทรัล” ต้นตอความวุ่นวาย-แตกแยกในกลาโหม อัด “สมเจตน์” รับแผนมาทำลาย “บรรณวิทย์” จวก “บุญรอด” สองมาตรฐาน รับลูกสอบ “องค์การแบตเตอรี่เจ๊ง” เมินสอบรถหุ้มเกราะยูเครน ทั้งที่มีเอกสารท้วงติงจาก สตง.เช่นกัน ประกาศเลิกเป็นเครื่องมือใคร ปล่อย “แม้ว”-“ขิงแก่” ชิงอำนาจกันเอง
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ออกอากาศทางเอเอสทีวี ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล วานนี้(12ต.ค.) ในช่วงแรกนายสนธิ ได้ตำหนิบทบาทของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อของรัฐที่ไม่ยอมถ่ายทอดการอภิปรายซักฟอกด้านจริยธรรมของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีกรณีครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยง โดยมิชอบ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า บรรยากาศแบบนี้เหมือนในยุคปี 2548 -2549 ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่นึกว่า บรรยากาศแบบนี้จะกลับมาอีกครั้ง เพราะเวลานี้ คนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เคยกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าปิดหูปิดตาประชาชนกลับใช้วิธีแบบเดียวกัน
นายสนธิ ได้ย้อนคำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เคยพูดว่า หากพิสูจน์ว่าการครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงไม่ถูกต้องก็จะลาออก แต่ล่าสุดกลับพูดว่าถ้าพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้องก็จะคืนให้ แต่ไม่ลาออก พร้อมระบุว่าที่พูดอย่างนี้เดี๋ยวจะหาว่าต้องการให้ลาออกอีก เพียงแต่ต้องการทบทวนให้ฟังเท่านั้น
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมากลุ่มที่ออกมาเปิดโปงเรื่องเขายายเที่ยงและเรื่อง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จดทะเบียนสมรสซ้อนเป็นคนแรกคือคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่ตนเป็นคนออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ เนื่องจากตอนนั้นเห็นว่าต้องการให้โอกาสไปทำงานใหญ่เพื่อบ้านเมืองต้องให้อภัย แต่ในที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่ได้ทำงาน มัวแต่ใส่เกียร์ว่างก็ต้องตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม
“ถ้าไปรุกป่าสงวนฯ แล้วไปทำงานเพื่อชาติ ไปทำเรื่องที่ใหญ่กว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าโจรกลับใจ แต่ขณะเดียวกันถ้าไม่ทำอะไร ยังเกียร์ว่างอยู่อย่างนี้ เขาเรียกว่าโจรอมของกลาง”
นายสนธิ กล่าวว่า รู้สึกตลกที่ตอนนั้นตนเองเป็นคนที่ออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และคนของพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์
แฉ“โพสต์ทูเดย์”รับใบสั่ง
