"สนธิ" เฉ่งยับถูกบิดเบือนกล่าวหาอยู่เบื้องหลังจ้องล้มรัฐบาล พร้อมเปิดโปงสาเหตุปลด "บรรณวิทย์"มาจากการขวางทางขบวนการทุจริตของผู้มีอำนาจ ระบุหากไฟเขียวซื้อรถหุ้มเกราะเชียงกงจากยูเครน 3.9 พันล้านจะมี “บิ๊กทหาร”รับค่าคอมฯ ไปเล่นการเมืองกว่า 2 พันล้าน เชื่อ“สพรั่ง-บรรณวิทย์”โดนเตะตัดขา เพราะหนุนพันธมิตรฯ
วานนี้ (5ต.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี ถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ว่า เมื่อวันก่อนตนได้พบกับนายกษิต ภิรมย์ อดีตนักการทูตที่มาเตรียมออกรายการที่เอเอสทีวี ทำให้ทราบว่า ขณะนี้กลุ่มที่เคยต่อต้านการทุจริตสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกิดการปฏิวัติ กำลังถูกกันออกมา และไม่ใส่ใจในคำพูดของกลุ่มนี้อีกแล้ว เพราะเป็นพวกที่รู้ทัน มีความคิดอิสระ ไม่ว่าใครก็ครอบงำไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่คนกลุ่มนี้สนับสนุน ทั้ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร หรือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ก็จะถูกตัดตอน ถูกเตะตัดขา
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อประมาณปีเศษที่ผ่านมาเคยตั้งคำถาม คมช.ถึง 4 ภารกิจว่าได้ทำให้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แม้ว่าต่อมาจะเริ่มมีการขยับในภายหลัง แต่ก็กลับมีคำพูดถึงความสมานฉันท์ให้ได้ยินโดยเริ่มจาก พล.อ.วินัย ภัททิยกุล พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตามลำดับ เห็นได้จากการไม่ยอมปลด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.สนธิ จนในที่สุดทนแรงกดดันของสังคมไม่ไหวจึงต้องปลดในภายหลัง ทั้งยังมีกรณีการอุ้มไอทีวีอีก
จากนั้น เมื่อเดือน ก.พ.50 ตนเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามถึงการสมรู้ร่วมคิดระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีการแอบเจราจากันลับหลังหรือเปล่า ตนได้แสดงท่าที่วิพากษ์วิจารณ์พล.อ.สุรยุทธ์อย่างเปิดเผยมาตลอด 9 เดือน แต่มาวันนี้ กลับมีการโยงว่าตนอยู่ในขบวนการโค่นล้ม พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ไม่เป็นธรรมและชั่วร้าย เพราะในข้อเท็จจริงตนพูดอย่างเปิดเผยมานานแล้วว่า ไม่ควรจะเร่งให้มีการเลือกตั้ง เพราะถ้ายังไม่มีการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสื่อ จะทำให้การเขียนรัฐธรรมนูญอีก 10 ครั้ง และการให้มีการเลือกตั้งอีก 10 ครั้งไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น
“กระบวนการกล่าวหาผม โดยค่าย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกมารุนแรงถึงขนาดที่เรียกว่า อะไรก็ตามที่ สนช.ทำอยู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่จะโค่นล้ม พล.อ.สุรยุทธ์ และเลื่อนการเลือกตั้งนั้น เป็นแผนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านอดีตรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม วันที่ท่านประกาศลาออก คุณอารีย์ วงศ์อารยะ โทรไปหาท่าน พูดอย่างไรรู้ไหม พูดบอกว่า ท่านรัฐมนตรีอย่าลาออก เพราะถ้าลาออกแล้วก็ไปเข้าทางสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านผู้ชมครับ ทำไมคนถึงไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่พูดความจริง ท่านรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม ท่านเป็นด็อกเตอร์ ท่านหัวเราะ ท่านก็บอกว่า ผมตัดสินใจด้วยตัวผมเอง คุณสนธิไม่รู้เรื่อง คุณสนธิไม่เกี่ยว คุณอรนุช โอสถานนท์ ก็พูดคล้ายๆ กัน คนใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็พูดออกมาอีกเหมือนกัน บอกว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนผมทั้งสิ้นเพื่อเลื่อนการเลือกตั้ง”
นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปดูคำพูดของตนเองก็คัดค้านการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมมาตลอด เพราะหากจะมีการเลือกตั้งจริงๆ น่าจะเลื่อนไปเป็นในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า เพื่อให้พ้นเดือนธันวาคมเพราะเป็นเดือนมหามงคล ไม่ควรให้มีการปิดป้ายหาเสียง หรือการหาเสียงใดๆ อย่างไรก็ดี เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ต้องการให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารักประชาธิปไตยเท่านั้น
**เบื้องหลัง“บรรณวิทย์”โดนเด้ง
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีการทำงานของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีการดึงเพื่อนร่วมรุ่นที่ไว้ใจเข้ามาคุมกระทรวงสำคัญ ทั้งกระทรวงคมนาคมที่มี พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่มีผลประโยชน์มหาศาล และให้ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่ผ่านมา 9 เดือนเศษที่กระทรวงคมนาคมมีพฤติกรรมอัปยศเกิดขึ้นมากมาย เช่นมีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลที่มี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เคยเป็นกรรมการ ซึ่งเพิ่งลาออกมาไม่กี่วันมานี้ เช่าที่ดินของการรถไฟอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้รัฐเสียประโยชน์
อย่างไรก็ดีมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธานกรรมาธิการคมนาคม มีการตรวจสอบการทุจริตทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ การรถไฟ ซึ่งได้ทำงานด้วยแข็งขัน แต่ไปเหยียบตาปลา ไปขัดขวางผลประโยชน์การคอรัปชั่น ตั้งแต่เรื่องการต่อสัญญาของห้างเซ็นทรัลที่กำลังจะหมดอายุสัญญาอีกอีกปีเศษ
นายสนธิกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีการนำผู้บริหารเซ็นทรัลเข้าเจรจากับ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ แต่ไม่สำเร็จ จึงเป็นที่มาของการปล่อยข่าวทำลายกล่าวหาว่าตบทรัพย์ ทำให้เกิดความมัวหมอง แต่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ก็ไม่สนใจ
อย่างไรก็ดี นายสนธิ กล่าวว่าที่ผ่านมาเคยมีการเสนอให้บริษัทอิสระเข้ามาตรวจสอบประเมินราคาของที่ดินของการรถไฟบริเวณนั้นว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ แล้วค่อยพิจารณาต่อสัญญาเช่า หรือเปิดประมูลใหม่ เพราะหากเปรียบเทียบกับกรณีของมาบุญครองต่อสัญญากับจุฬาอีก 20 ปี ในราคา 2 หมื่นล้าน ทั้งที่จำนวนที่ดินน้อยกว่าที่ดินที่เซ็ฯทรัลเช่าที่ดินการรถไฟเสียอีก ซึ่งหากประเมินแล้วคร่าวๆไม่น่าจะน้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อสัมปทาน 30 ปี
"มีการกล่าวหา พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ว่ากรรโชกทรัพย์ แต่คนพวกนี้ไม่เคยพูดบ้างว่า การงุบงิบทำสัญญาให้เซ็นทรัลเช่าที่ดินในราคาถูกไม่ใช่เป็นการกรรโชกทรัพย์ประชาชน"
นายสนธิ กล่าวว่า จากนั้นก็เริ่มมีการทำลายขัดขวาง เริ่มตั้งแต่การล็อบบี้ให้กรรมาธิการคมนาคมต้องลาออก เพื่อให้ทำงานไม่ได้ หรือมีการสั่งให้ นายทหารในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมไปไล่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของกรรมาธิการคมนาคมที่ตรวจสอบทุจริตโครงการต่างๆได้ใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบก
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ถัดมาเมื่อ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ต้องสวมหมวกอีกใบ เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม ฝ่ายส่งกำลังบำรุง มีหน้าที่ต้องตรวจสอบการจัดซื้ออาวุธของกองทัพทั้งหมด จนมาถึงการสั่งตีกลับโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางของยูเครนที่ใช้งบจัดซื้อถึง 3.98 พันล้านบาท ทั้งที่มูลค่าแท้จริงไม่ถึงพันล้าน เนื่องจากเห็นว่าด้อยคุณภาพ และมีราคาแพงเกินความเป็นจริง และทางสตง.เคยทักท้วงไปแล้ว
"ผมอยากย้อนอดีตถึงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพในอดีตที่ด้อยคุณภาพ เช่นกรณีซื้อเฮลิคอปเตอร์เบลล์ ที่มีสถิติตกมากที่สุด เพราะมีการทุจริต มีนายทหารบางคนอยากได้ค่าคอมมิชชั่น โดยไม่คำนึงถึงชีวิตทหาร แต่เวลามีพ่อค้าอาวุธคนหนึ่งที่เสนอขายเครื่องบินรุ่นนี้หรือหลายโครงการก็ต้องล้มป่วยรับกรรมไปแล้ว"
**แฉ“บิ๊กกองทัพ”หวังงาบ 2 พันล้าน
นายสนธิ ยังเปิดโปงอีกว่า สาเหตุที่ซื้อรถหุ้มเกราะรุ่นนี้เพราะมีบิ๊กคนหนึ่งในกองทัพต้องการเงิน 2 พันล้านบาทเพื่อเล่นการเมือง ทั้งที่เป็นรถหุ้มเกราะที่ผลิตมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว และตกรุ่น ไม่มีการผลิตอีกแล้ว รวมทั้งไม่มีอะหลั่ย ที่ผ่านมาเคยไปเสนอขายพม่า แต่พม่าก็ไม่ซื้อ เพราะเป็นรถเชียงกง
นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ที่อ้างว่าต้องการไปใช้ในชายแดนใต้ ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะนอกจากสมรรถนะไม่เหมาะสมแล้ว ยังใช้อุปกรณ์เช่นยางก็ไม่มีคุณภาพ สามารถเจาะทำลายได้ง่าย ขณะเดียวกันถ้าใช้งบจำนวนเกือบ 4 พันล้านดังกล่าวมาซื้อรถกระบะหรือรถ 6 ล้อแล้วให้สถาบันเทคโนโลยีของไทยไปพัฒนาปรับปรุงเช่น เพิ่มเหล็ก กระจกกันกระสุน ล้อเสริมใยเหล็ก ติดอาวุธให้เหมาะสม ตกคันละไม่น่าเกิน 4-5 ล้านบาท รวมแล้วจะได้ประมาณ 1 พันคัน ทีเดียวก็น่าจะเหมาะสมกว่า
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตกรณีย้าย พล.อ.ทศรฐ เมืองอ่ำ จากประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.บรรณวิทย์นั้น ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวที่ต้องจบไปพร้อมกับ พล.อ.ทศรฐ ดังนั้นการย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไปครั้งนี้ถือเป็นการกลั่นแกล้งไม่ให้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ได้รับเงินเดือน
** ฟันธง “ขวางทุจริต”เหตุโดนเด้ง
พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังได้ตำหนิ พล.อ.บุญรอด ที่ระบุว่า เมื่อมีการโปรดเกล้าฯแล้วห้ามมีการวิจารณ์นั้นว่า เป็นการแอบอ้างฟ้ามากลบความผิดของตัวเอง เป็นการบิดเบือนโดยยกตัวอย่างคำสั่งศาลปกครอง ที่มีการเพิกถอนพระราชบัญญัติ หรือกฤษฎีการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเพิกถอนประกาศไม่ใช่เพิกถอนพระบรมราชโองการ ขณะเดียวกันการโยกย้ายต้องนำเข้าครม. แต่กลับใช้วิธีการหารือกันแค่คนสองคนระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมกับนายก เหมือนกับ สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ
ในตอนท้าย นายสนธิ ฟันธงว่าสาเหตุที่โยกย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไม่ใช่เรื่องการวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา แต่ไปขัดขวางการทุจริตของผู้มีอำนาจหลายหลายโครงการ พร้อมกันนี้ยังได้เตือน พล.อ.ทศรฐ ให้นึกถึงอนาคตและประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อหากอนุมัติผ่านโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะดังกล่าว
