"ประสงค์"อัดรัฐบาลตอบเรื่องเขายายเที่ยง ไม่ตรงคำถาม ซัดนายกฯรู้ว่าผิด 11 เดือนแต่ไม่ทำอะไร ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เตรียมหารืออนุ กมธ.เอาผิดทางกฎหมาย ขณะที่เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น เข้าแจ้งความที่ขอนแก่นให้ดำเนินคดีนายกฯรุกป่าสงวนแล้ว ด้าน"สุรยุทธ์"ลั่นถ้าผิดพร้อมคืนที่ดิน แต่ไม่ลาออก อ้างที่ไม่ตอบคำถามเองเพราะไม่อยากให้ขัดแย้งมากขึ้น "บรรณวิทย์"แจงรัฐบาลแม้วตัวการทำองค์การแบตเตอรี่เจ๊ง เตรียมล่าชื่อเปิดอภิปรายทั่วไปอีกรอบ เผย"สพรั่ง"เตรียมลาออกจากทุกตำแหน่ง "แม้ว"เย้ย รัฐบาล-สนช. ฟัดกันเอง
น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรม จริยธรรม แก่นักการเมือง และประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงผลการชี้แจงของรัฐบาล กรณีญัตติจริยธรรม ว่า ญัตติของตนและคณะ ถือเป็นการทำหน้าที่ แต่การชี้แจงของนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กรณีบ้านพักเขายายเที่ยง ของพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีนั้น คิดว่าประชาชนและสื่อมวลชนรู้ดีว่า คำชี้แจงชัดเจนและสามารถแก้ข้อสงสัยต่างๆได้หรือไม่ ซึ่งตนสงสาร นายธีรภัทร์ ที่ไม่รู้เรื่อง และไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่ก็ชี้แจงไปตามที่ได้รับทราบมา
"เป็นคำชี้แจงที่ไม่ได้ตอบคำถาม แม้กระทั่งเรื่องที่มาของที่ดิน ขณะที่ชาวบ้านได้ที่ดินจากมติ ครม. ซึ่งตามข้อเท็จจริงพื้นที่บ้านของนายกฯ อยู่ห่างจากชาวบ้าน และอยู่ข้างบน ไม่มีหมู่บ้าน การเข้าไปอยู่ในป่าสงวนจึงผิดกฎหมายป่าสงวน แต่ท่านบอกว่า เป็นมติ ครม.ให้ชาวบ้านอยู่ได้ ขณะที่มติครม.ไม่ใช่กฎหมาย เพราะฉะนั้นคงไปลบล้าง พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติไม่ได้ และที่บอกว่า เป็นการซื้อขายสิทธิต่างๆ ผมก็อยากถามว่า การซื้อขายสิทธิที่คนมือต้นๆ เข้าไปบุกรุกป่าสงวน ก็ต้องผิดกฎหมาย การไปซื้อสิทธิมาก็เป็นของผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เมื่อท่านบอกว่าจะตรวจสอบดู ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี"
น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยว่า น่าเสียดายที่นายกฯทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.49 นั่นคือ ที่ดินมีปัญหาเกือบ 11 เดือน แต่ก็ไม่ได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปตรวจสอบ แต่เพิ่งบอกว่าจะให้มีการตรวจสอบ ซึ่งก็เป็นเรื่องของนายกฯ แต่ตนเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า สิ่งใดได้มาไม่ถูกต้องก็ควรจะแก้ไข
"ถ้าไม่ใช่ของเรา ก็คืนของเขาไปก็หมดเรื่อง การปล่อยให้ผ่านมา 11 เดือน ถ้าสมมติว่า มีคนหยิบยกขึ้นมาว่าท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ หรือไม่ ก็จะเป็นปัญหาทางกฎหมาย แต่เมื่อชี้แจง ตอบแล้วก็จบกันในสภาประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้" น.ต.ประสงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า ผลการชี้แจงของรัฐบาล สอบได้หรือสอบตก น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตนทำหน้าที่ของตน และรัฐบาลก็ทำตามหน้าที่ ตนจะให้คะแนนไม่ได้ ต้องให้ผู้ดู ผู้ชม ผู้ฟัง เป็นผู้ตัดสิน แต่ตนพอใจสนช.ทุกคนที่ลุกขึ้นอภิปราย มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน แต่ด้านผู้ชี้แจง ตนสงสาร นายธีรภัทร์ และเท่าที่ฟังคำชี้แจง ก็ไม่มีอะไรชัดเจน
**ส่งเขายายเที่ยงให้ป.ป.ช.สอบต่อ
เมื่อถามว่า การจบในสภาหมายความว่า อนุกมธ. ตำรวจและสิทธิมนุษยชน จะไม่ตรวจสอบใช่หรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า การชี้แจงซักถามจบแล้ว แต่ในแง่กฎหมายยังไม่จบ ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องเดินต่อไป และอนุฯ จะตรวจสอบ และมารายงาน กมธ.ชุดใหญ่ ทั้งนี้อะไรที่ผิดกฎหมาย แม้แต่ประชาชนก็สามารถหยิบยกขึ้นมาได้ โดยเฉพาะประชาชนที่มีญาติพี่น้องถูกจำคุก 10 ปี ซึ่งคนเหล่านี้ก็อยู่ในพื้นที่ต่ำลงมาจากบ้านนายกฯ มากกว่านี้ แต่ก็ถูกจับ ทั้งนี้ เรื่องนี้จะส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วย โดยวันที่ 15 ต.ค. นี้ อนุฯจะหารือกันว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนภาคประชาชนที่เดือดร้อนจากการจับกุม หรือไม่ถูกจับกุม ก็มีสิทธิ์ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ได้ 2 ทาง
เมื่อถามต่อว่า นายกฯจะตรวจสอบจะใช้เวลาเท่าไร น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ถามตนไม่ได้ แต่นายกฯ บอกเองว่าทราบตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 49 ดังนั้นถ้ารู้ว่ามีปัญหาก็ต้องตรวจสอบก่อน แต่ทำไมถึงปล่อยไว้จนถึงวันนี้ ไม่เช่นนั้นก็มีปัญหาอย่างนี้ ส่วนที่นายกฯ บอกว่า ควรจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องพิจารณาเอง
เมื่อถามว่าจะเคลียร์ได้ก่อนเลือกตั้งหรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯ มาถามตนไม่ได้ ส่วนจะกระทบกับการจัดเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่นั้นเพราะนายกฯ ยังติดปัญหาเรื่องนี้อยู่ ตนคิดว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การเลือกตั้งต้องมี
**"สุรยุทธ์"ลั่นผิดจริง พร้อมคายที่ดิน
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าการให้นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยง แทน ทำให้ภาพนายกรัฐมนตรีดูไม่สง่างาม ว่า ประเด็นที่มีการอภิปรายของสนช. เมื่อคืนวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ตนได้ชี้แจงไปแล้วตั้งแต่ต้นปี การที่ตนไม่ชี้แจงเอง เพราะมันมีหลายเรื่อง จึงจำเป็นต้องให้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ชี้แจง เพราะนายธีรภัทร์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องคุณธรรม และจริยธรรม การเสนอกฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อน และการพัฒนาประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ดำเนินการมาโดยตลอด และเมื่อมีการอภิปรายถึงคุณธรรมและจริยธรรมในภาพรวม จึงมอบหมายให้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ตอบ
"ผมได้มอบหมายแนวทางให้นายธีรภัทร์ ชี้แจงในประเด็นที่สำคัญๆ เท่านั้น พูดเพียงสั้นๆ เพื่อทำความเข้าใจ แต่สิ่งใดที่เป็นรายละเอียด ก็ยังไม่ต้องชี้แจง หากมีข้อสงสัยประการใดคงจะมีการชี้แจงทำความเข้าใจในโอกาสหน้าต่อไป"
เมื่อถามว่า เท่าที่ฟังคิดว่าผู้อภิปรายมีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ก็มีข้อมูลในระดับหนึ่ง เป็นเรื่องที่ได้มีการดำเนินการกันมา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นการแลกเปลี่ยนกัน ดูว่าอะไรบ้างที่รัฐบาลจะต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สนช.อยู่แล้ว ส่วนจะมีการทำหนังสือชี้แจงประชาชนอีกครั้งหนึ่งหรือไม่นั้น คงจะต้องมีการหารือกันอีกที
เมื่อถามถึงคำยืนยันว่าจะไม่ถอดใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังถูกอภิปรายในครั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ย้อนถามว่า "ผมต้องตอบทั้ง 3 มื้อไหม ผมคงไม่ต้องตอบทุกวันและทั้ง 3 มื้อนะครับ มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่า คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองของเราไปสู่การเลือกตั้ง"
