ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ท่ามกลางวิกฤตไฟใต้ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในเวลานี้ ธุรกิจไม้กฤษณากลับกำลังขยายตัวสู่ภาวะบูมแบบสุดๆ ในชายแดนใต้ เผย "อะการ์วู๊ด สยาม" กลุ่มทุนระดับชาติเจ้าของสิทธิบัตรเทคนิคกระตุ้นสารกฤษณาทั้งในไทยและอเมริกา ซึ่งปัจจุบันขยายเครือข่ายธุรกิจเกือบจะครอบคลุมเอเชียอาคเนย์ สบโอกาสรุกจับมือมุสลิมในพื้นที่ตั้ง "บริษัท อะการ์วู๊ด ฟาฏอนี แอนด์ แปซิฟิค" ขึ้นมารองรับแล้ว พร้อมยังใช้เป็นฐานธุรกิจในการก้าวรุกสู่มาเลเซียอีกด้วย ชี้แนวโน้มผลประกอบการไปได้สวยทั้งในปลายด้ามขวานทองและแดนเสือเหลือง
ปัญหาวิกฤตไฟใต้ระลอกใหม่ที่ถูกจุดชนวนขึ้นเมื่อต้นปี 2547 ด้วยเหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายทหาร ณ กองพันพัฒนา 4 อ.เมือง จ.นราธิวาส และสถานการณ์ก็ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับอีก 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย
แม้ในปัจจุบันนี้ไฟใต้ดังกล่าวก็ยังยากจะมอดดับลงได้ แต่ในท่ามกลางวิกฤตไฟใต้ดังกล่าว ธุรกิจไม้กฤษณาในพื้นที่ชายแดนใต้กลับยังสามารถขยายเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง จากที่บูมขึ้นอย่างรวดเร็วในพื้นที่ก็สามารถที่จะผนึกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนระดับชาติ และสยายปีกการลงทุนข้ามไปยังฝั่งประเทศมาเลเซียได้อย่างมีทิศทางน่าสนใจแล้วด้วย
นายอาหาหมัด จะปะกียา กรรมการผู้จัดการบริษัท อะการ์วู๊ด ฟาฏอนี แอนด์ แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยถึงการบูมขึ้นของธุรกิจไม้กฤษณาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า การเกิดขึ้นของบริษัท อะการ์วู๊ด ฟาฏอนี แอนด์ แปซิฟิค คือส่วนหนึ่งที่ยืนยันถึงปรากฏการณ์บูมขึ้นของธุรกิจไม้กฤษณาดังกล่าว และไม่เพียงธุรกิจนี้จะขยายตัวอย่างมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น แต่ได้มีการกระโดดข้ามไปขยายการลงทุนในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดชายแดนใต้ของไทยแล้วด้วย
ทั้งนี้ คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้สนใจในธุรกิจไม้กฤษณามานานแล้ว เพราะเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของประเทศมุสลิมในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันออกกลาง และเมื่อไม่กี่ปีมานี้กลุ่มผู้สนใจในพื้นที่ก็ได้มีโอกาสต่อเชื่อมกับนายพีระพันธุ์ วิจิตรพันธุ์ นักธุรกิจไม้กฤษณารายใหญ่ของไทย ที่นอกจากจะมีการลงทุนในประเทศไทยแล้ว ยังได้ขยายการลงทุนไปในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลายประเทศด้วย เช่น พม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนามเป็นต้น
ที่สำคัญนายพีระพันธุ์เป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ เกี่ยวกับเทคนิควิธีการกระตุ้นสารกฤษณาในเนื้อไม้กฤษณาเลขที่ 18985 ที่ออกโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทย รวมถึงได้มีการไปขอจดสิทธิบัตรด้านนี้ที่สหรัฐอเมริกามาแล้วด้วย