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตกรณี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม และ ผอ.สำนักงานเลขาธิการ คมช. ใช้ฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลุกขึ้นมาอภิปราย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เรื่องการบริหารองค์การแบตเตอรี ทั้งที่ในเวลานั้นสภากำลังอภิปรายเรื่องจริยธรรมของ พล.อ.สุรยุทธ์ โดยในทางที่ถูกต้องหาก พล.อ.สมเจตน์ ต้องการจะปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ และรัฐบาลก็สามารถทำได้ แต่นี่กลับไปอภิปราย พล.ร.อ.บรรณวิทย์
พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังได้ตั้งข้อสังเกตในช่วงเวลาที่ พล.อ.สมเจตน์ อภิปรายในสภาเป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยงคืน แต่กลับมีหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวคือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ พาดหัวข่าวว่า “เชือดบรรณวิทย์คาสภา” ซึ่งจากประสบการณ์การทำหนังสือพิมพ์มานานในช่วงเวลาแบบนี้จะลงข่าวได้ทันเป็นไปไม่ได้ เพราะเปรียบเทียบในหลายฉบับอื่นๆไม่มีใครลงข่าวนี้ได้ทัน นอกจากโพสต์ทูเดย์เพียงฉบับเดียวที่รับงานมาโจมตี พล.ร.อ.บรรณวิทย์
“หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ก็เป็นของกลุ่มจิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของห้างเซ็นทรัล ที่มี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล และ พล.อ.สมเจตน์ สนับสนุน ซึ่งมีสาเหตุมาจากถูก พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เปิดโปง ขัดขวางการเช่าที่ดินของการรถไฟของห้างเซ็นทรัล แถมยังมีการลง
ข่าวโฆษณาชวนเชื่อเปรียบเทียบกรณีเซ็นเตอร์พอยต์แค่พันล้านบาทเท่านั้น”นายสนธิ กล่าว และว่า ในวันอภิปราย บก.ของโพสต์ทูเดย์ ยังไปนั่งอยู่กับ พล.อ.สมเจตน์ นอกห้องประชุมด้วย
นายสนธิ กล่าวว่า การเสนอข่าวแบบนี้เพื่อชี้ให้เห็นความชอบธรรมในการต่อสัญญาเช่าที่การรถไฟของห้างเซ็นทรัลต่อไป ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วบริเวณเซ็นเตอร์พอยต์ไม่มีอาคารสูง แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่การต่อสัญญาเช่าของห้างมาบุญครองที่ต่อสัญญา 20 ปี ในราคา 2 หมื่นล้าน ขณะที่ ห้างเซ็นทรัลซึ่งมีพื้นที่มากกว่ามาบุญครอง 3 เท่า หากมีการประเมินราคาแล้วต้องเช่าในราคาไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้าน
“ความขัดแย้งในกระทรวงกลาโหมในเวลานี้มีสาเหตุมาจากเรื่องการเช่าที่ดินของห้างเซ็นทรัล ที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ไปขัดขวาง เนื่องจากเห็นว่าเมื่อหมดสัญญาต้องมีการประมูลใหม่ แต่เซ็นทรัลกลับไปวิ่งเต้นไม่ต้องการให้ประมูลใหม่ โดยไปวิ่งเต้นกับพล.อ.วินัย ประธานการรถไฟฯ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รมว.คมนาคม และ นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รมช.คมนาคม ผมก็ไม่รู้ว่ามีเงินตกหล่นเป็นพันล้านหรือไม่”นายสนธิ ระบุ