เมื่อถามถึงกรณีที่ น.ต.ประสงค์ ประกาศจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนพร้อมชี้แจงทำความเข้าใจ และไม่อยากทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมา ตรงนี้เป็นความตั้งใจทำให้บ้านเมืองมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง เพราะมีสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำอีกมากมาย เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการพูดคุยทำความเข้าใจกับ น.ต.ประสงค์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่เคยพูดไปแล้วว่า ตนพร้อมที่จะพูดคุย เมื่อถามว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่า กรณีที่ดินเขายายเที่ยงมีความผิด พร้อมจะคืนที่ดินให้รัฐหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า หากตรวจสอบแล้วผิด ก็ต้องทำอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนีได้พูดมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยืนยันว่า คำพูดยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
**เครือข่ายต้านโกงแจ้งจับสุรยุทธ์
วานนี้ (11 ต.ค.)ที่ร้านอาหาร เฟิร์สช้อย หลังจากเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองขอนแก่น ให้ดำเนินคดีกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในข้อหาครอบครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ได้แถลงข่าว แจงเหตุที่ต้องดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงอธิบดีกรมป่าไม้ และป่าไม้เขต
นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว รองประธานเครือข่ายฯ เปิดเผยว่าในฐานะที่เป็นประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองบริเวณพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ทางสนช. ได้อภิปราย เปิดเผยข้อเท็จจริงถึงเรื่องนี้ จึงได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของเครือข่ายฯ เข้าแจ้งความดำเนินคดี
"นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รมว.เกษตรฯ เกี่ยวข้องในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงอธิบดีกรมป่าไม้ และป่าไม้เขต แต่ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งน่าจะเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ" นายคุ้มพงษ์ กล่าว
นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ทราบมา เคยมีชาวบ้านเข้าไปขอเอกสารสิทธิ์ แต่ไม่ได้ และมีชาวบ้านกว่า 30 คน ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน บริเวณเขายายเที่ยง แต่กลับกันนายกรัฐมนตรีกลับไม่ถูกดำเนินคดี
"ต้นเดือนหน้า ผมจะเข้าร้องทุกกล่าวโทษกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. ให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด" นายไทกรกล่าว
** จวกรัฐบาล-คมช.ฮั้วขั้วเก่าเช็คบิลพันธมิตร
พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา และส่งเสริมการสร้างคุณธรรมฯ สนช. กล่าวว่า การอภิปรายรัฐบาลในครั้งนี้ ถือเป็นการกระตุ้นต่อมคุณธรรมจริยธรรม จึงเน้นไปที่เรื่องการประพฤติปฏิบัติ แต่การชี้แจงของทางรัฐบาล หากตนเป็นอาจารย์คงให้คะแนนยาก เหมือนถามว่า ไปไหนมา กลับตอบว่า สามวาสองศอก ตอบไม่ตรงข้อเท็จจริง แต่เชื่อว่า การอภิปรายครั้งนี้ลึกๆแล้วได้ผล เกิดการสะเทือนแน่ มองอาการของรัฐบาลหรือตัวนายกฯ แล้ว ก็ถือว่าชัดเจน ทั้งที่ใจจริงเราต้องการช่วยรัฐบาล แต่กลับมีความพยายามล้มญัตติ หากรัฐบาลใจเย็น ไม่มีความโกรธมาบดบัง ก็ควรให้รัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับสมาชิก สนช. ประสานมา แต่ก็ไม่ทำ กลับไปเลือกวิธีดิสเครดิตผู้ยื่นญัตติ ตั้งคำถามว่า ผู้ยื่นญัตติมีคุณธรรม จริยธรรมเพียงพอหรือไม่ โดยให้คนใกล้ชิดออกมากล่าวโจมตีว่า เป็นการกระทำเพราะความแค้นส่วนตัว ต้องการล้มรัฐบาล ล้มเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการบิดเบือนประเด็น
พล.อ.ปานเทพ กล่าวด้วยว่า คณะกรรมาธิการฯ จะเดินหน้าต่อไป คงไม่หยุดแน่ ซึ่งวันเดียวกันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อหารือถึงผลจากการอภิปรายว่ามีประเด็นใดที่รัฐบาลตอบไม่ตรงกับที่เราถาม หรือยังไม่ได้ตอบบ้าง ส่วนเสียงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกนั้น ได้บอกแล้วว่าไม่ควรลาออก เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยาก เกิดการตีความเรื่องการหาผู้มาทำหน้าที่แทน แต่ควรลาป่วย หรือลากิจ เพื่อให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน
สำหรับการแบ่งงานให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกฯ ดูงานด้านความมั่นคง และต้องดูแลกระทรวงมหาดไทยด้วยนั้น ยังแปลกใจว่าจะทำงานได้อย่างไร จะคุมงานได้หรือไม่ จะกล้าสั่งนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่ หากจำกันได้ ช่วงแรก คปค.บอกว่า จะสร้างความสมานฉันท์ แต่กลับพยายามผลักมิตรไปเป็นศัตรู ขณะนี้กลุ่มอำนาจเก่าไม่ได้ยืนดูเฉยๆ แต่ออกมาช่วยรัฐบาลนี้เลย ใครที่บอกว่ามี 3 ขั้วนั้น ไม่ใช่ มีแค่ 2 ขั้วเท่านั้น คือ ขั้วรัฐบาลกับอำนาจเก่า และขั้วไม่เอาอำนาจเก่า (ไม่เอาทักษิณ) ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเจตนาอย่างไร มีคนบอกว่ากลัวจะถูกเช็คบิลกลับ เลยหันมาร่วมมือกันเช็คบิลพวกไม่เอาอำนาจเก่า
**รัฐบาลแม้วทำองค์การแบตเตอรี่เจ๊ง
ด้านพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การแบตเตอรี่ กระทรวงกลาโหม ช่วง ธ.ค. 47 และลาออกเมื่อเดือนธ.ค. 49 ได้ชี้แจงถึง กรณี พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม สนช. และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. ได้อภิปรายถึงพฤติกรรมของอดีตผู้บริหารองค์การแบตเตอรี่ จนเป็นเหตุให้องค์การแบตเตอรี่ขาดทุน และต้องปิดตัวลงในที่สุดว่า ปัญหาการขาดทุนนั้นเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้ยอดขายขององค์การแบตเตอรี่ลดลง เพราะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ไม่ซื้อแบตเตอรี่ จากองค์การแบตเตอรี่เหมือนในอดีต ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำการตลาดได้เหมือนบริษัทเอกชน เพราะผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ องค์การแบตเตอรี่ยังประสบภาวะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การจ่ายเงินโบนัส ย้อนหลังให้กับพนักงาน สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และความไม่พร้อมของบุคลากร ซึ่งแม้ส่วนตัวจะไม่เก่งเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่มีทีมงานที่ดี ได้แก่ รองเลขาธิการสภาพัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นต้น
สำหรับขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทจัดจำหน่าย ก็ถูกต้องตามระเบียบราชการ และมีการรับประกันยอดจำหน่ายชัดเจนแน่นอน ส่วนที่มีปัญหาบริษัทไม่จ่ายเงินค่าสินค้านั้น ความเป็นจริงแล้วองค์การแบตเตอรี่ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้เอกชนตามสัญญา ซึ่งขณะนี้บริษัทเอกชนดังกล่าวได้ยื่นฟ้ององค์การแบตเตอรี่แล้ว
"องค์การแบตเตอรี่มีเซลส์แค่คนเดียวเพราะแต่ก่อนเราผูกขาดขายให้ทหาร แต่เมื่อมาถึงจุดวิกฤติ คณะกรรรมการฯ มีมติให้ตั้งบริษัทจัดจำหน่าย" พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ปฏิเสธข้อกล่าวหา กรณี ว่าจ้างสตรีที่ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกผู้บริหาร เพราะมีคณะกรรมการสรรหาดูแลอยู่แล้ว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีที่ สื่อมวลชนบางฉบับที่ลงข่าวเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า เนื่องจากมีบริษัทเอกชนเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่กำลังถูกตรวจสอบการต่อสัญญาที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งถือหุ้นในสื่อดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตามในส่วนของการล่าชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป รมว. และรมช.คมนาคมนั้น จะดำเนินการต่อ หลังจากที่ได้ชี้แจงกลางสภาฯไปแล้ว ซึ่งคาดว่าวันที่ 16 ต.ค.นี้ จะได้รายชื่อครบอย่างแน่นอน
