ผู้จัดการรายวัน – หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุละสังขารสิริอายุรวม 96 ปี คณะแพทย์ศิริราชเผยสาเหตุการมรณภาพมาจากอาการปอดอักเสบและไตวายเฉียบพลัน วัดชลประทานฯเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ากราบศพวันที่ 12 ต.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. และประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ เวลา 17.00 น. ศธ.แย้มเสนอให้ยูเนสโกยกย่อง
วานนี้(10 ต.ค.) เวลา 09.09 น.พระพรหมมังคลาจารย์หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี ได้มรณภาพลงที่โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวมได้ 96 ปี
จากนั้น เวลาประมาณ 10.45 น.ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้เปิดแถลงข่าวถึงสาเหตุการมรณภาพว่า ก่อนหน้านี้คือเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาโรงพยาบาลศิริราชได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลชลประทานรังสฤษดิ์เพื่อย้ายหลวงพ่อมารักษาอาการอาพาธด้วยอาการหน้ามืด วูบ เหนื่อยและแน่นหน้าอก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อได้อาพาธด้วยอาการเกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ และได้รับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือด แต่อาการก็ยังคงมีการกำเริบ จากนั้นทางทีมแพทย์ของศิริราชได้ตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยการฉีดสีและพบว่าตีบจริง
ต่อมาในวันที่ 5 ต.ค.คณะแพทย์จึงได้ผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้นำไปดูอาการ 1 คืนในห้องไอซียู จากนั้นได้ย้ายกลับไปพักในตึก 84 ปี แต่เมื่อย้ายกลับไปพบอาการไอ มีเสมหะ โดยที่ไม่ไข้ จึงนำเข้าไอซียูอีกครั้ง เมื่อเอกซเรย์พบปอดติดเชื้อ การทำงานของไตแย่ลง ต่อมามีอาการไตวายเฉียบพลันและปอดติดเชื้อ
นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า เมื่อคืนวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา หลวงพ่อมีอาการหัวใจวายและหยุดหายใจ 1 ครั้ง แต่ทางแพทย์สามารถปั๊มหายใจช่วยชีวิตไว้ได้ ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 10 ต.ค.กลับมีอาการทรุดหนักและและมรณภาพในที่สุด ซึ่งคณะแพทย์วินิจฉัยสาเหตุของการเสียชีวิตว่ามาจากอาการปอดอักเสบและไตวายเฉียบพลัน
นางไพลิน สัจจวนิชย์ ญาติที่ดูแลหลวงพ่อปัญญาฯ มาตั้งแต่ยังเล็ก เปิดเผยหลังการมรณภาพว่า ก่อนมรณภาพนั้นหลวงพ่อมีอาการเจ็บหน้าอกและเหนื่อย จึงได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนจะถูกส่งต่อมายังโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงได้ผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจและการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่ภายหลังมีอาการแทรกซ้อน จึงทำให้มรณภาพ
“ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อป่วย ท่านเข้มแข็งและมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคอย่างดี ไม่เคยแสดงอาการท้อแท้ใจกับอาการป่วย ไม่เคยทำให้ญาติมีอาการใจเสียกับโรคภัยที่ท่านมีอยู่แม้แต่ครั้งเดียว”
นางไพลินกล่าวด้วยว่า หลวงพ่อปัญญาได้จัดการเรื่องทุนการศึกษาของบุตรหลานไว้ให้เรียบร้อย โดยไม่ทิ้งภาระไว้กับคนข้างหลัง แต่สิ่งที่หลวงพ่อเคยปรารภ คือ อยากอยู่จนถึงอายุ 100 ปี เพราะอยากเห็นอาคาร มจร.ที่หลวงพ่อเป็นคนจัดหาทุนในการก่อสร้างเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยหลวงพ่ออยากอยู่จนการก่อสร้างแล้วเสร็จก่อน