อัด“บุญรอด”เลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ นายสนธิยังได้ตำหนิ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เลือกปฏิบัติ โดยอ้างว่าสาเหตุที่ต้องย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ พ้นรองปลัดกลาโหม เพราะไปวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา แต่กรณี พล.อ.สมเจตน์ ไปวิจารณ์ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาเหมือนกันเมื่อเทียบตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม กลับไม่สั่งย้าย พล.อ.สมเจตน์
นอกจากนี้ พล.อ.บุญรอด ยังรับลูกที่จะเร่งสอบสวน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กรณีบริหารองค์การแบตเตอรี่ โดยอ้างว่าได้รับรายงานจาก สตง. แต่กรณีการซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางยูเครนที่ สตง.ท้วงติงเช่นกัน พล.อ.บุญรอดกลับไม่ตั้งกรรมการสอบสวน
นายสนธิ ยังยกตัวอย่างกรณีที่มีการวิจารณ์เรื่องการตั้งน้องเมีย พล.อ.วินัย เป็นเจ้ากรมพลังงานทหาร พล.อ.สมเจตน์ ก็อ้างว่า เจ้ากรมคนเก่าไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มีหลักฐานชัดเจน แต่ถ้าจะเอาเรื่องก็จะรุนแรงไป ซึ่งกรณีอย่างนี้ทำไม พล.อ.บุญรอดไม่ตั้งกรรมการสอบสวน พล.อ.สนธิ พล.อ.วินัย เรื่องการทุจริตของเจ้ากรมฯ ด้วย
“ผมถาม พล.อ.บุญรอดท่านก็อายุมากแล้ว ทำไมไม่เป็นหลักให้กระทรวงกลาโหม ให้รุ่นน้องได้เคารพในความเที่ยงตรง ทั้งหมดล้วนเกิดจากการเช่าที่ดินของห้างเซ็นทรัล ทำเหมือนว่าตระกูลจิราธิวัฒน์กำลังจะเป็นเจ้าของกระทรวงกลาโหมไปแล้ว”นายสนธิ กล่าว และว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ผิดตรงไหนที่ต้องการให้คนรวยจ่ายค่าเช่าให้รัฐแพงขึ้นโดยการเปิดประมูลเท่านั้น ทำไมผู้มีอำนาจในกระทรวงกลาโหมต้องออกมายุ่งในเรื่องนี้
ในช่วงที่สองของรายการ นายสนธิ ได้หยิบยกตำนานเรื่องสามก๊ก ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในบ้านเมืองในขณะนี้ โดยเล่าถึงประวัติคน 2 คนในอดีตชื่อ ซุยเป๋ง และขงเบ้ง ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนเริ่มยุคสามก๊ก แผ่นดินจีนเกิดความแตกแยก เล่าปี่ต้องการจะตั้งตัวจึงไปหา ซุยเป๋ง ให้มาช่วย แต่ซุยเป๋งไม่ยอมช่วย จึงไปหาขงเบ้ง และขงเบ้งทนความอ้อนวอนเล่าปี่ไม่ไหวเลยต้องออกมาช่วย เป็นเหตุให้มีการรบรากันฆ่าฟันกันตายไปกว่า 2-3 ล้านคน และขงเบ้งก็ยืดอายุราชวงศ์ฮั่นไปได้ 40 กว่าปีเท่านั้น แต่ต้องมีต้นทุนในการฆ่าคนกว่า 2-3 ล้านคน ในที่สุดราชวงศ์ฮั่นก็ล่มสลายอยู่ดี
“ต้องถือว่าซุยเป๋งเหนือกว่าขงเบ้งจริงๆ เห็นสัจธรรม คล้ายๆ ไหมท่านผู้ชม บางครั้งการที่เราออกมาสู้ ผมมองย้อนหลังแล้ว เราน่าจะยึดหลักซุยเป๋งมากกว่า ปล่อยให้เขาฆ่ากันเองสิ้นเรื่องสิ้นราว”นายสนธิกล่าว และว่า วันนี้เราไม่ได้อยู่ตรงกลางเขาควายแล้ว เขาไม่ยอมตั้ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก เหตุผลอันแรก พล.อ.สพรั่ง ยืนข้างพันธมิตรฯ ผู้ใหญ่ไม่พอใจ อันที่ 2 เป็นนิสัยส่วนตัว เพราะว่า ไม่ชอบ หาว่า พล.อ.สพรั่ง ทำตัวให้เด่น อันที่ 3 เป็นไปได้สูงว่า อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ทำมาหากินแล้วก็แบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้หลักผู้ใหญ่
ปรับยุทธศาสตร์-ปล่อย “ขิงแก่”-“แม้ว”ชิงอำนาจเอง