**เผย"สพรั่ง"ลาออกทุกตำแหน่ง
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยังกล่าวด้วยว่า พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม มีความคิดที่จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางราชการ และ ทุกตำแหน่งในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และประธานคณะกรรมการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
"พล.อ.สพรั่ง เคยบอกแล้วว่า เรื่องการลาออกจะตัดสินใจวันต่อวัน ส่วนที่ผ่านมาพล.อ.สพรั่ง รู้สึกว่าได้ทุ่มเทมาเต็มที่แล้ว ส่วนเรื่องความหนักใจระหว่างหน้าที่ทางราชการ กับการแก้ปัญหาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่น่าหนักใจ เพราะงานยังเดินหน้าได้แม้จะไม่คืบหน้ามากนัก แต่เป็นเพราะฝ่ายบริหารไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และบางครั้งความเห็นของคณะกรรมบริหารก็เป็นไปคนละทิศละทาง ทำให้มีปัญหา" พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยืนยันว่า ตนไม่คิดลาออกจากตำแหน่งประธานกมธ. ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้ง 3 คณะ ได้แก่ กมธ.คมนาคม กมธ.ติดตามและตรวจสอบการแก้ไขปัญหาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ กมธ.ขนส่งทางอากาศ สนช. รวมถึงต่ำแหน่งที่ปรึกษา ทอท. และบริษัท ทีโอที และพร้อมเดินหน้าในการตรวจสอบทุจริตโครงการต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงการในสนามบินสุวรรณภูมิ และปัญหาภายในกระทรวงคมนาคม จนกว่าการทำหน้าที่ของ สนช. จะหมดวาระ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยืนยันว่า สำหรับ พล.อ.สพรั่ง นั้นชัดเจนแล้วว่า จะมีการลาพักร้อนตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. - 21 ต.ค. โดยจะเดินทางไปที่ประเทศอินเดีย แต่สำหรับตนยังไม่มีความคิดลาพัก เพราะงานที่รับผิดชอบในสนช.ยังมีอยู่มาก และในช่วงบ่ายได้เดินทางไปประชุมบอร์ด ทอท. โดยมีวาระการรับทราบ และอนุมัติการว่าจ้าง พล.อ.ท. ชนะ อยู่สถาพร เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. คนใหม่ ในวงเงินค่าจ้างกว่า 600,000 บาท ต่อเดือน
**อ้างรถหุ้มเกราะยูเครนถูกและดี
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึง การอภิปรายของ สนช. ที่ตั้งข้อสงสัยในการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน ส่อไปในทางทุจริต และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ว่า ต้องบอกเป็น 2 ส่วน คือ หนึ่งเป็นเรื่องแผนการเสริมสร้างกองทัพ และเรื่องการจัดหา ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็มีการร้องเรียน แต่การร้องเรียนดังกล่าวไม่อยู่ในช่วงของการจัดหา เป็นขั้นตอนของการหาข้อมูลเท่านั้น จากนั้นจึงเข้าขั้นตอนการจัดหา ซึ่งทำตามระเบียบแบบแผนทุกประการ ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หรือเป็นลักษณะของการทุจริต สิ่งที่กองทัพบกได้ซื้อ กองทัพรู้ดีว่าต้องการอาวุธแบบใด และต้องการสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อ
กองทัพบก การจัดซื้อที่ผ่านมาที่กล่าวหากัน ขอยืนยันว่า เราได้รถสายพานลำเลียงยานเกราะที่ราคาถูก และมียุทโธปกรณ์ที่เปรียบเทียบแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างมากที่สุดในกองทัพบก อย่างอื่นที่เสนอราคามาแพงกว่าทั้งสิ้น
"ใครสงสัยก็ว่ากันไป ดำเนินการได้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่อยากบอกในความเป็นจริง รถที่เราจัดซื้อเป็นรถที่ดี หลายคนไปวิจารณ์ว่าเป็นรถเก่า เรายืนยันว่าเป็นรถใหม่ กองทัพรับรองว่าไม่ไปซื้อรถเก่ารถใช้แล้วมาเด็ดขาด นอกจากนี้ รถรุ่นนี้เหมาะสมกับกองทัพ เครื่องยนต์ก็เป็นของเยอรมัน และระบบสื่อสารก็เป็นระบบที่กองทัพใช้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่จะมีก็เรื่องของล้อ และตัวถังที่เป็นของยูเครนเท่านั้น เมื่อมีการสงสัยจะซักฟอกกันอย่างไรก็ได้ แต่ยืนยันว่ารถรุ่นนี้เป็นรถที่ดี และถูกที่สุด"
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า การจัดซื้อจัดจ้างเริ่มเมื่อไรก็ต้องว่ากันตามระเบียบกฎหมายทุกอย่าง แต่ที่พูดกันในสภาฯ ตามขั้นตอนไม่ใช่การเปิดซอง เพียงแต่เป็นการหา และขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม อย่าเอาไปรวมกับการจัดซื้อจัดหา ซึ่งขณะนี้ถ้าสภาฯ ยังสงสัย ก็พร้อมไปชี้แจงได้ในขั้นตอนนั้น ซึ่งเป็นขั้นตอนการขอรายละเอียด มีการเสนอช้าจริง แต่ยังมีอีกหลายบริษัทอยู่ในเกณฑ์ แต่ไม่ใช่เอาขั้นตอนการยื่นซองประกวดราคาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่เกี่ยวกัน
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นการเสียโอกาสของกองทัพในการทำงานหรือไม่ ผบ.ทบ. กล่าวว่า ถือเป็นการเสียโอกาส แต่ขณะนี้มันมีความจำเป็นต้องมีรถหุ้มเกราะ ส่วนจะจำเป็นแค่ไหน สามารถชี้แจงได้ ส่วนสังคมยังไม่เข้าใจก็พร้อมชี้แจง ดีกว่าไม่พูดกันแล้วมากล่าวหาทีหลัง เพราะข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านมาก็เปิดเผย ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไร
**"แม้ว"เย้ยรัฐบาล-สนช.ฟัดกันเอง
นายนพดล ปัทมะที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ กับพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ว่า ไม่คิดว่ากลุ่มหรือคนที่มาจากที่เดียวกัน คือเกิดจากเผด็จการทหารจะมาทะเลาะหรือสาวไส้กันเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีในอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้มีการตรวจสอบให้ประชาชนรู้ข้อเท็จริง หลังจากที่มีการพูดกันมานานแต่ไม่มีการตรวจสอบจริงจัง อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงที่ทหารคุมอำนาจ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ความจริงทำให้คนเป็นอิสระ แต่ในกรณีนี้ความจริงอาจทำให้บางคนติดคุก จึงขอเรียกร้องไปยัง สนช. หากตรวจสอบก็ขอให้จริงจัง อย่าเป็นมวยล้มต้มคนดู ซึ่งเรื่องนี้อาจกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล และการเลือกตั้ง เพราะพรรคเราได้รับข้อมูลมาว่า มีความพยายามจากรัฐบาลจะเข้ามาควบคุมกลไกรัฐ เพื่อสกัดกั้นการเลือกตั้งไม่ให้เข้ามามีอำนาจ จึงขอเรียกร้องให้พล.อ.สุรยุทธ์ กำกับดูแลให้ดี ไม่อยากให้เกิดผลเสีย และข้อครหาในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยอยู่แล้ว และมีเวลาการบริหารประเทศไม่นาน จึงไม่ควรปล่อยให้คนบางกลุ่มเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตย
นายนพดล กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ติดตามสถานการณ์ และทราบถึงความขัดแย้งของคนคู่นี้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเท่ากับความอยู่รอดของประเทศ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ มีความห่วงใยสถานการณ์ของประเทศขณะนี้อย่างมากว่าวัตถุประสงค์ในการสร้างประชาธิปไตยกลับคืนมา อาจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหมายและบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ นอกจากนี้ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งล่าสุด เท่าที่ตนได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ มีความเป็นห่วงมากในภาพรวมของประเทศ และเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น อาจเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในเร็วๆ นี้
