xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ “สุรยุทธ์” กับ “นักข่าวสาวผู้จัดการ”

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ได้เคยพูดเอาไว้ว่าเป็น “โจรกลับใจ” ได้กลายเป็นวาทะที่ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ข่าวตามสื่อสารมวลชนตลอดในช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

“โจรกลับใจ” เป็นคำตอบที่เกิดขึ้นหลังจากนักข่าวได้เฝ้าเพียรถามความรู้สึกที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะต้องถูกอภิปรายในเรื่องจริยธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่ดินเขายายเที่ยงที่ได้เป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

“โจรกลับใจ” คำนี้น่าจะเป็นบทสะท้อนจิตใต้สำนึกของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่พยายามปกป้องตัวเองจากข้อครหาต่างๆ ของสื่อสารมวลชน และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นการออกตัวว่าตัวเองไม่ใช่คนบริสุทธิ์และไม่ใช่ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน แต่ได้โอ้อวดว่าตัวเองนั้นกลับใจเป็นคนดีแล้ว

นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ยอมรับว่าตัวเองนั้นเคยเป็นโจร!!!

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 “โจร” แปลว่า ผู้ร้ายที่ลักขโมยหรือปล้นสะดมทรัพย์สินผู้อื่น เป็นต้น

ตามความหมายนี้เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าเป็นโจร ย่อมแสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เคยทำความชั่ว กระทำความผิดศีลข้อที่ 2 อทินนาทานา เวรมณี แต่ได้พูดแสดงความสำนึกตัวเองแล้วว่าจะไม่ทำอีกแล้ว แต่พล.อ.สุรยุทธ์ก็ไม่ได้ตอบว่าที่ได้สำนึกและยอมรับว่าตัวเองเป็นโจรนั้นเคยทำอะไรที่ผิดลงไปกันแน่

อันที่จริงสำหรับนักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยที่ทำตัวเป็นโจร แต่ก็ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวที่จะมารับสารภาพต่อหน้าสาธารณชนว่าตัวเองเป็นโจร การยอมรับของ พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเคยทำชั่วเป็น “โจร” อาจจะทำให้ดูเหมือนว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นลูกผู้ชายมากยิ่งกว่านักการเมืองชั่วคนไหนในโลกใบนี้

แต่การที่พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ยอมบอกว่าไปลักทรัพย์ขโมยอะไรใครเขามานั้น ย่อมทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า พล.อ.สุรยุทธ์ รู้ตัวเองว่าเคยทำอะไรผิดมา และกำลังปกปิดความผิดของตัวเองในอดีตเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบหรือเยียวยาความเสียหายในอดีต เพียงแต่หยิบยกคำพูดลักษณะแบบนี้เพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้น (เหมือนคำพูดที่ พล.อ.สุรยุทธ์ พูดอยู่เป็นประจำทุกวันนี้)

เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ปกปิดความผิดฐานเป็นโจรของตัวเองที่ผ่านมา สังคมจึงไม่สามารถจะรู้ได้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ สำนึกผิดจริงๆ หรือไม่ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ได้รับผิดชอบหรือเยียวยาความเสียหายในความผิดตัวเองแล้วหรือไม่ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ได้กลับใจแล้วจริงหรือไม่ด้วย

เพราะอย่างน้อยหากกลับใจจริง ก็ต้องปฏิบัติอย่างน้อย 3 ประการให้ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์

ประการแรก ต้องสารภาพความจริงว่าได้ทำอะไรผิด ยอมรับความผิดนั้นอย่างกล้าหาญ

ประการที่สอง แสดงความรับผิดชอบด้วยการ คืนทรัพย์สินที่ขโมยมาให้เจ้าของพร้อมทั้งขอโทษในการกระทำความผิดนั้น

ประการที่สาม พร้อมรับโทษทัณฑ์ของตัวเองในกระบวนการยุติธรรม

ซึ่งพล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าโจรกลับใจแล้ว และหากหมายถึงกรณีที่ดินเขายายเที่ยงด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลหนักขึ้นไปอีกเพราะพล.อ.สุรยุทธ์ยังไม่เคยที่จะยอมรับผิดหรือแสดงความรับผิดชอบคืนที่ดินให้หลวงเพื่อแสดงความกลับใจแต่ประการใด