ด้านพระเทพปริยัติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ กล่าวว่า ได้ประสานสำนักพระราชวังเพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ตามที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีบัญชามาให้ประสานไปยังสำนักพระราชวังเพื่อประกอบพิธีถวายน้ำหลวบสรงศพในวันที่ 12 ตุลาคม เวลา 17.00 น. และอาจจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ากราบศพตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันที่ 12 ต.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อปัญญาฯ ไม่เคยสั่งการเรื่องการจัดงานศพของท่าน แต่ทางวัดจะสืบสานปณิธานของหลวงพ่อ ในการดูแลวัด ตามที่วางแนวทางไว้ตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน
“หลวงพ่อปัญญาฯ ไม่มีของสะสมอะไรเลย ยกเว้นหนังสือมีมากที่สุด และท่านไม่มีแม้กระทั่งเงินฝากในบัญชีที่เป็นชื่อของท่าน ถ้ามีก็เป็นชื่อของวัด ทางวัดเตรียมทำเรื่องการทำซีดีเทศนาธรรม ซึ่งหลวงพ่อปัญญาฯ มีมากกว่า 5,000 กัณฑ์ รวมถึงเอกสารงานพิมพ์งานเขียนต่าง ๆ ด้วย”พระเทพปริยัติเมธีกล่าว
พระพิมลสรกิจ เลขานุการ เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา(10 ต.ค.) หลวงพ่อปัญญาฯ ยังมีอาการปกติ แต่คล้ายคนง่วงนอนเท่านั้น โดยพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช การมรณภาพของหลวงพ่อครั้งนี้ เป็นการจากไปแบบปุบปับไม่ทันตั้งตัว ส่วนงานที่จะต้องสานต่อ คือการก่อสร้างอุโบสถกลางน้ำ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นพุทธานุสรณ์ให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบัติกิจของคณะสงฆ์ร่วมกันเป็นหมู่คณะใช้ศึกษาเล่าเรียนและให้บริการวิชาการแก่สังคม ตลอดจนเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าสืบไป ซึ่งขณะนี้อุโบสถหลังดังกล่าวอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ผ่านมาหลวงพ่อปัญญาฯ มักพูดเสมอว่า ตั้งปณิธานหากก่อสร้างอุโบสถกลางน้ำไม่แล้วเสร็จจะไม่ยอมละสังขารเด็ดขาด
นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงการมรณภาพของหลวงพ่อปัญญาฯ ว่า ถือเป็นการสูญเสียพระผู้ใหญ่ในวงการพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะอายุมาก แต่โดยสติปัญญายังให้หลักธรรมได้ตลอดเวลาและคำสอนยังเป็นหลักดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า หลวงพ่อปัญญาฯ เป็นปูชนียบุคคลของประเทศ เป็นพระนักเทศน์นักปฏิบัติเป็นดวงประทีปทางปัญญาของชาวพุทธดวงหนึ่งที่มีแสงสว่างมานานมาก จากประวัติท่านอุทิศตน เพื่อพระพุทธศาสนามาแต่เยาว์วัย และมุ่งมั่นเป็นทายาทของพระพุทธองค์มาโดยตลอด เป็นครูพระที่เทศน์ไม่หยุด แม้จะเจ็บป่วยก็ไม่หวั่นไหว
สำหรับบรรยากาศที่รพ.ชลประทานฯนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนำสังขารของหลวงพ่อมาเก็บไว้ที่ห้อง 401 โดยมีพญ.ค.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มาช่วยจัดการเรื่องสังขารของหลวงพ่อ เนื่องจาก พญ.คุณหญิงพรทิพย์มีความผูกพันกับทางโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ทางรพ.ชลประทานฯ ยังได้จัดโถงอาคาร 80 ปีปัญญานันทะ ให้เป็นสถานที่ให้ประชาชนร่วมลงนามไว้อาลัยต่อหลวงพ่อปัญญา ซึ่งมีประชาชนทยอยเดินทางมาลงนามเป็นจำนวนมาก โดยโรงพยาบาลฯ ได้จัดสมุดลงนามไว้อาลัยตั้งแต่วานนี้จนถึงวันนี้ (11 ต.ค.)ระหว่างเวลา 06.00-20.00 น.
ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังไม่ทันคิดว่า จะดำเนินการใด ๆ คงต้องรอให้งานพระราชทานเพลิงศพผ่านไปก่อน แล้วรอฟังว่า ทางสานุศิษย์ วัดชลประทานฯ และทางคณะสงฆ์ จะดำเนิน การอย่างไรต่อไป จากนั้น ศธ.จึงค่อยดูว่า จะไปมีส่วนร่วมใด ๆ ได้บ้างซึ่งก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่
ส่วนการยกย่องนั้น ศธ.มีหน้าที่ประสานส่งบุคคลดีเด่นในประเทศไปให้ทางองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชา ชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นของโลก แต่ไม่ใช่ว่าทำได้ทันที ต้องรอจังหวะในการเสนอรายชื่อไป และขณะนี้ยังมีบุคคลดีเด่นประมาณ 3 ราย เช่น นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ที่ ศธ.ส่งไปให้ทางยูเนสโกประกาศยกย่อง แต่เรื่องยังค้างอยู่ อย่างไรก็ ตาม หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ น่าจะ ได้รับการพิจารณาเสนอชื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นของโลกอย่างแน่นอน
อนึ่ง กำหนดการบำเพ็ญกุศล พระพรหมมังคลาจารย์ วันที่ 12 ตุลาคม เวลา 08.30 - 09.00 น.จะมีการเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชลประทานไปยังศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เวลา 09.00-16.45 น. พระเถรานุเถระ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ กราบเคารพศพ สรงน้ำ และวางพวงหรีด เวลา 17.00 น. พระราชทานน้ำสรงศพ และเวลา 19.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี
วานนี้(10 ต.ค.) เวลา 09.09 น.พระพรหมมังคลาจารย์หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี ได้มรณภาพลงที่โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวมได้ 96 ปี
จากนั้น เวลาประมาณ 10.45 น.ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้เปิดแถลงข่าวถึงสาเหตุการมรณภาพว่า ก่อนหน้านี้คือเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาโรงพยาบาลศิริราชได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลชลประทานรังสฤษดิ์เพื่อย้ายหลวงพ่อมารักษาอาการอาพาธด้วยอาการหน้ามืด วูบ เหนื่อยและแน่นหน้าอก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อได้อาพาธด้วยอาการเกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ และได้รับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือด แต่อาการก็ยังคงมีการกำเริบ จากนั้นทางทีมแพทย์ของศิริราชได้ตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยการฉีดสีและพบว่าตีบจริง
ต่อมาในวันที่ 5 ต.ค.คณะแพทย์จึงได้ผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้นำไปดูอาการ 1 คืนในห้องไอซียู จากนั้นได้ย้ายกลับไปพักในตึก 84 ปี แต่เมื่อย้ายกลับไปพบอาการไอ มีเสมหะ โดยที่ไม่ไข้ จึงนำเข้าไอซียูอีกครั้ง เมื่อเอกซเรย์พบปอดติดเชื้อ การทำงานของไตแย่ลง ต่อมามีอาการไตวายเฉียบพลันและปอดติดเชื้อ
นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า เมื่อคืนวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา หลวงพ่อมีอาการหัวใจวายและหยุดหายใจ 1 ครั้ง แต่ทางแพทย์สามารถปั๊มหายใจช่วยชีวิตไว้ได้ ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 10 ต.ค.กลับมีอาการทรุดหนักและและมรณภาพในที่สุด ซึ่งคณะแพทย์วินิจฉัยสาเหตุของการเสียชีวิตว่ามาจากอาการปอดอักเสบและไตวายเฉียบพลัน
นางไพลิน สัจจวนิชย์ ญาติที่ดูแลหลวงพ่อปัญญาฯ มาตั้งแต่ยังเล็ก เปิดเผยหลังการมรณภาพว่า ก่อนมรณภาพนั้นหลวงพ่อมีอาการเจ็บหน้าอกและเหนื่อย จึงได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนจะถูกส่งต่อมายังโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงได้ผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจและการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่ภายหลังมีอาการแทรกซ้อน จึงทำให้มรณภาพ
“ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อป่วย ท่านเข้มแข็งและมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคอย่างดี ไม่เคยแสดงอาการท้อแท้ใจกับอาการป่วย ไม่เคยทำให้ญาติมีอาการใจเสียกับโรคภัยที่ท่านมีอยู่แม้แต่ครั้งเดียว”
นางไพลินกล่าวด้วยว่า หลวงพ่อปัญญาได้จัดการเรื่องทุนการศึกษาของบุตรหลานไว้ให้เรียบร้อย โดยไม่ทิ้งภาระไว้กับคนข้างหลัง แต่สิ่งที่หลวงพ่อเคยปรารภ คือ อยากอยู่จนถึงอายุ 100 ปี เพราะอยากเห็นอาคาร มจร.ที่หลวงพ่อเป็นคนจัดหาทุนในการก่อสร้างเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยหลวงพ่ออยากอยู่จนการก่อสร้างแล้วเสร็จก่อน