"พ.ต.ท.ทักษิณ มีแนวคิดจะชี้แนะแนวทาง และให้ความเห็นถึงแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาวิกฤต ตลอดจนการบริหารประเทศแบบใหม่โดยจะหยิบยกกรณีศึกษาในประเทศต่างๆ แล้วมาเปรียบเทียบในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศต่อไป ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมงานกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะใช้รูปแบบการสื่อสารให้ประชาชนรับรู้แบบใด เบื้องต้นอาจเป็นการเขียนบทความตีพิมพ์ หรือ สื่อสารผ่านสื่อมัลติมีเดีย อินเตอร์เน็ต หรือ ทีวี และวิทยุในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีการเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ให้ประชาชนทั้งประเทศทราบ" นายนพดล กล่าว
** รัฐบาลเตรียมสรุปผลงาน 1ปี
พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการจัดทำรายงานและแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลเตรียมจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ 1 ปี แม้ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับรัฐบาลจะหมดสภาพไปพร้อมๆ กัน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องไปชี้แจงหรือแถลงผลงานต่อ สนช. แต่สรุปเป็นการรายงานข้อเท็จจริง เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ของการทำงานเท่านั้น ส่วนรายละเอียดทางคณะกรรมการกำลังดำเนินการ คาดว่าจะสามารถเผยแพร่ได้ในช่วงปลายปี 50 นี้
ส่วนข้อมูลการอภิปรายของ สนช. เมื่อวันที่ 10ต.ค. จะไม่นำมาเป็นข้อมูลในการจัดทำรายงาน เพราะนั่นเป็นมุมมองของการทำหน้าที่ตรวจสอบ ต้องมองหลายๆ ด้าน รัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว และใช้วิธีเดินสายกลาง คือ ความพอเพียง
เมื่อถามว่าผลงานรัฐบาลที่จะออกมา สามารถตอบสนอง 4 กรณีหลักของการทำรัฐประหารหรือไม่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ยึดตรงนั้นมาตั้งแต่ต้น แต่คนอื่นจะมาบังคับนายกรัฐมนตรีให้ยึดประเด็นตรงนั้น เป็นคนละเรื่องกัน หากภารกิจจบ ก็ต้องย้อนกลับมาดูว่ารัฐบาลนี้ได้ทำอะไรให้กับคนไทยซึ่งกำลังเครียด และจะฮึ่มเข้าใส่กัน สิ่งเหล่านั้นได้หายไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว ส่วนว่าหลังมีการอภิปรายของ สนช. ความสัมพันธ์กับรัฐบาลจะดีขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของมุมมองทั่วๆ ไปที่ประชาชน ปัญญาชน แยกออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ส่วนจะชี้แจงกรณีที่ สนช. กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีไปร่วมวางแผนทำรัฐประหารกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างไร เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน พล.อ.พงษ์เทพ เชื่อว่า เดี๋ยวก็เข้าใจกันเอง อยู่ที่มุมมอง
เมื่อถามว่าข้อกล่าวหาที่พาดพิงตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเริ่มทำงานจะนำมาประมวลและชี้แจงข้อเท็จจริงหรือไม่พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การที่ สนช.บางคนพาดพิงนั้น ก็เป็นมุมมองเพียงส่วนหนึ่งในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งตรงนี้คือหลักประชาธิปไตยที่มีการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่เมื่อส่วนใหญ่เอาอย่างนี้แล้ว ยังเล่นไม่เลิก ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองเหมือนกับการพิจารณากฎหมาย เมื่อเสียงส่วนใหญ่ออกมาแล้ว แต่มีฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย คิดว่าจะต้องค้านไปตลอดชีวิตก็เป็นหน้าที่ของแต่ละคน
"เมื่อนายกรัฐมนตรีมาทำงานการเมือง ก็ถือว่าเป็นคนของประชาชน ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่บางอย่างถูกดึงเอามาเป็นประเด็นส่วนตัวไปสู่การเมืองมากเกินไป ซึ่งคงเป็นเรื่องของมารยาททางการเมืองที่แต่ละคนคงต้องตระหนักเอง ผมไม่วิจารณ์" พล.อ.พงษ์เทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน สนช. พยายามโน้มน้าวเพื่อขอให้สมาชิกร่วมลงชื่อยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญให้ทำได้หรือ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็แล้วแต่ ต้องศึกษารัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ อยากจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ นอกจากมีหน่วยงานที่เขาตรวจสอบแล้ว ยังมีประชาชนตรวจสอบอีก อย่าลืมว่าตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า ถึงเวลานี้ยังมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรี กับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สนช. ซึ่งถูกมองว่าเป็นลูกป๋าทั้งคู่ จะหันมาทำความเข้าใจกัน พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน เพราะความคิดของคนบางครั้งก็เข้าใจกันเอง สังเกตหรือไม่ว่าเวลาพระสงฆ์ท่านไปเยี่ยมกัน บางครั้งท่านไม่ต้องพูดอะไรกัน แต่ท่านสื่อกันด้วยญาณ ไม่ต้องใช้คำพูด
" บุคคลที่เป็นปัญญาชนบางครั้งก็สื่อกันด้วยคำพูด นอกจากคนที่ต้องการทำลายกัน การมองหน้ามองตากัน ก็น่าจะรู้แล้วว่าใครเป็นอย่างไร และเข้าใจกัน เพราะนั่นเป็นคุณลักษณะของคนไทย แต่กระแสของโลกหรือประชาคมโลกอาจจะเข้ามามีอิทธิพล บางทีก็คล้อยตามกัน แห่ตามกัน โดยที่ไม่ได้ตั้งสติให้มั่นว่าสิ่งที่ได้ยินมา รู้มานั้น ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ เข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้ง 2 ด้านหรือไม่ สภาฯ ไม่ใช่ศาลที่จะต้องไปสืบพยานกัน มันคนละเรื่อง สภาฯ เป็นสถานที่อันทรงเกียรติ การใช้คำพูดก็ต้องระวัง ซึ่งคงไม่ต้องวิจารณ์ ประชาชนมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร" เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว
**แนะนายกฯแก้ไขตามที่สนช.อภิปราย
นายสุริยะใส กตะศิลาเลขาธเการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่าการอภปิรายของ สนช.เพื่อซักฟอกปัญหาจริยธรรมของรัฐบาล แม้เป็นประเด็นเก่า แต่หากพิจารณารายละเอียดหรือข้อเท็จจริงโดยไม่มีอคตินั้น จะเห็นว่า หลายเรื่องมีเงื่อนงำและส่อถึงการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อรถถังหุ้มเกราะ ปัญหาในกระทรวงคมนาคม ทั้งกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ และที่ดินรถไฟ รวมทั้งการลงนามเอฟทีเอ หรือ JTEPA กับรัฐบาลญี่ปุ่น
ส่วนกรณีพพาทเรื่องที่ดินเขายายเที่ยง ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายกฯ ไม่ดันทุรัง และเปิดทางให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ดินเขายายเที่ยง จากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายก็ต้องเร่งพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพื่อหาข้อยุติและสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคม
ทั้งนี้ รัฐบาลควรนำข้อสังเกตของ สนช.ไปประกอบการพิจารณาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมให้มากที่สุด บางเรื่องถ้าจำเป็นต้องตั้งกรรมการตรวจสอบก็ควรทำ หรือหากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบปัญหานั้นจะหาโอกาสแจกแจงข้อเท็จจริงกับประชาชนก็น่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ใช่พยายามทำให้เรื่องเงียบหาย หรือเบี่ยงเบนประเด็น รัฐบาลควรจริงจังในการสร้างความโปร่งใสในประเด็นปัญหาเหล่านี้ หากปล่อยให้มีข้อเคลือบแคลงคงอยู่ต่อไป สนช. ก็มีความชอบธรรมที่จะหาช่องทางเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนการเคลื่อนไหวของ สนช. หากมีความจำเป็นต้องตรวจสอบขยายผล ก็ต้องระมัดระวังหรือไม่ให้สังคมเข้าใจผิดว่ามีเจตนาซ่อนเร้นเป็นอย่างอื่น เพราะประชาชนอาจจะไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ สนช.พยายามทำหน้าที่ตรวจสอบ ที่สำคัญต้องยอมรับความจริงกันว่า อารมณ์สังคมกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ถ้าการเคลื่อนไหวของ สนช. เข้าข่ายถึงขั้นให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลในระหว่างนี้ ก็จำเป็นต้องเตรียมคำอธิบายที่ดีให้กับสังคม