บริษัท อะการ์วู๊ด ฟาฏอนี แอนด์ แปซิฟิค เกิดจากการร่วมทุนของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจไม้กฤษณาในชายแดนใต้กับบริษัท อะการ์วู๊ด สยาม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของนายพีระพันธุ์ โดยมุ่งเน้นการก้าวรุกทางธุรกิจใน 2 ด้านคือ การทำธุรกิจในพื้นที่ชายแดนใต้ มุ่งเน้นการนำเทคนิควิธีการกระตุ้นสารกฤษณามาใช้กับเนื้อไม้กฤษณาที่รับซื้อจากชาวบ้านในเครือข่ายของบริษัท กับการขยายพันธุ์ไม้กฤษณาและส่งเสริมให้มีการปลูกมากขึ้นในพื้นที่ และการขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศมาเลเซีย โดยขณะนี้ได้เข้าไปลงทุนในรัฐตอนเหนือของมาเลเซียแล้ว โดยเข้าไปร่วมทุนกับกลุ่มทุนในพื้นที่ในนามบริษัท อะการ์วู๊ด อินดัสตรี้ (กลันตัน) จำกัด
"ตอนนี้ในพื้นที่ชายแดนใต้บริษัทเรา มีเครือข่ายต้นกฤษณาอายุระหว่าง 20-70 ปีอยู่ถึงประมาณ 500 ต้น ในจำนวนนี้เราได้เข้าไปดำเนินการตามกระบวนการกระตุ้นด้วยเทคนิคของบริษัทแล้วประมาณ 300 ต้น ซึ่งต้องนับเป็นธุรกิจที่กำลังมีอนาคตมากทีเดียวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะอยู่ในท่ามกลางปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดก็ตาม" นายอาหาหมัดกล่าว
นายการีม นาคนาวา ประธานบริษัท อะการ์วู๊ด ฟาฏอนี แอนด์ แปซิฟิค จำกัด กล่าวว่า การข้ามไปลงทุนในประเทศมาเลเซียถือเป็นการเจาะตลาดที่ตรงเป้า และทิศทางของธุรกิจน่าจะไปได้สวยแน่นอน ซึ่งตอนนี้มีคำสั่งซื้อต้นกล้าไม้กฤษณาจากรัฐบาลมาเลเซียในล็อตแรกมาแล้ว 5 หมื่นต้น ซึ่งจะมีการนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในรัฐกลันตันนำไปปลูกเพื่อเป็นการสร้างรายได้ โดยเพิ่งมีพระราชพิธีพระราชทานต้นกล้าจากสมเด็จพระราชินี ตึงกู อานีส แห่งรัฐกลันตันของมาเลเซียแก่พสกนิกรของพระองค์ 180 ครอบครัวไปเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา
"แผนของบริษัทจากนี้ไปจะพยายามผลิตต้นกล้าเพื่อส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะการสนองตอบต่อความต้องการของรัฐบาลมาเลเซียที่ต้องการต้นกล้าไม้กฤษณาเฉพาะในปี 2550 สูงมากถึง 5 แสนต้น ส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในช่วงเน้นหนักไปทางด้านปฏิบัติการกระตุ้นสารกฤษณาจากต้นไม้ใหญ่เป็นด้านหลัก ส่วนเรื่องการส่งเสริมการปลูกและด้านอื่นๆ บริษัทก็ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยจนถึงขณะนี้มีประชาชนปลูกไม้กฤษณาในพื้นที่รวมเป็นจำนวนหลายหมื่นต้น" นายการีมกล่าวและว่า
ในฐานะที่ตนเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงอยากให้รัฐบาลหันมาสนใจและสนับสนุนธุรกิจไม้กฤษณาอย่างจริงจัง และหากเป็นไปได้รัฐควรหันมาส่งเสริมด้านงบประมาณในการจัดซื้อกล้าไม้กฤษณา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรในพื้นที่ โดยให้แต่ละหมู่บ้านคัดสรรประชาชนที่ยากจน ที่ตั้งใจอยากจะปลูก ต้องการจะทำงาน แต่ขาดเงินทุน เพื่อรับการส่งเสริมจากรัฐบาล ซึ่งถือว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านอาชีพเป็นอย่างดี ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีงานทำเพิ่มขึ้นหลายร้อยหรือหลายพันครอบครัว และมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีรายได้ในระยะยาว ที่สำคัญที่สุดคือ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาไฟใต้ที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตแล้วด้วย