**แฉบิ๊ก ปตท.ผลประโยชน์ทับซ้อนอื้อ
ในช่วงท้ายรายการ นายสนธิ ยังกล่าวถึงข้อมูลการถือครองหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้บริหาร ปตท.จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับหุ้นของบริษัท โดยเฉพาะ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น ถือครองหุ้นรวมแล้วกว่า 1 แสนหุ้น หลังจากนั้นก็ไปไล่ซื้อหุ้นบริษัทในเครือ ปตท.อีกเป็นจำนวนมาก เบ็ดเสร็จนายประเสริฐ ถือครองหุ้มรวมกันทั้งหมด 101 ล้านบาท นี่แค่นายประเสริฐคนเดียว ยังมีอีกกี่คน ยังไม่นับนอมินีของต่างชาติที่มาในรูปแบบของนักการเมืองที่ใช้ต่างชาติเป็นตัวการ นี่มันยิ่งกว่าการปล้นชาติ อีกคนคือนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดอุตสาหกรรม หุ้น ปตท.ซื้อตอนนั้น 300,000 หุ้น และบริษัทย่อยรวมกว่า 7 แสนหุ้น
“นี่เป็นเพียงตัวอย่างคน 2 คนเท่านั้นเองที่เกี่ยวข้อง พ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัดว่านี่คือกระบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วผ่องต้นทุนทั้งหลายไปให้ประชาชน พล.อ.สุรยุทธ์ เข้ามาก็ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับ ปตท.เลยแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้มันเป็นไป ปล่อยให้ระบบเก่ามันโกงไป ขูดรีดประชาชนไป”นายสนธิกล่าว
อนึ่ง ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคมนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะมาจัดรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” อีกครั้ง ในเวลา 20.30-21.30 น. เพื่อชี้ให้เห็นถึงไความไม่โปร่งใสของร่างแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา ซึ่งนอกจากประเด็นการเปิดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเงินคลังหลวงไปเสี่ยงแล้ว ยังมีอีก 3-4 มาตราที่มีวาระซ่อนเร้นและส่งผลเสียอย่างเลวร้ายยิ่งกว่า
วานนี้ (5ต.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี ถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ว่า เมื่อวันก่อนตนได้พบกับนายกษิต ภิรมย์ อดีตนักการทูตที่มาเตรียมออกรายการที่เอเอสทีวี ทำให้ทราบว่า ขณะนี้กลุ่มที่เคยต่อต้านการทุจริตสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกิดการปฏิวัติ กำลังถูกกันออกมา และไม่ใส่ใจในคำพูดของกลุ่มนี้อีกแล้ว เพราะเป็นพวกที่รู้ทัน มีความคิดอิสระ ไม่ว่าใครก็ครอบงำไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่คนกลุ่มนี้สนับสนุน ทั้ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร หรือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ก็จะถูกตัดตอน ถูกเตะตัดขา
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อประมาณปีเศษที่ผ่านมาเคยตั้งคำถาม คมช.ถึง 4 ภารกิจว่าได้ทำให้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แม้ว่าต่อมาจะเริ่มมีการขยับในภายหลัง แต่ก็กลับมีคำพูดถึงความสมานฉันท์ให้ได้ยินโดยเริ่มจาก พล.อ.วินัย ภัททิยกุล พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตามลำดับ เห็นได้จากการไม่ยอมปลด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.สนธิ จนในที่สุดทนแรงกดดันของสังคมไม่ไหวจึงต้องปลดในภายหลัง ทั้งยังมีกรณีการอุ้มไอทีวีอีก