น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรม จริยธรรม แก่นักการเมือง และประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงผลการชี้แจงของรัฐบาล กรณีญัตติจริยธรรม ว่า ญัตติของตนและคณะ ถือเป็นการทำหน้าที่ แต่การชี้แจงของนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กรณีบ้านพักเขายายเที่ยง ของพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีนั้น คิดว่าประชาชนและสื่อมวลชนรู้ดีว่า คำชี้แจงชัดเจนและสามารถแก้ข้อสงสัยต่างๆได้หรือไม่ ซึ่งตนสงสาร นายธีรภัทร์ ที่ไม่รู้เรื่อง และไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่ก็ชี้แจงไปตามที่ได้รับทราบมา
"เป็นคำชี้แจงที่ไม่ได้ตอบคำถาม แม้กระทั่งเรื่องที่มาของที่ดิน ขณะที่ชาวบ้านได้ที่ดินจากมติ ครม. ซึ่งตามข้อเท็จจริงพื้นที่บ้านของนายกฯ อยู่ห่างจากชาวบ้าน และอยู่ข้างบน ไม่มีหมู่บ้าน การเข้าไปอยู่ในป่าสงวนจึงผิดกฎหมายป่าสงวน แต่ท่านบอกว่า เป็นมติ ครม.ให้ชาวบ้านอยู่ได้ ขณะที่มติครม.ไม่ใช่กฎหมาย เพราะฉะนั้นคงไปลบล้าง พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติไม่ได้ และที่บอกว่า เป็นการซื้อขายสิทธิต่างๆ ผมก็อยากถามว่า การซื้อขายสิทธิที่คนมือต้นๆ เข้าไปบุกรุกป่าสงวน ก็ต้องผิดกฎหมาย การไปซื้อสิทธิมาก็เป็นของผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เมื่อท่านบอกว่าจะตรวจสอบดู ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี"
น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยว่า น่าเสียดายที่นายกฯทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.49 นั่นคือ ที่ดินมีปัญหาเกือบ 11 เดือน แต่ก็ไม่ได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปตรวจสอบ แต่เพิ่งบอกว่าจะให้มีการตรวจสอบ ซึ่งก็เป็นเรื่องของนายกฯ แต่ตนเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า สิ่งใดได้มาไม่ถูกต้องก็ควรจะแก้ไข
"ถ้าไม่ใช่ของเรา ก็คืนของเขาไปก็หมดเรื่อง การปล่อยให้ผ่านมา 11 เดือน ถ้าสมมติว่า มีคนหยิบยกขึ้นมาว่าท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ หรือไม่ ก็จะเป็นปัญหาทางกฎหมาย แต่เมื่อชี้แจง ตอบแล้วก็จบกันในสภาประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้" น.ต.ประสงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า ผลการชี้แจงของรัฐบาล สอบได้หรือสอบตก น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตนทำหน้าที่ของตน และรัฐบาลก็ทำตามหน้าที่ ตนจะให้คะแนนไม่ได้ ต้องให้ผู้ดู ผู้ชม ผู้ฟัง เป็นผู้ตัดสิน แต่ตนพอใจสนช.ทุกคนที่ลุกขึ้นอภิปราย มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน แต่ด้านผู้ชี้แจง ตนสงสาร นายธีรภัทร์ และเท่าที่ฟังคำชี้แจง ก็ไม่มีอะไรชัดเจน
**ส่งเขายายเที่ยงให้ป.ป.ช.สอบต่อ
เมื่อถามว่า การจบในสภาหมายความว่า อนุกมธ. ตำรวจและสิทธิมนุษยชน จะไม่ตรวจสอบใช่หรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า การชี้แจงซักถามจบแล้ว แต่ในแง่กฎหมายยังไม่จบ ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องเดินต่อไป และอนุฯ จะตรวจสอบ และมารายงาน กมธ.ชุดใหญ่ ทั้งนี้อะไรที่ผิดกฎหมาย แม้แต่ประชาชนก็สามารถหยิบยกขึ้นมาได้ โดยเฉพาะประชาชนที่มีญาติพี่น้องถูกจำคุก 10 ปี ซึ่งคนเหล่านี้ก็อยู่ในพื้นที่ต่ำลงมาจากบ้านนายกฯ มากกว่านี้ แต่ก็ถูกจับ ทั้งนี้ เรื่องนี้จะส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วย โดยวันที่ 15 ต.ค. นี้ อนุฯจะหารือกันว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนภาคประชาชนที่เดือดร้อนจากการจับกุม หรือไม่ถูกจับกุม ก็มีสิทธิ์ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ได้ 2 ทาง
เมื่อถามต่อว่า นายกฯจะตรวจสอบจะใช้เวลาเท่าไร น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ถามตนไม่ได้ แต่นายกฯ บอกเองว่าทราบตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 49 ดังนั้นถ้ารู้ว่ามีปัญหาก็ต้องตรวจสอบก่อน แต่ทำไมถึงปล่อยไว้จนถึงวันนี้ ไม่เช่นนั้นก็มีปัญหาอย่างนี้ ส่วนที่นายกฯ บอกว่า ควรจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องพิจารณาเอง
เมื่อถามว่าจะเคลียร์ได้ก่อนเลือกตั้งหรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯ มาถามตนไม่ได้ ส่วนจะกระทบกับการจัดเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่นั้นเพราะนายกฯ ยังติดปัญหาเรื่องนี้อยู่ ตนคิดว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การเลือกตั้งต้องมี
**"สุรยุทธ์"ลั่นผิดจริง พร้อมคายที่ดิน
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าการให้นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยง แทน ทำให้ภาพนายกรัฐมนตรีดูไม่สง่างาม ว่า ประเด็นที่มีการอภิปรายของสนช. เมื่อคืนวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ตนได้ชี้แจงไปแล้วตั้งแต่ต้นปี การที่ตนไม่ชี้แจงเอง เพราะมันมีหลายเรื่อง จึงจำเป็นต้องให้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ชี้แจง เพราะนายธีรภัทร์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องคุณธรรม และจริยธรรม การเสนอกฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อน และการพัฒนาประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ดำเนินการมาโดยตลอด และเมื่อมีการอภิปรายถึงคุณธรรมและจริยธรรมในภาพรวม จึงมอบหมายให้นายธีรภัทร์ เป็นผู้ตอบ
"ผมได้มอบหมายแนวทางให้นายธีรภัทร์ ชี้แจงในประเด็นที่สำคัญๆ เท่านั้น พูดเพียงสั้นๆ เพื่อทำความเข้าใจ แต่สิ่งใดที่เป็นรายละเอียด ก็ยังไม่ต้องชี้แจง หากมีข้อสงสัยประการใดคงจะมีการชี้แจงทำความเข้าใจในโอกาสหน้าต่อไป"
เมื่อถามว่า เท่าที่ฟังคิดว่าผู้อภิปรายมีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ก็มีข้อมูลในระดับหนึ่ง เป็นเรื่องที่ได้มีการดำเนินการกันมา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นการแลกเปลี่ยนกัน ดูว่าอะไรบ้างที่รัฐบาลจะต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สนช.อยู่แล้ว ส่วนจะมีการทำหนังสือชี้แจงประชาชนอีกครั้งหนึ่งหรือไม่นั้น คงจะต้องมีการหารือกันอีกที
เมื่อถามถึงคำยืนยันว่าจะไม่ถอดใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังถูกอภิปรายในครั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ย้อนถามว่า "ผมต้องตอบทั้ง 3 มื้อไหม ผมคงไม่ต้องตอบทุกวันและทั้ง 3 มื้อนะครับ มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่า คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองของเราไปสู่การเลือกตั้ง"
เมื่อถามถึงกรณีที่ น.ต.ประสงค์ ประกาศจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนพร้อมชี้แจงทำความเข้าใจ และไม่อยากทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมา ตรงนี้เป็นความตั้งใจทำให้บ้านเมืองมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง เพราะมีสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำอีกมากมาย เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการพูดคุยทำความเข้าใจกับ น.ต.ประสงค์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่เคยพูดไปแล้วว่า ตนพร้อมที่จะพูดคุย เมื่อถามว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่า กรณีที่ดินเขายายเที่ยงมีความผิด พร้อมจะคืนที่ดินให้รัฐหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า หากตรวจสอบแล้วผิด ก็ต้องทำอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนีได้พูดมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยืนยันว่า คำพูดยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
**เครือข่ายต้านโกงแจ้งจับสุรยุทธ์
วานนี้ (11 ต.ค.)ที่ร้านอาหาร เฟิร์สช้อย หลังจากเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองขอนแก่น ให้ดำเนินคดีกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในข้อหาครอบครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ได้แถลงข่าว แจงเหตุที่ต้องดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงอธิบดีกรมป่าไม้ และป่าไม้เขต
นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว รองประธานเครือข่ายฯ เปิดเผยว่าในฐานะที่เป็นประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองบริเวณพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ทางสนช. ได้อภิปราย เปิดเผยข้อเท็จจริงถึงเรื่องนี้ จึงได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของเครือข่ายฯ เข้าแจ้งความดำเนินคดี
"นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รมว.เกษตรฯ เกี่ยวข้องในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงอธิบดีกรมป่าไม้ และป่าไม้เขต แต่ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งน่าจะเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ" นายคุ้มพงษ์ กล่าว
นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ทราบมา เคยมีชาวบ้านเข้าไปขอเอกสารสิทธิ์ แต่ไม่ได้ และมีชาวบ้านกว่า 30 คน ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน บริเวณเขายายเที่ยง แต่กลับกันนายกรัฐมนตรีกลับไม่ถูกดำเนินคดี
"ต้นเดือนหน้า ผมจะเข้าร้องทุกกล่าวโทษกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. ให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด" นายไทกรกล่าว
** จวกรัฐบาล-คมช.ฮั้วขั้วเก่าเช็คบิลพันธมิตร
พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา และส่งเสริมการสร้างคุณธรรมฯ สนช. กล่าวว่า การอภิปรายรัฐบาลในครั้งนี้ ถือเป็นการกระตุ้นต่อมคุณธรรมจริยธรรม จึงเน้นไปที่เรื่องการประพฤติปฏิบัติ แต่การชี้แจงของทางรัฐบาล หากตนเป็นอาจารย์คงให้คะแนนยาก เหมือนถามว่า ไปไหนมา กลับตอบว่า สามวาสองศอก ตอบไม่ตรงข้อเท็จจริง แต่เชื่อว่า การอภิปรายครั้งนี้ลึกๆแล้วได้ผล เกิดการสะเทือนแน่ มองอาการของรัฐบาลหรือตัวนายกฯ แล้ว ก็ถือว่าชัดเจน ทั้งที่ใจจริงเราต้องการช่วยรัฐบาล แต่กลับมีความพยายามล้มญัตติ หากรัฐบาลใจเย็น ไม่มีความโกรธมาบดบัง ก็ควรให้รัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับสมาชิก สนช. ประสานมา แต่ก็ไม่ทำ กลับไปเลือกวิธีดิสเครดิตผู้ยื่นญัตติ ตั้งคำถามว่า ผู้ยื่นญัตติมีคุณธรรม จริยธรรมเพียงพอหรือไม่ โดยให้คนใกล้ชิดออกมากล่าวโจมตีว่า เป็นการกระทำเพราะความแค้นส่วนตัว ต้องการล้มรัฐบาล ล้มเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการบิดเบือนประเด็น
พล.อ.ปานเทพ กล่าวด้วยว่า คณะกรรมาธิการฯ จะเดินหน้าต่อไป คงไม่หยุดแน่ ซึ่งวันเดียวกันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อหารือถึงผลจากการอภิปรายว่ามีประเด็นใดที่รัฐบาลตอบไม่ตรงกับที่เราถาม หรือยังไม่ได้ตอบบ้าง ส่วนเสียงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกนั้น ได้บอกแล้วว่าไม่ควรลาออก เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยาก เกิดการตีความเรื่องการหาผู้มาทำหน้าที่แทน แต่ควรลาป่วย หรือลากิจ เพื่อให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน
สำหรับการแบ่งงานให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกฯ ดูงานด้านความมั่นคง และต้องดูแลกระทรวงมหาดไทยด้วยนั้น ยังแปลกใจว่าจะทำงานได้อย่างไร จะคุมงานได้หรือไม่ จะกล้าสั่งนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่ หากจำกันได้ ช่วงแรก คปค.บอกว่า จะสร้างความสมานฉันท์ แต่กลับพยายามผลักมิตรไปเป็นศัตรู ขณะนี้กลุ่มอำนาจเก่าไม่ได้ยืนดูเฉยๆ แต่ออกมาช่วยรัฐบาลนี้เลย ใครที่บอกว่ามี 3 ขั้วนั้น ไม่ใช่ มีแค่ 2 ขั้วเท่านั้น คือ ขั้วรัฐบาลกับอำนาจเก่า และขั้วไม่เอาอำนาจเก่า (ไม่เอาทักษิณ) ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเจตนาอย่างไร มีคนบอกว่ากลัวจะถูกเช็คบิลกลับ เลยหันมาร่วมมือกันเช็คบิลพวกไม่เอาอำนาจเก่า
**รัฐบาลแม้วทำองค์การแบตเตอรี่เจ๊ง
ด้านพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การแบตเตอรี่ กระทรวงกลาโหม ช่วง ธ.ค. 47 และลาออกเมื่อเดือนธ.ค. 49 ได้ชี้แจงถึง กรณี พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม สนช. และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. ได้อภิปรายถึงพฤติกรรมของอดีตผู้บริหารองค์การแบตเตอรี่ จนเป็นเหตุให้องค์การแบตเตอรี่ขาดทุน และต้องปิดตัวลงในที่สุดว่า ปัญหาการขาดทุนนั้นเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้ยอดขายขององค์การแบตเตอรี่ลดลง เพราะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ไม่ซื้อแบตเตอรี่ จากองค์การแบตเตอรี่เหมือนในอดีต ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำการตลาดได้เหมือนบริษัทเอกชน เพราะผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ องค์การแบตเตอรี่ยังประสบภาวะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การจ่ายเงินโบนัส ย้อนหลังให้กับพนักงาน สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และความไม่พร้อมของบุคลากร ซึ่งแม้ส่วนตัวจะไม่เก่งเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่มีทีมงานที่ดี ได้แก่ รองเลขาธิการสภาพัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นต้น
สำหรับขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทจัดจำหน่าย ก็ถูกต้องตามระเบียบราชการ และมีการรับประกันยอดจำหน่ายชัดเจนแน่นอน ส่วนที่มีปัญหาบริษัทไม่จ่ายเงินค่าสินค้านั้น ความเป็นจริงแล้วองค์การแบตเตอรี่ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้เอกชนตามสัญญา ซึ่งขณะนี้บริษัทเอกชนดังกล่าวได้ยื่นฟ้ององค์การแบตเตอรี่แล้ว
"องค์การแบตเตอรี่มีเซลส์แค่คนเดียวเพราะแต่ก่อนเราผูกขาดขายให้ทหาร แต่เมื่อมาถึงจุดวิกฤติ คณะกรรรมการฯ มีมติให้ตั้งบริษัทจัดจำหน่าย" พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ปฏิเสธข้อกล่าวหา กรณี ว่าจ้างสตรีที่ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกผู้บริหาร เพราะมีคณะกรรมการสรรหาดูแลอยู่แล้ว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีที่ สื่อมวลชนบางฉบับที่ลงข่าวเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า เนื่องจากมีบริษัทเอกชนเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่กำลังถูกตรวจสอบการต่อสัญญาที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งถือหุ้นในสื่อดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตามในส่วนของการล่าชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป รมว. และรมช.คมนาคมนั้น จะดำเนินการต่อ หลังจากที่ได้ชี้แจงกลางสภาฯไปแล้ว ซึ่งคาดว่าวันที่ 16 ต.ค.นี้ จะได้รายชื่อครบอย่างแน่นอน