คำว่า “โจรกลับใจ” ได้ถูกเว้นวรรคจากปากของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กว่า 1 สัปดาห์ จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2550 ดูเหมือนว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คงจะได้ทบทวนคำพูดในเรื่องนี้จึงได้เกิดอาการ “กลับลำ” ในความหมายของ “โจรกลับใจ” และนิยามใหม่ให้ดูเท่ห์ขึ้นไปกว่าเดิม

พล.อ.สุรยุทธ์อ้างว่า คำว่า “โจรกลับใจ” ที่ได้พูดไปนั้นหมายถึงว่าเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นทหาร บางครั้งต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นเหมือนกองโจร แต่ตอนนี้ได้กลับใจแล้วมาเป็น “โจรปราบโจร” !!?
พล.อ.สุรยุทธ์ คงจะพูดด้วยความภาคภูมิใจและอาจคิดว่าเป็นคำตอบที่ตะแบงได้อย่างเท่ห์แล้ว จึงได้กระหยิ่มยิ้มย่องกับคำตอบของตัวเองในการสัมภาษณ์วันนั้น

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เป็นตรรกะที่ห่วยมาก!

หากทหารปฏิบัติหน้าที่เหมือนกองโจร ก็น่าจะหมายถึงว่าใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร ที่ซุ่มโจมตีไม่ให้ข้าศึกศัตรูรู้ตัว เป็นการปฏิบัติตามภารกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการทหาร ไม่ได้ไปลักขโมยทรัพย์สินหรือปล้นสะดมใคร ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่มีเหตุผลว่าทำไมจะต้องกลับใจ

นอกเสียจากว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะดูถูกว่ายุทธวิธีแบบกองโจรของทหารที่ทำกันนั้นเป็นความชั่วที่ต้องกลับใจ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะแปลว่าทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นกองโจรหมายถึง ทหารชั่วช้าที่เคยเป็นโจรจริงๆ และรวมกันเป็นกองโจรปล้นสะดมทรัพย์สินคนอื่นหรือทรัพย์สินของชาติมาแล้ว

มิหนำซ้ำยังมีหน้ามาพูดอวดอ้างอีกว่าคำว่ากลับใจที่ว่านั้นหมายถึงจะมาเป็น “โจรที่ปราบโจร”

อวดอ้างว่าเป็นโจรกลับใจ อวดอ้างว่าตัวเองเป็นโจรปราบโจร แต่ไม่เคยมีมติคณะรัฐมนตรีให้ข้าราชการให้ความร่วมมือกับ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จนการตรวจสอบเต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่มีความคืบหน้า แม้แต่เรื่องง่ายๆ ที่ขอความร่วมมือให้กระทรวงการต่างประเทศช่วยแปลเอกสารลับทางราชการในการตรวจสอบการทุจริตให้กับ คตส.ยังถูกปฏิเสธมาแล้วด้วยการอ้างนโยบายของนายกรัฐมนตรี

อวดอ้างว่าเป็นโจรกลับใจ อวดอ้างว่าตัวเองเป็นโจรปราบโจร แต่กลับปล่อยปละละเลยให้กลุ่มบุคคลหนึ่งมาใช้คลื่นความถี่ของชาติในสถานีโทรทัศน์ ทีไอทีวี แสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องเฉพาะกลุ่มโดยปราศจากความโปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบและการแสดงความรับผิดชอบแต่ประการใด

อวดอ้างว่าเป็นโจรกลับใจ อวดอ้างว่าตัวเองเป็นโจรปราบโจร แต่กลับสานต่อโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใสหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นในกรณี การยุบเลิกบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด, การก่อสร้างศูนย์ราชการแห่งใหม่, การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายและไม่โปร่งใสในสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้, การต่อสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย, การก่อสร้างแอร์พอร์ตลิงก์ ฯลฯ

อวดอ้างว่าเป็นโจรกลับใจ อวดอ้างว่าเป็นโจรปราบโจร แต่กลับเดินหน้าโครงการใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยข้อครหาในเรื่องความไม่โปร่งใสมากมาย ทั้งการซื้อเครื่องบินและการซื้ออาวุธมากมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครนเกือบ 4,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้กับเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ ทั้งๆ ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ท้วงติงในเรื่องคุณสมบัติและความผิดพลาดในหลายขั้นตอน โดยยอมเอาความเสี่ยงของชีวิตทหารที่ปฏิบัติการอยู่ที่ภาคใต้เป็นเดิมพัน

นี่หรอกหรือที่จะให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นโจรกลับใจ หรือเป็นโจรปราบโจร!!!?