จากนั้น เมื่อเดือน ก.พ.50 ตนเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามถึงการสมรู้ร่วมคิดระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีการแอบเจราจากันลับหลังหรือเปล่า ตนได้แสดงท่าที่วิพากษ์วิจารณ์พล.อ.สุรยุทธ์อย่างเปิดเผยมาตลอด 9 เดือน แต่มาวันนี้ กลับมีการโยงว่าตนอยู่ในขบวนการโค่นล้ม พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ไม่เป็นธรรมและชั่วร้าย เพราะในข้อเท็จจริงตนพูดอย่างเปิดเผยมานานแล้วว่า ไม่ควรจะเร่งให้มีการเลือกตั้ง เพราะถ้ายังไม่มีการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสื่อ จะทำให้การเขียนรัฐธรรมนูญอีก 10 ครั้ง และการให้มีการเลือกตั้งอีก 10 ครั้งไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น
“กระบวนการกล่าวหาผม โดยค่าย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกมารุนแรงถึงขนาดที่เรียกว่า อะไรก็ตามที่ สนช.ทำอยู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่จะโค่นล้ม พล.อ.สุรยุทธ์ และเลื่อนการเลือกตั้งนั้น เป็นแผนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านอดีตรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม วันที่ท่านประกาศลาออก คุณอารีย์ วงศ์อารยะ โทรไปหาท่าน พูดอย่างไรรู้ไหม พูดบอกว่า ท่านรัฐมนตรีอย่าลาออก เพราะถ้าลาออกแล้วก็ไปเข้าทางสนธิ ลิ้มทองกุล ท่านผู้ชมครับ ทำไมคนถึงไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่พูดความจริง ท่านรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม ท่านเป็นด็อกเตอร์ ท่านหัวเราะ ท่านก็บอกว่า ผมตัดสินใจด้วยตัวผมเอง คุณสนธิไม่รู้เรื่อง คุณสนธิไม่เกี่ยว คุณอรนุช โอสถานนท์ ก็พูดคล้ายๆ กัน คนใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็พูดออกมาอีกเหมือนกัน บอกว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนผมทั้งสิ้นเพื่อเลื่อนการเลือกตั้ง”
นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปดูคำพูดของตนเองก็คัดค้านการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมมาตลอด เพราะหากจะมีการเลือกตั้งจริงๆ น่าจะเลื่อนไปเป็นในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า เพื่อให้พ้นเดือนธันวาคมเพราะเป็นเดือนมหามงคล ไม่ควรให้มีการปิดป้ายหาเสียง หรือการหาเสียงใดๆ อย่างไรก็ดี เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ต้องการให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารักประชาธิปไตยเท่านั้น
**เบื้องหลัง“บรรณวิทย์”โดนเด้ง
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีการทำงานของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีการดึงเพื่อนร่วมรุ่นที่ไว้ใจเข้ามาคุมกระทรวงสำคัญ ทั้งกระทรวงคมนาคมที่มี พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่มีผลประโยชน์มหาศาล และให้ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่ผ่านมา 9 เดือนเศษที่กระทรวงคมนาคมมีพฤติกรรมอัปยศเกิดขึ้นมากมาย เช่นมีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลที่มี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เคยเป็นกรรมการ ซึ่งเพิ่งลาออกมาไม่กี่วันมานี้ เช่าที่ดินของการรถไฟอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้รัฐเสียประโยชน์
อย่างไรก็ดีมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธานกรรมาธิการคมนาคม มีการตรวจสอบการทุจริตทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ การรถไฟ ซึ่งได้ทำงานด้วยแข็งขัน แต่ไปเหยียบตาปลา ไปขัดขวางผลประโยชน์การคอรัปชั่น ตั้งแต่เรื่องการต่อสัญญาของห้างเซ็นทรัลที่กำลังจะหมดอายุสัญญาอีกอีกปีเศษ
นายสนธิกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีการนำผู้บริหารเซ็นทรัลเข้าเจรจากับ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ แต่ไม่สำเร็จ จึงเป็นที่มาของการปล่อยข่าวทำลายกล่าวหาว่าตบทรัพย์ ทำให้เกิดความมัวหมอง แต่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ก็ไม่สนใจ
อย่างไรก็ดี นายสนธิ กล่าวว่าที่ผ่านมาเคยมีการเสนอให้บริษัทอิสระเข้ามาตรวจสอบประเมินราคาของที่ดินของการรถไฟบริเวณนั้นว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ แล้วค่อยพิจารณาต่อสัญญาเช่า หรือเปิดประมูลใหม่ เพราะหากเปรียบเทียบกับกรณีของมาบุญครองต่อสัญญากับจุฬาอีก 20 ปี ในราคา 2 หมื่นล้าน ทั้งที่จำนวนที่ดินน้อยกว่าที่ดินที่เซ็ฯทรัลเช่าที่ดินการรถไฟเสียอีก ซึ่งหากประเมินแล้วคร่าวๆไม่น่าจะน้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อสัมปทาน 30 ปี
"มีการกล่าวหา พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ว่ากรรโชกทรัพย์ แต่คนพวกนี้ไม่เคยพูดบ้างว่า การงุบงิบทำสัญญาให้เซ็นทรัลเช่าที่ดินในราคาถูกไม่ใช่เป็นการกรรโชกทรัพย์ประชาชน"
นายสนธิ กล่าวว่า จากนั้นก็เริ่มมีการทำลายขัดขวาง เริ่มตั้งแต่การล็อบบี้ให้กรรมาธิการคมนาคมต้องลาออก เพื่อให้ทำงานไม่ได้ หรือมีการสั่งให้ นายทหารในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมไปไล่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของกรรมาธิการคมนาคมที่ตรวจสอบทุจริตโครงการต่างๆได้ใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบก
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ถัดมาเมื่อ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ต้องสวมหมวกอีกใบ เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม ฝ่ายส่งกำลังบำรุง มีหน้าที่ต้องตรวจสอบการจัดซื้ออาวุธของกองทัพทั้งหมด จนมาถึงการสั่งตีกลับโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางของยูเครนที่ใช้งบจัดซื้อถึง 3.98 พันล้านบาท ทั้งที่มูลค่าแท้จริงไม่ถึงพันล้าน เนื่องจากเห็นว่าด้อยคุณภาพ และมีราคาแพงเกินความเป็นจริง และทางสตง.เคยทักท้วงไปแล้ว
"ผมอยากย้อนอดีตถึงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพในอดีตที่ด้อยคุณภาพ เช่นกรณีซื้อเฮลิคอปเตอร์เบลล์ ที่มีสถิติตกมากที่สุด เพราะมีการทุจริต มีนายทหารบางคนอยากได้ค่าคอมมิชชั่น โดยไม่คำนึงถึงชีวิตทหาร แต่เวลามีพ่อค้าอาวุธคนหนึ่งที่เสนอขายเครื่องบินรุ่นนี้หรือหลายโครงการก็ต้องล้มป่วยรับกรรมไปแล้ว"
**แฉ“บิ๊กกองทัพ”หวังงาบ 2 พันล้าน
นายสนธิ ยังเปิดโปงอีกว่า สาเหตุที่ซื้อรถหุ้มเกราะรุ่นนี้เพราะมีบิ๊กคนหนึ่งในกองทัพต้องการเงิน 2 พันล้านบาทเพื่อเล่นการเมือง ทั้งที่เป็นรถหุ้มเกราะที่ผลิตมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว และตกรุ่น ไม่มีการผลิตอีกแล้ว รวมทั้งไม่มีอะหลั่ย ที่ผ่านมาเคยไปเสนอขายพม่า แต่พม่าก็ไม่ซื้อ เพราะเป็นรถเชียงกง
นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ที่อ้างว่าต้องการไปใช้ในชายแดนใต้ ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะนอกจากสมรรถนะไม่เหมาะสมแล้ว ยังใช้อุปกรณ์เช่นยางก็ไม่มีคุณภาพ สามารถเจาะทำลายได้ง่าย ขณะเดียวกันถ้าใช้งบจำนวนเกือบ 4 พันล้านดังกล่าวมาซื้อรถกระบะหรือรถ 6 ล้อแล้วให้สถาบันเทคโนโลยีของไทยไปพัฒนาปรับปรุงเช่น เพิ่มเหล็ก กระจกกันกระสุน ล้อเสริมใยเหล็ก ติดอาวุธให้เหมาะสม ตกคันละไม่น่าเกิน 4-5 ล้านบาท รวมแล้วจะได้ประมาณ 1 พันคัน ทีเดียวก็น่าจะเหมาะสมกว่า
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตกรณีย้าย พล.อ.ทศรฐ เมืองอ่ำ จากประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.บรรณวิทย์นั้น ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวที่ต้องจบไปพร้อมกับ พล.อ.ทศรฐ ดังนั้นการย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไปครั้งนี้ถือเป็นการกลั่นแกล้งไม่ให้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ได้รับเงินเดือน
** ฟันธง “ขวางทุจริต”เหตุโดนเด้ง
พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังได้ตำหนิ พล.อ.บุญรอด ที่ระบุว่า เมื่อมีการโปรดเกล้าฯแล้วห้ามมีการวิจารณ์นั้นว่า เป็นการแอบอ้างฟ้ามากลบความผิดของตัวเอง เป็นการบิดเบือนโดยยกตัวอย่างคำสั่งศาลปกครอง ที่มีการเพิกถอนพระราชบัญญัติ หรือกฤษฎีการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเพิกถอนประกาศไม่ใช่เพิกถอนพระบรมราชโองการ ขณะเดียวกันการโยกย้ายต้องนำเข้าครม. แต่กลับใช้วิธีการหารือกันแค่คนสองคนระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมกับนายก เหมือนกับ สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ
ในตอนท้าย นายสนธิ ฟันธงว่าสาเหตุที่โยกย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไม่ใช่เรื่องการวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา แต่ไปขัดขวางการทุจริตของผู้มีอำนาจหลายหลายโครงการ พร้อมกันนี้ยังได้เตือน พล.อ.ทศรฐ ให้นึกถึงอนาคตและประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อหากอนุมัติผ่านโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะดังกล่าว
**แฉบิ๊ก ปตท.ผลประโยชน์ทับซ้อนอื้อ
ในช่วงท้ายรายการ นายสนธิ ยังกล่าวถึงข้อมูลการถือครองหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้บริหาร ปตท.จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับหุ้นของบริษัท โดยเฉพาะ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น ถือครองหุ้นรวมแล้วกว่า 1 แสนหุ้น หลังจากนั้นก็ไปไล่ซื้อหุ้นบริษัทในเครือ ปตท.อีกเป็นจำนวนมาก เบ็ดเสร็จนายประเสริฐ ถือครองหุ้มรวมกันทั้งหมด 101 ล้านบาท นี่แค่นายประเสริฐคนเดียว ยังมีอีกกี่คน ยังไม่นับนอมินีของต่างชาติที่มาในรูปแบบของนักการเมืองที่ใช้ต่างชาติเป็นตัวการ นี่มันยิ่งกว่าการปล้นชาติ อีกคนคือนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดอุตสาหกรรม หุ้น ปตท.ซื้อตอนนั้น 300,000 หุ้น และบริษัทย่อยรวมกว่า 7 แสนหุ้น
“นี่เป็นเพียงตัวอย่างคน 2 คนเท่านั้นเองที่เกี่ยวข้อง พ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัดว่านี่คือกระบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วผ่องต้นทุนทั้งหลายไปให้ประชาชน พล.อ.สุรยุทธ์ เข้ามาก็ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับ ปตท.เลยแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้มันเป็นไป ปล่อยให้ระบบเก่ามันโกงไป ขูดรีดประชาชนไป”นายสนธิกล่าว
อนึ่ง ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคมนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะมาจัดรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” อีกครั้ง ในเวลา 20.30-21.30 น. เพื่อชี้ให้เห็นถึงไความไม่โปร่งใสของร่างแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา ซึ่งนอกจากประเด็นการเปิดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเงินคลังหลวงไปเสี่ยงแล้ว ยังมีอีก 3-4 มาตราที่มีวาระซ่อนเร้นและส่งผลเสียอย่างเลวร้ายยิ่งกว่า