ด้านพระเทพปริยัติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ กล่าวว่า ได้ประสานสำนักพระราชวังเพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ตามที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีบัญชามาให้ประสานไปยังสำนักพระราชวังเพื่อประกอบพิธีถวายน้ำหลวบสรงศพในวันที่ 12 ตุลาคม เวลา 17.00 น. และอาจจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ากราบศพตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันที่ 12 ต.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อปัญญาฯ ไม่เคยสั่งการเรื่องการจัดงานศพของท่าน แต่ทางวัดจะสืบสานปณิธานของหลวงพ่อ ในการดูแลวัด ตามที่วางแนวทางไว้ตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน
“หลวงพ่อปัญญาฯ ไม่มีของสะสมอะไรเลย ยกเว้นหนังสือมีมากที่สุด และท่านไม่มีแม้กระทั่งเงินฝากในบัญชีที่เป็นชื่อของท่าน ถ้ามีก็เป็นชื่อของวัด ทางวัดเตรียมทำเรื่องการทำซีดีเทศนาธรรม ซึ่งหลวงพ่อปัญญาฯ มีมากกว่า 5,000 กัณฑ์ รวมถึงเอกสารงานพิมพ์งานเขียนต่าง ๆ ด้วย”พระเทพปริยัติเมธีกล่าว
พระพิมลสรกิจ เลขานุการ เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา(10 ต.ค.) หลวงพ่อปัญญาฯ ยังมีอาการปกติ แต่คล้ายคนง่วงนอนเท่านั้น โดยพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช การมรณภาพของหลวงพ่อครั้งนี้ เป็นการจากไปแบบปุบปับไม่ทันตั้งตัว ส่วนงานที่จะต้องสานต่อ คือการก่อสร้างอุโบสถกลางน้ำ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นพุทธานุสรณ์ให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบัติกิจของคณะสงฆ์ร่วมกันเป็นหมู่คณะใช้ศึกษาเล่าเรียนและให้บริการวิชาการแก่สังคม ตลอดจนเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าสืบไป ซึ่งขณะนี้อุโบสถหลังดังกล่าวอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ผ่านมาหลวงพ่อปัญญาฯ มักพูดเสมอว่า ตั้งปณิธานหากก่อสร้างอุโบสถกลางน้ำไม่แล้วเสร็จจะไม่ยอมละสังขารเด็ดขาด
นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงการมรณภาพของหลวงพ่อปัญญาฯ ว่า ถือเป็นการสูญเสียพระผู้ใหญ่ในวงการพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะอายุมาก แต่โดยสติปัญญายังให้หลักธรรมได้ตลอดเวลาและคำสอนยังเป็นหลักดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า หลวงพ่อปัญญาฯ เป็นปูชนียบุคคลของประเทศ เป็นพระนักเทศน์นักปฏิบัติเป็นดวงประทีปทางปัญญาของชาวพุทธดวงหนึ่งที่มีแสงสว่างมานานมาก จากประวัติท่านอุทิศตน เพื่อพระพุทธศาสนามาแต่เยาว์วัย และมุ่งมั่นเป็นทายาทของพระพุทธองค์มาโดยตลอด เป็นครูพระที่เทศน์ไม่หยุด แม้จะเจ็บป่วยก็ไม่หวั่นไหว
สำหรับบรรยากาศที่รพ.ชลประทานฯนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนำสังขารของหลวงพ่อมาเก็บไว้ที่ห้อง 401 โดยมีพญ.ค.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มาช่วยจัดการเรื่องสังขารของหลวงพ่อ เนื่องจาก พญ.คุณหญิงพรทิพย์มีความผูกพันกับทางโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ทางรพ.ชลประทานฯ ยังได้จัดโถงอาคาร 80 ปีปัญญานันทะ ให้เป็นสถานที่ให้ประชาชนร่วมลงนามไว้อาลัยต่อหลวงพ่อปัญญา ซึ่งมีประชาชนทยอยเดินทางมาลงนามเป็นจำนวนมาก โดยโรงพยาบาลฯ ได้จัดสมุดลงนามไว้อาลัยตั้งแต่วานนี้จนถึงวันนี้ (11 ต.ค.)ระหว่างเวลา 06.00-20.00 น.
ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังไม่ทันคิดว่า จะดำเนินการใด ๆ คงต้องรอให้งานพระราชทานเพลิงศพผ่านไปก่อน แล้วรอฟังว่า ทางสานุศิษย์ วัดชลประทานฯ และทางคณะสงฆ์ จะดำเนิน การอย่างไรต่อไป จากนั้น ศธ.จึงค่อยดูว่า จะไปมีส่วนร่วมใด ๆ ได้บ้างซึ่งก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่
ส่วนการยกย่องนั้น ศธ.มีหน้าที่ประสานส่งบุคคลดีเด่นในประเทศไปให้ทางองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชา ชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นของโลก แต่ไม่ใช่ว่าทำได้ทันที ต้องรอจังหวะในการเสนอรายชื่อไป และขณะนี้ยังมีบุคคลดีเด่นประมาณ 3 ราย เช่น นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ที่ ศธ.ส่งไปให้ทางยูเนสโกประกาศยกย่อง แต่เรื่องยังค้างอยู่ อย่างไรก็ ตาม หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ น่าจะ ได้รับการพิจารณาเสนอชื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นของโลกอย่างแน่นอน
อนึ่ง กำหนดการบำเพ็ญกุศล พระพรหมมังคลาจารย์ วันที่ 12 ตุลาคม เวลา 08.30 - 09.00 น.จะมีการเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชลประทานไปยังศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เวลา 09.00-16.45 น. พระเถรานุเถระ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ กราบเคารพศพ สรงน้ำ และวางพวงหรีด เวลา 17.00 น. พระราชทานน้ำสรงศพ และเวลา 19.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี