.
ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่านายกรัฐมนตรีไทยคือโจร แต่เป็นโจรที่อ้างว่าได้กลับใจแล้ว ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนายกรัฐมนตรีทำไมจึงจะต้องบอกประชาชนว่าตัวเองเป็นโจร เพราะเมื่อเป็นโจรแล้วไม่ว่าจะกลับใจหรือไม่กลับใจ ก็ไม่เหมาะไม่ควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งนั้น
เพราะเมื่อเคยเป็นโจรแล้วมาบอกว่ากลับใจก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองกันให้ดีก่อนว่ากลับใจจริงหรือไม่
คำพูดอย่างนี้จึงไม่ควรเป็นคำพูดของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การพูดอย่างนี้ก็คงไม่ใช่พูดออกมาอย่างเลื่อนลอย หากต้องมีมูลเหตุจูงใจอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
คนที่มียศเป็นพลเอก เคยเป็นองคมนตรี บัดนี้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมาบอกว่าเป็นโจร ถึงแม้จะเป็นโจรกลับใจก็เถอะ ย่อมมีอะไรให้ต้องดูกันอย่างลึกซึ้ง ถึงมูลเหตุที่ทำให้พูดครั้งนี้
เป็นการพูดหลังกรณีสำคัญ 2 กรณี คือกรณีรัฐมนตรีถึง 5 คนไม่อาจยอมทนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหน้าด้าน จึงลาออกจากตำแหน่งด้วยสาเหตุทำนองเดียวกัน คือถือหุ้นในนิติบุคคลเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนด
ยกเว้นบางคนที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ทำนองเดียวกับคดีของคุณทักษิณ ชินวัตร และเมียซึ่งถูกดำเนินคดีอาญาอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองอยู่ในขณะนี้
รัฐมนตรี 5 คนที่ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วย่อมเกิดขึ้นจากความสำนึกรับผิดชอบด้วยความละอายใจและไม่ต้องการให้บ้านเมืองมัวหมอง เพราะผู้คนในรัฐบาลมีความมัวหมอง
แต่ในขณะเดียวกัน คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีกลับทำเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีนั่นแหละที่เป็นผู้ต้องรับผิดชอบเป็นคนที่หนึ่ง เพราะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งรัฐมนตรี
ที่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการก็เพราะต้องการให้มีผู้รับผิดชอบ แต่มาถึงวันนี้คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็คงได้เห็นกันแล้วว่าพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่รับผิดชอบและไม่แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อการตั้งผู้ที่มีความมัวหมองเป็นรัฐมนตรี
เป็นผู้ไม่รับผิดชอบในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เป็นแบบอย่างที่เสียหายแก่บ้านเมืองไปในภายภาคหน้าอีกกรณีหนึ่ง หลังจากการรับสนองพระบรมราชโองการเก็บเอาคนกล้าหาญของแผ่นดินและเสียสละเพื่อแผ่นดินเข้าไปไว้ในกรุเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม
ก็ต้องขอบอกให้คนไทยทั้งประเทศได้ดูเป็นเยี่ยงอย่างไว้ว่านี่คือแบบอย่างของการไม่รับผิดชอบที่จะต้องจดจำไว้สอนลูกสอนหลานว่าอย่าเอาอย่างนี้ อย่าเอาเยี่ยงนี้เป็นอันขาด
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนวาทะกรรมอันลือลั่นว่าเป็นโจรแต่เป็นโจรกลับใจ
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่อาจเกี่ยวข้องกัน คือ การที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติรวม 26 คนได้เข้าชื่อกันยื่นญัตติขอซักฟอกนายกรัฐมนตรีในปัญหา จริยธรรม
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งเป็นคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเกือบทั้งหมดเป็นผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และในเรื่องพฤติกรรมส่วนบุคคลว่าเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีจริยธรรม อันพึงเป็นแบบอย่างให้กับบ้านเมืองได้
