xs
xsm
sm
md
lg

นักการเมืองส้มกิ๊กหรือส้มจื่อ

เผยแพร่:   โดย: การุณ ใสงาม

วันนี้ผมมีนิทานจะมาเล่าให้ท่านฟังอีกสัก 1 เรื่อง ต่อจากเรื่องอาบังขี่เวสป้า

กาลครั้งหนึ่ง อ๋องแคว้นฉีได้ส่งอัครเสนาบดีชื่อ เอี้ยนอิงไปเยือนแคว้นฉู่ อ๋องแคว้นฉู่ได้ยินกิตติศัพท์ว่า เอี้ยนอิงเป็นผู้ที่มีปฏิภาณเฉียบแหลมและมีวาทะที่คารมคมคาย จึงคิดหาโอกาสที่จะแกล้งให้เอี้ยนอิงได้รับความอับอายสักครั้ง

อ๋องแคว้นฉู่ได้สั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเอี้ยนอิงขึ้นอย่างใหญ่โต ได้เชิญตัวแทนทูตจากเมืองต่างๆ รวมทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั่นเอง ราชองครักษ์ได้นำตัวโจรผู้หนึ่งเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง

อ๋องแคว้นฉู่พอเห็นโจรนั้น ก็แกล้งทำเป็นประหลาดใจมาก ถามด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้านักโทษคนนี้ไปทำผิดอะไรมา”

ราชองครักษ์ตอบท่านอ๋องว่า “มันเป็นโจรลักปล้น เพิ่งจับได้เมื่อครู่นี้เอง ขอรับท่านอ๋อง”

อ๋องแคว้นฉู่ถามอีกว่า “มันผู้นี้เป็นคนที่ไหน”

ราชองครักษ์ตอบว่า “โจรผู้นี้เป็นคนแคว้นฉีขอรับท่านอ๋อง”

“คนแคว้นฉี” อ๋องแคว้นฉู่ทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถาม เอี้ยนอิงว่า “ท่านเอี้ยนอิง เมืองของท่านคงมีพวกโจรลักปล้นอย่างนี้จำนวนมากสินะ”

เอี้ยนอิงลุกขึ้นยืนโค้งคำนับอ๋องแคว้นฉู่แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า

“ท่านอ๋องขอรับ ท่านคงจะเคยได้ยินมาเหมือนข้าน้อยว่า มีต้นส้มกิ๊กต้นหนึ่งเจริญเติบโตอยู่ทางใต้แม่น้ำไหว ออกผลส้มกิ๊กมาทุกๆ ปี รสชาติหวานอร่อย แต่ถ้าย้ายไปปลูกทางเหนือแม่น้ำไหวแล้ว ส้มกิ๊กก็จะออกผลมาเป็นส้มจื่อซึ่งทั้งขมทั้งฝาด ลักษณะภายนอกของส้มทั้งสองชนิดนี้ แม้ดูคล้ายกัน แต่รสชาติกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะ ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อมของต้นไม้โดยแท้”

อ๋องแคว้นฉู่ไม่ค่อยเข้าใจวัตถุประสงค์ในการพูดยกตัวอย่างเรื่องส้มของเอี้ยนอิงนัก แต่ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เอี้ยนอิงจึงพูดอธิบายต่อไปว่า

“แคว้นฉีของข้าน้อยไม่มีโจรปล้น การที่คนคนนี้กลายเป็นโจรลักปล้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้มาอยู่แคว้นฉู่แล้ว คงเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม สังคมของเมืองฉู่นี้แน่ๆ ขอรับท่านอ๋อง”

อ๋องแคว้นฉู่รีบสั่งให้ราชองครักษ์นำตัวโจรออกไปจากห้องทันที และอ๋องแคว้นฉู่เองก็ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่สามารถที่จะแกล้งเอี้ยนอิงให้ได้รับความอับอายตามที่ตั้งใจไว้

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังก็เพราะว่า การเมืองไทยตอนนี้อยู่ในภาวะที่สับสน หลายท่านอาจจะตกข่าวไปบ้างว่าตอนนี้ใครจับมือกับใคร แล้วโซ่ข้อกลางที่พูดถึงกันนั้นจะมีความเป็นไปได้หรือไม่

การที่คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาราช รวมทั้ง ส.ส. กลุ่มมัชฌิมาหลายคน ได้ลาออกจากพรรคประชาราช เพื่อที่จะไปตั้งพรรคใหม่นั่นคือพรรคมัชฌิมาประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลมาจากเรื่องนโยบายในพรรคที่ขัดแย้งกัน

ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

นโยบายของพรรคประชาราชที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนั้นมี 38 ข้อ ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 42 ข้อ ล้วนแต่เป็นการเตรียมที่จะแก้ปัญหาที่สั่งสมมานานให้กับพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องโชวห่วย เรื่องคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นเก่าบางกลุ่มอาจทำใจยอมรับไม่ได้ที่จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันแบบถอนรากถอนโคน

นโยบาย คือสิ่งที่สัญญาหรือระบุไว้ว่าจะกระทำหรือไม่กระทำ การเมืองปัจจุบันต้องสู้กันที่นโยบายครับ แล้วถ้าจะให้ดีนโยบายนั้นควรสามารถแปลงไปลงสู่การปฏิบัติได้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรม

บางคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วพวกผมแน่ใจอย่างไรว่ากลุ่มที่มาเข้าร่วมกันนี้จะสมานฉันท์กันไม่แตกกันออกไปอีก และสิ่งที่สำคัญคือบางคนมาจากพื้นฐานอุดมการณ์ที่แตกต่างกันจะมาทำงานร่วมกันได้ไหม

นักการเมืองก็เปรียบเหมือนกับผลส้มในนิทานครับ ส้มจะดีหรือไม่ รสชาติจะหวานอร่อยถูกใจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมโดยแท้

ส้มปลูกอยู่กับพรรคไทยรักไทยรสชาติอาจจะขม เป็นพิษ ปลูกอยู่กับคอกหมูจมูกหมา ส้มอาจกลายพันธุ์เป็นเสือสิงห์กระทิงแรด


เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

และผมเชื่ออย่างหนึ่งว่ามนุษย์เราไม่ได้เลวร้ายโดยกำเนิด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการเปรียบเทียบว่าเด็กเหมือนกับผ้าขาวที่บริสุทธิ์หรอกครับ การที่ผ้าเปรอะเปื้อนนั้นเป็นเพราะสภาพแวดล้อม สิ่งรอบข้าง และสิ่งที่สำคัญคือกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ดังนั้นสิ่งที่เราควรหยิบยื่นให้คือ โอกาส

เรื่องนี้ไม่มีใครถูกและไม่มีใครผิด ไม่มีใครเป็นอนุบาลการเมืองหรือเป็นปริญญาเอกการเมืองหรอกครับ ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราช่วยกันอย่างจริงจัง ละวางเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ให้น้อยลง อาจจะทำให้การเมืองของไทยดีขึ้นกว่านี้ อย่าเพิ่งตั้งท่า มีอคติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลยครับ

ไหนๆ ผมก็เริ่มต้นด้วยนิทานจีนแล้ว ผมก็อยากจะจบด้วยคำกล่าวของเติ้งเสี่ยวผิงอดีตผู้นำจีนที่ว่า แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ
กำลังโหลดความคิดเห็น