“วันนี้เรามาทบทวนบทเรียนต่างๆ ของเราแล้ว พ่อแม่พี่น้องถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากันเอง ...คิดให้ดีๆ พี่น้อง ยุทธศาสตร์เราผิดหรือเปล่า ยุทธวิธีเราผิดหรือเปล่า ทำไมเราไม่ถอยออกมา อุปมาอุปไมยเหมือนสามก๊กเลย เราถอยมาก๊กหนึ่ง เราไม่ยุ่ง เราดูแลซึ่งกันและกันให้ดี สามัคคีกันให้ดี ปกป้องพวกเรากันให้ดี อย่าให้ใครมารังแกพวกเรา ส่วนการแย่งชิงอำนาจให้ระบอบทักษิณกับพวกเขาชิงกันเอง ให้เขาฆ่าฟันกันเอาเอง”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พวกเราต้องออมกำลังสนับสนุนทหารที่เป็นมืออาชีพและซื่อสัตย์ ส่วนพวกที่เป็นทหารจอมปลอมก็ปล่อยให้ไปแย่งกันกินกันให้เสร็จสรรพก่อน ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเป็นตัวแทนรบแทนให้ ครั้งนี้ไม่ใช่การถอยเพื่อการยอมแพ้ แต่เป็นการถอยเพื่อรุก ต้องปล่อยวางบ้าง จะโกงกินอย่างไรก็ปล่อยไป ที่ผ่านมาเราต่อสู้มาทุกอย่างไม่ได้อะไร โดนดูถูกเหยียดหยามทุกอย่าง ดังนั้นจากนี้ไปจนถึงปี 2552 จะเป็นช่วงการรวมตัวของบุคคลที่อยู่ในแนวความคิดเดียวกัน ต้องให้การศึกษา และจุดยืนที่มั่นคง เรามาดูแลกันเพื่อบ้านเพื่อเมืองดีกว่า โดยเฉพาะรายการยามเฝ้าแผ่นดิน จะคงอยู่เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เราะจะต้องทบทวนบทบาท อย่าไปเป็นเครื่องมือใครอีกต่อไป ถ้าวันนี้ทักษิณจะกลับให้เขากลับมาเลย พรรคพลังประชาชนหาเสียงสนามหลวง พวกเราอยู่เฉยๆ อย่าไปสนใจ วันนี้จะชมพล.อ.สุรยุทธ์ จะด่า พล.อ.สนธิ ก็ด่าไป เราต้องรวมตัวรวมใจให้รู้ว่าเราคือ"บางระจัน"ตัวจริง เป็น"บางระจันยุคดิจิตอล" วันนี้เราต้องเลือกอยู่ในชุมชนที่ถูกต้อง ต้องหลอมความดี อุดมการณ์ และความเอื้ออาทรต่อกัน นี่คือการต่อสู้ที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธี เนื่องจากหากเราหยุดนิ่งปล่อยให้ถูกปะทะเช่นนี้เรื่อยไป ความจริงคงไม่ปรากฏ ที่สำคัญหากวันหนึ่งระบอบทักษิณ กลับมา เราจะไม่ออกไปยุ่งแน่ ที่สำคัญขอวิงวอนประชาชนให้เลิกยืนบนท่ามกลางเขาควาย ปล่อยให้เขาปะทะกันเอง เราต้องสร้างความสามัคคีขึ้นเป็นเกราะ
อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายรายการ นายสนธิ ได้หยิบแถบกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยข้างหลังลงชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฝากถึง พล.อ.สุรยทธ์ จุลานนท์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และนายทหารยศพลเอกอีกหลายต่อหลายท่าน นี่คือแถบกำนันผู้ใหญ่บ้าน อยากให้ พล.อ.สุรยุทธ์ เห็นและระลึกถึง มันถึงเวลาที่เราจะต้องประกาศอย่างเป็นทางการ ว่า เราต้องมาอยู่รวมกัน สร้างปัญญา พร้อมทั้งขยายขอบเขตอำนาจออกไป ปล่อยให้พวกมีอำนาจต่อสู้กันเอง เมื่อไหร่เราพร้อมก็กลับมาสู่การต่อสู้เพื่ออำนาจที่ถูกต้องอีกครั้ง
“ที่เขาเสนอหน้าขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็เป็นต้นทุนที่เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาทั้งนั้น ผมเป็นคนเล่นไพ่แล้วมักจะไม่ซ้อนไพ่ หากท่านคิดว่า ไปด้วยกันไม่ได้ก็ขอให้เดินออกไป ไม่ต้องดูเอเอสทีวี แต่เมื่อใดหากท่านคิดว่าอุดมการณ์และเจตนารมณ์ตรงกันแล้วอยากมาเข้าร่วมอีกครั้ง ผมก็ยังต้อนรับอยู่เสมอ”นายสนธิ กล่าว