การที่พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถูกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวเข้าชื่อกันยื่นญัตติขออภิปรายซักฟอก จึงเป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างรุนแรง
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องการสร้างภาพลักษณ์ตัวเองว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดี เป็นคนมีศีลธรรมจริยธรรม ถึงขนาดรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งนำมาอวดอ้างแบบไม่เข้าท่าว่าการที่รัฐบาลไม่ทำชั่วและไม่โกงคือผลงาน
ซึ่งมีผู้เปรียบเปรยไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้วว่ารัฐบาลนี้ดูถูกตนเองว่าแย่ยิ่งกว่าสากกะเบือ เพราะสากกะเบือก็ไม่ทำชั่วและไม่คดโกงใคร แต่ยังทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์ด้วยความซื่อตรงอยู่เสมอ
ตำน้ำพริกหรือตำข้าวคราวใด ก็ตำได้อย่างที่คาดหวังทุกครั้งไป ไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง ไม่เพิ่มวิกฤตให้กับบ้านเมือง ไม่เอื้อประโยชน์ให้คนโกงชาติ และไม่รู้เห็นเป็นใจให้พรรคพวกโกงบ้านกินเมือง
นั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ยื่นญัตติที่ทำให้เกิดความกระเทือนใจได้มาก แต่ที่ลึกไปกว่านั้นก็เพราะเรื่องนี้เป็นที่รู้ดีกันว่าปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมที่จะมีการซักฟอกนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เท่าที่ได้ยินมาล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเอาปี๊บคลุมหัวทั้งสิ้น เช่น
เรื่องแรก เรื่องการทำผิดกฎหมายในกรณีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติที่เขายายเที่ยง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้มีฐานะอำนาจวาสนาแล้วไปเบียดเบียนที่คนยากคนจนเอาเป็นของตนเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายซึ่งถ้าหากเป็นชาวบ้านก็ถูกศาลจำคุกมาแล้วมากมาย
ที่ร้ายกว่านั้นคือเรื่องการตีมูลค่าทรัพย์สินในที่ดินแปลงนี้ว่าอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะมีผู้ระบุว่าทรัพย์สินที่แท้จริงมีมูลค่าเกือบร้อยล้านบาท แต่ตีราคาแค่ประมาณ 10 ล้านบาท จึงเป็นการประเมินทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
และที่ร้ายหนักกว่านั้นคือการได้มาว่าเป็นการซื้อหามาโดยสุจริต หรือว่าได้มาโดยการยกให้ในลักษณะที่ตอบแทนกับประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งลุกลามไปถึงเรื่องคอร์รัปชั่น
เรื่องที่สอง เรื่องบัญชีทรัพย์สินซึ่งนอกจากเกี่ยวพันกับเรื่องแรกแล้ว ยังมีข่าวปรากฏว่ายังมีรถเฟอร์รี่ราคาคันละประมาณ 40 ล้านบาทถึง 2 คันที่เคยขับขี่ใช้สอยและผู้มีคนรู้เห็นเป็นพยานหลายคนแต่ไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องจริยธรรมโดยตรงคือการตั้งคนที่มัวหมองเป็นรัฐมนตรีโดยละเมิดต่อพระบรมราชโองการ คือเอาของมัวหมองขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงแต่งตั้ง เพราะนอกจากรัฐมนตรีที่มีปัญหาการถือหุ้นแล้ว ยังมีรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องคู่เขยหรือรัฐมนตรีที่เมียเคยตกเป็นผู้ลักทรัพย์ในห้างปลอดภาษีพีเอ็กซ์ของสหรัฐ เป็นต้น ทำให้เห็นว่าผู้คนที่ได้รับความเชื่อถือล้วนแต่มีมลทินมัวหมองทั้งสิ้น
เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กระมัง จึงต้องกันตัวเอาไว้ก่อนด้วยวาทะกรรมที่ว่าเป็นโจรกลับใจ!
ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่านายกรัฐมนตรีไทยคือโจร แต่เป็นโจรที่อ้างว่าได้กลับใจแล้ว ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนายกรัฐมนตรีทำไมจึงจะต้องบอกประชาชนว่าตัวเองเป็นโจร เพราะเมื่อเป็นโจรแล้วไม่ว่าจะกลับใจหรือไม่กลับใจ ก็ไม่เหมาะไม่ควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งนั้น
เพราะเมื่อเคยเป็นโจรแล้วมาบอกว่ากลับใจก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองกันให้ดีก่อนว่ากลับใจจริงหรือไม่
คำพูดอย่างนี้จึงไม่ควรเป็นคำพูดของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การพูดอย่างนี้ก็คงไม่ใช่พูดออกมาอย่างเลื่อนลอย หากต้องมีมูลเหตุจูงใจอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
คนที่มียศเป็นพลเอก เคยเป็นองคมนตรี บัดนี้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมาบอกว่าเป็นโจร ถึงแม้จะเป็นโจรกลับใจก็เถอะ ย่อมมีอะไรให้ต้องดูกันอย่างลึกซึ้ง ถึงมูลเหตุที่ทำให้พูดครั้งนี้
เป็นการพูดหลังกรณีสำคัญ 2 กรณี คือกรณีรัฐมนตรีถึง 5 คนไม่อาจยอมทนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหน้าด้าน จึงลาออกจากตำแหน่งด้วยสาเหตุทำนองเดียวกัน คือถือหุ้นในนิติบุคคลเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนด
ยกเว้นบางคนที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ทำนองเดียวกับคดีของคุณทักษิณ ชินวัตร และเมียซึ่งถูกดำเนินคดีอาญาอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองอยู่ในขณะนี้
รัฐมนตรี 5 คนที่ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วย่อมเกิดขึ้นจากความสำนึกรับผิดชอบด้วยความละอายใจและไม่ต้องการให้บ้านเมืองมัวหมอง เพราะผู้คนในรัฐบาลมีความมัวหมอง
แต่ในขณะเดียวกัน คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีกลับทำเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีนั่นแหละที่เป็นผู้ต้องรับผิดชอบเป็นคนที่หนึ่ง เพราะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งรัฐมนตรี
ที่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการก็เพราะต้องการให้มีผู้รับผิดชอบ แต่มาถึงวันนี้คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็คงได้เห็นกันแล้วว่าพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่รับผิดชอบและไม่แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อการตั้งผู้ที่มีความมัวหมองเป็นรัฐมนตรี
เป็นผู้ไม่รับผิดชอบในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เป็นแบบอย่างที่เสียหายแก่บ้านเมืองไปในภายภาคหน้าอีกกรณีหนึ่ง หลังจากการรับสนองพระบรมราชโองการเก็บเอาคนกล้าหาญของแผ่นดินและเสียสละเพื่อแผ่นดินเข้าไปไว้ในกรุเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม
ก็ต้องขอบอกให้คนไทยทั้งประเทศได้ดูเป็นเยี่ยงอย่างไว้ว่านี่คือแบบอย่างของการไม่รับผิดชอบที่จะต้องจดจำไว้สอนลูกสอนหลานว่าอย่าเอาอย่างนี้ อย่าเอาเยี่ยงนี้เป็นอันขาด
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนวาทะกรรมอันลือลั่นว่าเป็นโจรแต่เป็นโจรกลับใจ
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่อาจเกี่ยวข้องกัน คือ การที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติรวม 26 คนได้เข้าชื่อกันยื่นญัตติขอซักฟอกนายกรัฐมนตรีในปัญหา จริยธรรม
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งเป็นคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเกือบทั้งหมดเป็นผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และในเรื่องพฤติกรรมส่วนบุคคลว่าเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีจริยธรรม อันพึงเป็นแบบอย่างให้กับบ้านเมืองได้
การที่พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถูกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวเข้าชื่อกันยื่นญัตติขออภิปรายซักฟอก จึงเป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างรุนแรง
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องการสร้างภาพลักษณ์ตัวเองว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดี เป็นคนมีศีลธรรมจริยธรรม ถึงขนาดรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งนำมาอวดอ้างแบบไม่เข้าท่าว่าการที่รัฐบาลไม่ทำชั่วและไม่โกงคือผลงาน
ซึ่งมีผู้เปรียบเปรยไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้วว่ารัฐบาลนี้ดูถูกตนเองว่าแย่ยิ่งกว่าสากกะเบือ เพราะสากกะเบือก็ไม่ทำชั่วและไม่คดโกงใคร แต่ยังทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์ด้วยความซื่อตรงอยู่เสมอ
ตำน้ำพริกหรือตำข้าวคราวใด ก็ตำได้อย่างที่คาดหวังทุกครั้งไป ไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง ไม่เพิ่มวิกฤตให้กับบ้านเมือง ไม่เอื้อประโยชน์ให้คนโกงชาติ และไม่รู้เห็นเป็นใจให้พรรคพวกโกงบ้านกินเมือง
นั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ยื่นญัตติที่ทำให้เกิดความกระเทือนใจได้มาก แต่ที่ลึกไปกว่านั้นก็เพราะเรื่องนี้เป็นที่รู้ดีกันว่าปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมที่จะมีการซักฟอกนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เท่าที่ได้ยินมาล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเอาปี๊บคลุมหัวทั้งสิ้น เช่น
เรื่องแรก เรื่องการทำผิดกฎหมายในกรณีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติที่เขายายเที่ยง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้มีฐานะอำนาจวาสนาแล้วไปเบียดเบียนที่คนยากคนจนเอาเป็นของตนเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายซึ่งถ้าหากเป็นชาวบ้านก็ถูกศาลจำคุกมาแล้วมากมาย
ที่ร้ายกว่านั้นคือเรื่องการตีมูลค่าทรัพย์สินในที่ดินแปลงนี้ว่าอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะมีผู้ระบุว่าทรัพย์สินที่แท้จริงมีมูลค่าเกือบร้อยล้านบาท แต่ตีราคาแค่ประมาณ 10 ล้านบาท จึงเป็นการประเมินทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
และที่ร้ายหนักกว่านั้นคือการได้มาว่าเป็นการซื้อหามาโดยสุจริต หรือว่าได้มาโดยการยกให้ในลักษณะที่ตอบแทนกับประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งลุกลามไปถึงเรื่องคอร์รัปชั่น
เรื่องที่สอง เรื่องบัญชีทรัพย์สินซึ่งนอกจากเกี่ยวพันกับเรื่องแรกแล้ว ยังมีข่าวปรากฏว่ายังมีรถเฟอร์รี่ราคาคันละประมาณ 40 ล้านบาทถึง 2 คันที่เคยขับขี่ใช้สอยและผู้มีคนรู้เห็นเป็นพยานหลายคนแต่ไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องจริยธรรมโดยตรงคือการตั้งคนที่มัวหมองเป็นรัฐมนตรีโดยละเมิดต่อพระบรมราชโองการ คือเอาของมัวหมองขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงแต่งตั้ง เพราะนอกจากรัฐมนตรีที่มีปัญหาการถือหุ้นแล้ว ยังมีรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องคู่เขยหรือรัฐมนตรีที่เมียเคยตกเป็นผู้ลักทรัพย์ในห้างปลอดภาษีพีเอ็กซ์ของสหรัฐ เป็นต้น ทำให้เห็นว่าผู้คนที่ได้รับความเชื่อถือล้วนแต่มีมลทินมัวหมองทั้งสิ้น
เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กระมัง จึงต้องกันตัวเอาไว้ก่อนด้วยวาทะกรรมที่ว่าเป็นโจรกลับใจ!