ก็เพราะอวดอ้างว่าเป็นโจรกลับใจ และเพราะอวดอ้างว่าเป็นโจรปราบโจร นายสนธิ ลิ้มทองกุล, หนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวีจึงมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและฉีกหน้ากากวิญญูชนจอมปลอมมาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

ไม่ได้แปลว่าประชาชนที่เขาต่อสู้มาเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณเพื่อมาประเคนอำนาจให้กับอีกขั้วหนึ่งมานั่งในตำแหน่งเฉยๆ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลแล้วหายใจไปวันๆ หรือคอยสวาปามงบประมาณในโครงการต่างๆ ได้

8 ตุลาคม 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แทนที่จะสำรวจตัวเองว่าได้กระทำความผิดพลาดอะไรบ้าง หรือตอบคำถามให้ชัดเจนในสิ่งที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการหรือเอเอสทีวีวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในบทบาทของสื่อสารมวลชน พล.อ.สุรยุทธ์กลับเลือกที่จะพูดย้อนถามผู้บริหารหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวีให้ช่วยสมานฉันท์ เมื่อนักข่าวผู้หญิงคนหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันได้ตั้งคำถามขึ้นถึงเรื่องการสมานฉันท์ของรัฐบาล

เพราะเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเป็นคนตั้งคำถาม จึงต้องพาดพิงและกล่าวถึงด้วยวิธีการลดความน่าเชื่อถือของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวีให้เข้าใจว่าเป็นตัวปัญหา และสร้างความวุ่นวายเพื่อจะได้ให้นักข่าวคนอื่นๆ ได้หัวเราะขบขันกับนักข่าวที่มาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่าจะมาตั้งคำถามอะไรในเรื่องความสมานฉันท์

เมื่อนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการายวันคนเดิมถามว่าสมัยเป็น ผบ.ทบ.เคยมีคนชวนให้ทำปฏิวัติหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวแบบไล่ต้อนให้นักข่าวลังเล “สื่อที่ไหนพูด” ผู้สื่อข่าวย้ำว่า นายกฯ เคยพูดตอนพบสื่อ นายกฯ ตอบว่า “เอาให้แน่สื่อที่ไหน” ผู้สื่อข่าวย้ำอีกว่า นายกฯ เคยพูดสมัยเป็น ผบ.ทบ.ว่าเคยมีคนชวนทำปฏิวัติเกี่ยวข้องกับกรณีนี้หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า “ไม่เคยพูดกับสื่อที่ไหน”

เพราะเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการคนเดิมถามจึงปฏิเสธในลักษณะลดความน่าเชื่อถือต้อนนักข่าวคนนั้น เพื่อให้ดูเหมือนว่านักข่าวที่มาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นตัวตลกจำผิดไม่รู้เรื่องรู้ราว

แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถูกจับโกหกได้คาหนังคาเขา เมื่อปรากฏหลักฐานว่าเคยให้สัมภาษณ์ไว้จริงๆ ในรายการนายกฯ พบสื่อเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2550 ความตอนหนึ่งว่า

“ผมไม่อยากเป็นหัวหน้ายึดอำนาจ และปฏิเสธมาโดยตลอด มีหลายคนชวนตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก มาชวนไปกินข้าวแล้วบอกว่าอยากให้ทำการยึดอำนาจ ในชีวิตผมไม่เคยมีแนวความคิดนี้”

“สายตา” “รอยยิ้ม” และ “เสียงหัวเราะ” ของพล.อ.สุรยุทธ์ ในวันนั้นเป็นการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ที่ทำให้คำพูดของ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ที่กล่าวพาดพิงพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ว่า เป็นคน “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” ก่อนหน้านั้นมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าทวีคูณ
กำลังโหลดความคิดเห็น