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ออกอากาศทางเอเอสทีวี ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล วานนี้(12ต.ค.) ในช่วงแรกนายสนธิ ได้ตำหนิบทบาทของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อของรัฐที่ไม่ยอมถ่ายทอดการอภิปรายซักฟอกด้านจริยธรรมของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีกรณีครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยง โดยมิชอบ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า บรรยากาศแบบนี้เหมือนในยุคปี 2548 -2549 ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่นึกว่า บรรยากาศแบบนี้จะกลับมาอีกครั้ง เพราะเวลานี้ คนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เคยกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าปิดหูปิดตาประชาชนกลับใช้วิธีแบบเดียวกัน
นายสนธิ ได้ย้อนคำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เคยพูดว่า หากพิสูจน์ว่าการครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงไม่ถูกต้องก็จะลาออก แต่ล่าสุดกลับพูดว่าถ้าพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้องก็จะคืนให้ แต่ไม่ลาออก พร้อมระบุว่าที่พูดอย่างนี้เดี๋ยวจะหาว่าต้องการให้ลาออกอีก เพียงแต่ต้องการทบทวนให้ฟังเท่านั้น
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมากลุ่มที่ออกมาเปิดโปงเรื่องเขายายเที่ยงและเรื่อง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จดทะเบียนสมรสซ้อนเป็นคนแรกคือคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่ตนเป็นคนออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ เนื่องจากตอนนั้นเห็นว่าต้องการให้โอกาสไปทำงานใหญ่เพื่อบ้านเมืองต้องให้อภัย แต่ในที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่ได้ทำงาน มัวแต่ใส่เกียร์ว่างก็ต้องตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม
“ถ้าไปรุกป่าสงวนฯ แล้วไปทำงานเพื่อชาติ ไปทำเรื่องที่ใหญ่กว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าโจรกลับใจ แต่ขณะเดียวกันถ้าไม่ทำอะไร ยังเกียร์ว่างอยู่อย่างนี้ เขาเรียกว่าโจรอมของกลาง”
นายสนธิ กล่าวว่า รู้สึกตลกที่ตอนนั้นตนเองเป็นคนที่ออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และคนของพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์
แฉ“โพสต์ทูเดย์”รับใบสั่ง
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตกรณี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม และ ผอ.สำนักงานเลขาธิการ คมช. ใช้ฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลุกขึ้นมาอภิปราย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เรื่องการบริหารองค์การแบตเตอรี ทั้งที่ในเวลานั้นสภากำลังอภิปรายเรื่องจริยธรรมของ พล.อ.สุรยุทธ์ โดยในทางที่ถูกต้องหาก พล.อ.สมเจตน์ ต้องการจะปกป้อง พล.อ.สุรยุทธ์ และรัฐบาลก็สามารถทำได้ แต่นี่กลับไปอภิปราย พล.ร.อ.บรรณวิทย์
พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังได้ตั้งข้อสังเกตในช่วงเวลาที่ พล.อ.สมเจตน์ อภิปรายในสภาเป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยงคืน แต่กลับมีหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวคือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ พาดหัวข่าวว่า “เชือดบรรณวิทย์คาสภา” ซึ่งจากประสบการณ์การทำหนังสือพิมพ์มานานในช่วงเวลาแบบนี้จะลงข่าวได้ทันเป็นไปไม่ได้ เพราะเปรียบเทียบในหลายฉบับอื่นๆไม่มีใครลงข่าวนี้ได้ทัน นอกจากโพสต์ทูเดย์เพียงฉบับเดียวที่รับงานมาโจมตี พล.ร.อ.บรรณวิทย์
“หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ก็เป็นของกลุ่มจิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของห้างเซ็นทรัล ที่มี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล และ พล.อ.สมเจตน์ สนับสนุน ซึ่งมีสาเหตุมาจากถูก พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เปิดโปง ขัดขวางการเช่าที่ดินของการรถไฟของห้างเซ็นทรัล แถมยังมีการลง
ข่าวโฆษณาชวนเชื่อเปรียบเทียบกรณีเซ็นเตอร์พอยต์แค่พันล้านบาทเท่านั้น”นายสนธิ กล่าว และว่า ในวันอภิปราย บก.ของโพสต์ทูเดย์ ยังไปนั่งอยู่กับ พล.อ.สมเจตน์ นอกห้องประชุมด้วย
นายสนธิ กล่าวว่า การเสนอข่าวแบบนี้เพื่อชี้ให้เห็นความชอบธรรมในการต่อสัญญาเช่าที่การรถไฟของห้างเซ็นทรัลต่อไป ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วบริเวณเซ็นเตอร์พอยต์ไม่มีอาคารสูง แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่การต่อสัญญาเช่าของห้างมาบุญครองที่ต่อสัญญา 20 ปี ในราคา 2 หมื่นล้าน ขณะที่ ห้างเซ็นทรัลซึ่งมีพื้นที่มากกว่ามาบุญครอง 3 เท่า หากมีการประเมินราคาแล้วต้องเช่าในราคาไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้าน
“ความขัดแย้งในกระทรวงกลาโหมในเวลานี้มีสาเหตุมาจากเรื่องการเช่าที่ดินของห้างเซ็นทรัล ที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ไปขัดขวาง เนื่องจากเห็นว่าเมื่อหมดสัญญาต้องมีการประมูลใหม่ แต่เซ็นทรัลกลับไปวิ่งเต้นไม่ต้องการให้ประมูลใหม่ โดยไปวิ่งเต้นกับพล.อ.วินัย ประธานการรถไฟฯ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รมว.คมนาคม และ นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รมช.คมนาคม ผมก็ไม่รู้ว่ามีเงินตกหล่นเป็นพันล้านหรือไม่”นายสนธิ ระบุ
อัด“บุญรอด”เลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ นายสนธิยังได้ตำหนิ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เลือกปฏิบัติ โดยอ้างว่าสาเหตุที่ต้องย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ พ้นรองปลัดกลาโหม เพราะไปวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา แต่กรณี พล.อ.สมเจตน์ ไปวิจารณ์ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาเหมือนกันเมื่อเทียบตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม กลับไม่สั่งย้าย พล.อ.สมเจตน์