**เผย"สพรั่ง"ลาออกทุกตำแหน่ง
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยังกล่าวด้วยว่า พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม มีความคิดที่จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางราชการ และ ทุกตำแหน่งในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และประธานคณะกรรมการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
"พล.อ.สพรั่ง เคยบอกแล้วว่า เรื่องการลาออกจะตัดสินใจวันต่อวัน ส่วนที่ผ่านมาพล.อ.สพรั่ง รู้สึกว่าได้ทุ่มเทมาเต็มที่แล้ว ส่วนเรื่องความหนักใจระหว่างหน้าที่ทางราชการ กับการแก้ปัญหาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่น่าหนักใจ เพราะงานยังเดินหน้าได้แม้จะไม่คืบหน้ามากนัก แต่เป็นเพราะฝ่ายบริหารไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และบางครั้งความเห็นของคณะกรรมบริหารก็เป็นไปคนละทิศละทาง ทำให้มีปัญหา" พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยืนยันว่า ตนไม่คิดลาออกจากตำแหน่งประธานกมธ. ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้ง 3 คณะ ได้แก่ กมธ.คมนาคม กมธ.ติดตามและตรวจสอบการแก้ไขปัญหาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ กมธ.ขนส่งทางอากาศ สนช. รวมถึงต่ำแหน่งที่ปรึกษา ทอท. และบริษัท ทีโอที และพร้อมเดินหน้าในการตรวจสอบทุจริตโครงการต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงการในสนามบินสุวรรณภูมิ และปัญหาภายในกระทรวงคมนาคม จนกว่าการทำหน้าที่ของ สนช. จะหมดวาระ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ยืนยันว่า สำหรับ พล.อ.สพรั่ง นั้นชัดเจนแล้วว่า จะมีการลาพักร้อนตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. - 21 ต.ค. โดยจะเดินทางไปที่ประเทศอินเดีย แต่สำหรับตนยังไม่มีความคิดลาพัก เพราะงานที่รับผิดชอบในสนช.ยังมีอยู่มาก และในช่วงบ่ายได้เดินทางไปประชุมบอร์ด ทอท. โดยมีวาระการรับทราบ และอนุมัติการว่าจ้าง พล.อ.ท. ชนะ อยู่สถาพร เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. คนใหม่ ในวงเงินค่าจ้างกว่า 600,000 บาท ต่อเดือน
**อ้างรถหุ้มเกราะยูเครนถูกและดี
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึง การอภิปรายของ สนช. ที่ตั้งข้อสงสัยในการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน ส่อไปในทางทุจริต และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ว่า ต้องบอกเป็น 2 ส่วน คือ หนึ่งเป็นเรื่องแผนการเสริมสร้างกองทัพ และเรื่องการจัดหา ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็มีการร้องเรียน แต่การร้องเรียนดังกล่าวไม่อยู่ในช่วงของการจัดหา เป็นขั้นตอนของการหาข้อมูลเท่านั้น จากนั้นจึงเข้าขั้นตอนการจัดหา ซึ่งทำตามระเบียบแบบแผนทุกประการ ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หรือเป็นลักษณะของการทุจริต สิ่งที่กองทัพบกได้ซื้อ กองทัพรู้ดีว่าต้องการอาวุธแบบใด และต้องการสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อ
กองทัพบก การจัดซื้อที่ผ่านมาที่กล่าวหากัน ขอยืนยันว่า เราได้รถสายพานลำเลียงยานเกราะที่ราคาถูก และมียุทโธปกรณ์ที่เปรียบเทียบแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างมากที่สุดในกองทัพบก อย่างอื่นที่เสนอราคามาแพงกว่าทั้งสิ้น
"ใครสงสัยก็ว่ากันไป ดำเนินการได้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่อยากบอกในความเป็นจริง รถที่เราจัดซื้อเป็นรถที่ดี หลายคนไปวิจารณ์ว่าเป็นรถเก่า เรายืนยันว่าเป็นรถใหม่ กองทัพรับรองว่าไม่ไปซื้อรถเก่ารถใช้แล้วมาเด็ดขาด นอกจากนี้ รถรุ่นนี้เหมาะสมกับกองทัพ เครื่องยนต์ก็เป็นของเยอรมัน และระบบสื่อสารก็เป็นระบบที่กองทัพใช้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่จะมีก็เรื่องของล้อ และตัวถังที่เป็นของยูเครนเท่านั้น เมื่อมีการสงสัยจะซักฟอกกันอย่างไรก็ได้ แต่ยืนยันว่ารถรุ่นนี้เป็นรถที่ดี และถูกที่สุด"
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า การจัดซื้อจัดจ้างเริ่มเมื่อไรก็ต้องว่ากันตามระเบียบกฎหมายทุกอย่าง แต่ที่พูดกันในสภาฯ ตามขั้นตอนไม่ใช่การเปิดซอง เพียงแต่เป็นการหา และขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม อย่าเอาไปรวมกับการจัดซื้อจัดหา ซึ่งขณะนี้ถ้าสภาฯ ยังสงสัย ก็พร้อมไปชี้แจงได้ในขั้นตอนนั้น ซึ่งเป็นขั้นตอนการขอรายละเอียด มีการเสนอช้าจริง แต่ยังมีอีกหลายบริษัทอยู่ในเกณฑ์ แต่ไม่ใช่เอาขั้นตอนการยื่นซองประกวดราคาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่เกี่ยวกัน
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นการเสียโอกาสของกองทัพในการทำงานหรือไม่ ผบ.ทบ. กล่าวว่า ถือเป็นการเสียโอกาส แต่ขณะนี้มันมีความจำเป็นต้องมีรถหุ้มเกราะ ส่วนจะจำเป็นแค่ไหน สามารถชี้แจงได้ ส่วนสังคมยังไม่เข้าใจก็พร้อมชี้แจง ดีกว่าไม่พูดกันแล้วมากล่าวหาทีหลัง เพราะข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านมาก็เปิดเผย ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไร
**"แม้ว"เย้ยรัฐบาล-สนช.ฟัดกันเอง
นายนพดล ปัทมะที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ กับพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ว่า ไม่คิดว่ากลุ่มหรือคนที่มาจากที่เดียวกัน คือเกิดจากเผด็จการทหารจะมาทะเลาะหรือสาวไส้กันเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีในอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้มีการตรวจสอบให้ประชาชนรู้ข้อเท็จริง หลังจากที่มีการพูดกันมานานแต่ไม่มีการตรวจสอบจริงจัง อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงที่ทหารคุมอำนาจ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ความจริงทำให้คนเป็นอิสระ แต่ในกรณีนี้ความจริงอาจทำให้บางคนติดคุก จึงขอเรียกร้องไปยัง สนช. หากตรวจสอบก็ขอให้จริงจัง อย่าเป็นมวยล้มต้มคนดู ซึ่งเรื่องนี้อาจกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล และการเลือกตั้ง เพราะพรรคเราได้รับข้อมูลมาว่า มีความพยายามจากรัฐบาลจะเข้ามาควบคุมกลไกรัฐ เพื่อสกัดกั้นการเลือกตั้งไม่ให้เข้ามามีอำนาจ จึงขอเรียกร้องให้พล.อ.สุรยุทธ์ กำกับดูแลให้ดี ไม่อยากให้เกิดผลเสีย และข้อครหาในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยอยู่แล้ว และมีเวลาการบริหารประเทศไม่นาน จึงไม่ควรปล่อยให้คนบางกลุ่มเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตย
นายนพดล กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ติดตามสถานการณ์ และทราบถึงความขัดแย้งของคนคู่นี้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเท่ากับความอยู่รอดของประเทศ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ มีความห่วงใยสถานการณ์ของประเทศขณะนี้อย่างมากว่าวัตถุประสงค์ในการสร้างประชาธิปไตยกลับคืนมา อาจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหมายและบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ นอกจากนี้ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งล่าสุด เท่าที่ตนได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ มีความเป็นห่วงมากในภาพรวมของประเทศ และเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น อาจเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในเร็วๆ นี้
"พ.ต.ท.ทักษิณ มีแนวคิดจะชี้แนะแนวทาง และให้ความเห็นถึงแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาวิกฤต ตลอดจนการบริหารประเทศแบบใหม่โดยจะหยิบยกกรณีศึกษาในประเทศต่างๆ แล้วมาเปรียบเทียบในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศต่อไป ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมงานกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะใช้รูปแบบการสื่อสารให้ประชาชนรับรู้แบบใด เบื้องต้นอาจเป็นการเขียนบทความตีพิมพ์ หรือ สื่อสารผ่านสื่อมัลติมีเดีย อินเตอร์เน็ต หรือ ทีวี และวิทยุในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีการเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ให้ประชาชนทั้งประเทศทราบ" นายนพดล กล่าว
** รัฐบาลเตรียมสรุปผลงาน 1ปี
พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการจัดทำรายงานและแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลเตรียมจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ 1 ปี แม้ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับรัฐบาลจะหมดสภาพไปพร้อมๆ กัน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องไปชี้แจงหรือแถลงผลงานต่อ สนช. แต่สรุปเป็นการรายงานข้อเท็จจริง เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ของการทำงานเท่านั้น ส่วนรายละเอียดทางคณะกรรมการกำลังดำเนินการ คาดว่าจะสามารถเผยแพร่ได้ในช่วงปลายปี 50 นี้
ส่วนข้อมูลการอภิปรายของ สนช. เมื่อวันที่ 10ต.ค. จะไม่นำมาเป็นข้อมูลในการจัดทำรายงาน เพราะนั่นเป็นมุมมองของการทำหน้าที่ตรวจสอบ ต้องมองหลายๆ ด้าน รัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว และใช้วิธีเดินสายกลาง คือ ความพอเพียง
เมื่อถามว่าผลงานรัฐบาลที่จะออกมา สามารถตอบสนอง 4 กรณีหลักของการทำรัฐประหารหรือไม่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ยึดตรงนั้นมาตั้งแต่ต้น แต่คนอื่นจะมาบังคับนายกรัฐมนตรีให้ยึดประเด็นตรงนั้น เป็นคนละเรื่องกัน หากภารกิจจบ ก็ต้องย้อนกลับมาดูว่ารัฐบาลนี้ได้ทำอะไรให้กับคนไทยซึ่งกำลังเครียด และจะฮึ่มเข้าใส่กัน สิ่งเหล่านั้นได้หายไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว ส่วนว่าหลังมีการอภิปรายของ สนช. ความสัมพันธ์กับรัฐบาลจะดีขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของมุมมองทั่วๆ ไปที่ประชาชน ปัญญาชน แยกออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ส่วนจะชี้แจงกรณีที่ สนช. กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีไปร่วมวางแผนทำรัฐประหารกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างไร เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน พล.อ.พงษ์เทพ เชื่อว่า เดี๋ยวก็เข้าใจกันเอง อยู่ที่มุมมอง
เมื่อถามว่าข้อกล่าวหาที่พาดพิงตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเริ่มทำงานจะนำมาประมวลและชี้แจงข้อเท็จจริงหรือไม่พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การที่ สนช.บางคนพาดพิงนั้น ก็เป็นมุมมองเพียงส่วนหนึ่งในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งตรงนี้คือหลักประชาธิปไตยที่มีการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่เมื่อส่วนใหญ่เอาอย่างนี้แล้ว ยังเล่นไม่เลิก ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองเหมือนกับการพิจารณากฎหมาย เมื่อเสียงส่วนใหญ่ออกมาแล้ว แต่มีฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย คิดว่าจะต้องค้านไปตลอดชีวิตก็เป็นหน้าที่ของแต่ละคน
"เมื่อนายกรัฐมนตรีมาทำงานการเมือง ก็ถือว่าเป็นคนของประชาชน ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่บางอย่างถูกดึงเอามาเป็นประเด็นส่วนตัวไปสู่การเมืองมากเกินไป ซึ่งคงเป็นเรื่องของมารยาททางการเมืองที่แต่ละคนคงต้องตระหนักเอง ผมไม่วิจารณ์" พล.อ.พงษ์เทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน สนช. พยายามโน้มน้าวเพื่อขอให้สมาชิกร่วมลงชื่อยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญให้ทำได้หรือ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็แล้วแต่ ต้องศึกษารัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ อยากจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ นอกจากมีหน่วยงานที่เขาตรวจสอบแล้ว ยังมีประชาชนตรวจสอบอีก อย่าลืมว่าตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า ถึงเวลานี้ยังมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรี กับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สนช. ซึ่งถูกมองว่าเป็นลูกป๋าทั้งคู่ จะหันมาทำความเข้าใจกัน พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน เพราะความคิดของคนบางครั้งก็เข้าใจกันเอง สังเกตหรือไม่ว่าเวลาพระสงฆ์ท่านไปเยี่ยมกัน บางครั้งท่านไม่ต้องพูดอะไรกัน แต่ท่านสื่อกันด้วยญาณ ไม่ต้องใช้คำพูด
" บุคคลที่เป็นปัญญาชนบางครั้งก็สื่อกันด้วยคำพูด นอกจากคนที่ต้องการทำลายกัน การมองหน้ามองตากัน ก็น่าจะรู้แล้วว่าใครเป็นอย่างไร และเข้าใจกัน เพราะนั่นเป็นคุณลักษณะของคนไทย แต่กระแสของโลกหรือประชาคมโลกอาจจะเข้ามามีอิทธิพล บางทีก็คล้อยตามกัน แห่ตามกัน โดยที่ไม่ได้ตั้งสติให้มั่นว่าสิ่งที่ได้ยินมา รู้มานั้น ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ เข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้ง 2 ด้านหรือไม่ สภาฯ ไม่ใช่ศาลที่จะต้องไปสืบพยานกัน มันคนละเรื่อง สภาฯ เป็นสถานที่อันทรงเกียรติ การใช้คำพูดก็ต้องระวัง ซึ่งคงไม่ต้องวิจารณ์ ประชาชนมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร" เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว
**แนะนายกฯแก้ไขตามที่สนช.อภิปราย
นายสุริยะใส กตะศิลาเลขาธเการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่าการอภปิรายของ สนช.เพื่อซักฟอกปัญหาจริยธรรมของรัฐบาล แม้เป็นประเด็นเก่า แต่หากพิจารณารายละเอียดหรือข้อเท็จจริงโดยไม่มีอคตินั้น จะเห็นว่า หลายเรื่องมีเงื่อนงำและส่อถึงการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อรถถังหุ้มเกราะ ปัญหาในกระทรวงคมนาคม ทั้งกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ และที่ดินรถไฟ รวมทั้งการลงนามเอฟทีเอ หรือ JTEPA กับรัฐบาลญี่ปุ่น
ส่วนกรณีพพาทเรื่องที่ดินเขายายเที่ยง ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายกฯ ไม่ดันทุรัง และเปิดทางให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ดินเขายายเที่ยง จากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายก็ต้องเร่งพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพื่อหาข้อยุติและสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคม
ทั้งนี้ รัฐบาลควรนำข้อสังเกตของ สนช.ไปประกอบการพิจารณาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมให้มากที่สุด บางเรื่องถ้าจำเป็นต้องตั้งกรรมการตรวจสอบก็ควรทำ หรือหากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบปัญหานั้นจะหาโอกาสแจกแจงข้อเท็จจริงกับประชาชนก็น่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ใช่พยายามทำให้เรื่องเงียบหาย หรือเบี่ยงเบนประเด็น รัฐบาลควรจริงจังในการสร้างความโปร่งใสในประเด็นปัญหาเหล่านี้ หากปล่อยให้มีข้อเคลือบแคลงคงอยู่ต่อไป สนช. ก็มีความชอบธรรมที่จะหาช่องทางเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนการเคลื่อนไหวของ สนช. หากมีความจำเป็นต้องตรวจสอบขยายผล ก็ต้องระมัดระวังหรือไม่ให้สังคมเข้าใจผิดว่ามีเจตนาซ่อนเร้นเป็นอย่างอื่น เพราะประชาชนอาจจะไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ สนช.พยายามทำหน้าที่ตรวจสอบ ที่สำคัญต้องยอมรับความจริงกันว่า อารมณ์สังคมกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ถ้าการเคลื่อนไหวของ สนช. เข้าข่ายถึงขั้นให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลในระหว่างนี้ ก็จำเป็นต้องเตรียมคำอธิบายที่ดีให้กับสังคม