นอกจากนี้ พล.อ.บุญรอด ยังรับลูกที่จะเร่งสอบสวน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กรณีบริหารองค์การแบตเตอรี่ โดยอ้างว่าได้รับรายงานจาก สตง. แต่กรณีการซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางยูเครนที่ สตง.ท้วงติงเช่นกัน พล.อ.บุญรอดกลับไม่ตั้งกรรมการสอบสวน
นายสนธิ ยังยกตัวอย่างกรณีที่มีการวิจารณ์เรื่องการตั้งน้องเมีย พล.อ.วินัย เป็นเจ้ากรมพลังงานทหาร พล.อ.สมเจตน์ ก็อ้างว่า เจ้ากรมคนเก่าไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มีหลักฐานชัดเจน แต่ถ้าจะเอาเรื่องก็จะรุนแรงไป ซึ่งกรณีอย่างนี้ทำไม พล.อ.บุญรอดไม่ตั้งกรรมการสอบสวน พล.อ.สนธิ พล.อ.วินัย เรื่องการทุจริตของเจ้ากรมฯ ด้วย
“ผมถาม พล.อ.บุญรอดท่านก็อายุมากแล้ว ทำไมไม่เป็นหลักให้กระทรวงกลาโหม ให้รุ่นน้องได้เคารพในความเที่ยงตรง ทั้งหมดล้วนเกิดจากการเช่าที่ดินของห้างเซ็นทรัล ทำเหมือนว่าตระกูลจิราธิวัฒน์กำลังจะเป็นเจ้าของกระทรวงกลาโหมไปแล้ว”นายสนธิ กล่าว และว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ผิดตรงไหนที่ต้องการให้คนรวยจ่ายค่าเช่าให้รัฐแพงขึ้นโดยการเปิดประมูลเท่านั้น ทำไมผู้มีอำนาจในกระทรวงกลาโหมต้องออกมายุ่งในเรื่องนี้
ในช่วงที่สองของรายการ นายสนธิ ได้หยิบยกตำนานเรื่องสามก๊ก ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในบ้านเมืองในขณะนี้ โดยเล่าถึงประวัติคน 2 คนในอดีตชื่อ ซุยเป๋ง และขงเบ้ง ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนเริ่มยุคสามก๊ก แผ่นดินจีนเกิดความแตกแยก เล่าปี่ต้องการจะตั้งตัวจึงไปหา ซุยเป๋ง ให้มาช่วย แต่ซุยเป๋งไม่ยอมช่วย จึงไปหาขงเบ้ง และขงเบ้งทนความอ้อนวอนเล่าปี่ไม่ไหวเลยต้องออกมาช่วย เป็นเหตุให้มีการรบรากันฆ่าฟันกันตายไปกว่า 2-3 ล้านคน และขงเบ้งก็ยืดอายุราชวงศ์ฮั่นไปได้ 40 กว่าปีเท่านั้น แต่ต้องมีต้นทุนในการฆ่าคนกว่า 2-3 ล้านคน ในที่สุดราชวงศ์ฮั่นก็ล่มสลายอยู่ดี
“ต้องถือว่าซุยเป๋งเหนือกว่าขงเบ้งจริงๆ เห็นสัจธรรม คล้ายๆ ไหมท่านผู้ชม บางครั้งการที่เราออกมาสู้ ผมมองย้อนหลังแล้ว เราน่าจะยึดหลักซุยเป๋งมากกว่า ปล่อยให้เขาฆ่ากันเองสิ้นเรื่องสิ้นราว”นายสนธิกล่าว และว่า วันนี้เราไม่ได้อยู่ตรงกลางเขาควายแล้ว เขาไม่ยอมตั้ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก เหตุผลอันแรก พล.อ.สพรั่ง ยืนข้างพันธมิตรฯ ผู้ใหญ่ไม่พอใจ อันที่ 2 เป็นนิสัยส่วนตัว เพราะว่า ไม่ชอบ หาว่า พล.อ.สพรั่ง ทำตัวให้เด่น อันที่ 3 เป็นไปได้สูงว่า อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ทำมาหากินแล้วก็แบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้หลักผู้ใหญ่
ปรับยุทธศาสตร์-ปล่อย “ขิงแก่”-“แม้ว”ชิงอำนาจเอง
“วันนี้เรามาทบทวนบทเรียนต่างๆ ของเราแล้ว พ่อแม่พี่น้องถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากันเอง ...คิดให้ดีๆ พี่น้อง ยุทธศาสตร์เราผิดหรือเปล่า ยุทธวิธีเราผิดหรือเปล่า ทำไมเราไม่ถอยออกมา อุปมาอุปไมยเหมือนสามก๊กเลย เราถอยมาก๊กหนึ่ง เราไม่ยุ่ง เราดูแลซึ่งกันและกันให้ดี สามัคคีกันให้ดี ปกป้องพวกเรากันให้ดี อย่าให้ใครมารังแกพวกเรา ส่วนการแย่งชิงอำนาจให้ระบอบทักษิณกับพวกเขาชิงกันเอง ให้เขาฆ่าฟันกันเอาเอง”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พวกเราต้องออมกำลังสนับสนุนทหารที่เป็นมืออาชีพและซื่อสัตย์ ส่วนพวกที่เป็นทหารจอมปลอมก็ปล่อยให้ไปแย่งกันกินกันให้เสร็จสรรพก่อน ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเป็นตัวแทนรบแทนให้ ครั้งนี้ไม่ใช่การถอยเพื่อการยอมแพ้ แต่เป็นการถอยเพื่อรุก ต้องปล่อยวางบ้าง จะโกงกินอย่างไรก็ปล่อยไป ที่ผ่านมาเราต่อสู้มาทุกอย่างไม่ได้อะไร โดนดูถูกเหยียดหยามทุกอย่าง ดังนั้นจากนี้ไปจนถึงปี 2552 จะเป็นช่วงการรวมตัวของบุคคลที่อยู่ในแนวความคิดเดียวกัน ต้องให้การศึกษา และจุดยืนที่มั่นคง เรามาดูแลกันเพื่อบ้านเพื่อเมืองดีกว่า โดยเฉพาะรายการยามเฝ้าแผ่นดิน จะคงอยู่เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เราะจะต้องทบทวนบทบาท อย่าไปเป็นเครื่องมือใครอีกต่อไป ถ้าวันนี้ทักษิณจะกลับให้เขากลับมาเลย พรรคพลังประชาชนหาเสียงสนามหลวง พวกเราอยู่เฉยๆ อย่าไปสนใจ วันนี้จะชมพล.อ.สุรยุทธ์ จะด่า พล.อ.สนธิ ก็ด่าไป เราต้องรวมตัวรวมใจให้รู้ว่าเราคือ"บางระจัน"ตัวจริง เป็น"บางระจันยุคดิจิตอล" วันนี้เราต้องเลือกอยู่ในชุมชนที่ถูกต้อง ต้องหลอมความดี อุดมการณ์ และความเอื้ออาทรต่อกัน นี่คือการต่อสู้ที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธี เนื่องจากหากเราหยุดนิ่งปล่อยให้ถูกปะทะเช่นนี้เรื่อยไป ความจริงคงไม่ปรากฏ ที่สำคัญหากวันหนึ่งระบอบทักษิณ กลับมา เราจะไม่ออกไปยุ่งแน่ ที่สำคัญขอวิงวอนประชาชนให้เลิกยืนบนท่ามกลางเขาควาย ปล่อยให้เขาปะทะกันเอง เราต้องสร้างความสามัคคีขึ้นเป็นเกราะ
อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายรายการ นายสนธิ ได้หยิบแถบกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยข้างหลังลงชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฝากถึง พล.อ.สุรยทธ์ จุลานนท์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และนายทหารยศพลเอกอีกหลายต่อหลายท่าน นี่คือแถบกำนันผู้ใหญ่บ้าน อยากให้ พล.อ.สุรยุทธ์ เห็นและระลึกถึง มันถึงเวลาที่เราจะต้องประกาศอย่างเป็นทางการ ว่า เราต้องมาอยู่รวมกัน สร้างปัญญา พร้อมทั้งขยายขอบเขตอำนาจออกไป ปล่อยให้พวกมีอำนาจต่อสู้กันเอง เมื่อไหร่เราพร้อมก็กลับมาสู่การต่อสู้เพื่ออำนาจที่ถูกต้องอีกครั้ง
“ที่เขาเสนอหน้าขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็เป็นต้นทุนที่เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาทั้งนั้น ผมเป็นคนเล่นไพ่แล้วมักจะไม่ซ้อนไพ่ หากท่านคิดว่า ไปด้วยกันไม่ได้ก็ขอให้เดินออกไป ไม่ต้องดูเอเอสทีวี แต่เมื่อใดหากท่านคิดว่าอุดมการณ์และเจตนารมณ์ตรงกันแล้วอยากมาเข้าร่วมอีกครั้ง ผมก็ยังต้อนรับอยู่เสมอ”นายสนธิ กล่าว