ช่วงบ่ายวานนี้ (1ต.ค.) มีการประชุมใหญ่ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) โดยนายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. แถลงถึงกรณีที่ ทีมทนายความ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำโดยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ออกมาเรียกร้องให้ คตส.โดยเฉพาะกรรมการสายตุลาการลาออกทั้งคณะ เนื่องจากทำผิดจริยธรรมตุลาการว่า การทำงานของคตส.ที่ผ่านมา 1 ปี ให้โอกาสผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในการชี้แจงเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่มีคำพิพากษาจากศาล แล้วไม่มีความผิดก็ยกฟ้องตอนนั้นค่อยมาบอกว่า คตส.ไม่มีผลงานจะดีกว่า
ส่วนเรื่องจริยธรรมที่จะให้คตส. ลาออกนั้นยืนยันว่า คตส. ใช้อำนาจหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น ก่อนที่จะติติงจริยธรรมผู้อื่น ควรดูจริยธรรมตัวเองก่อน เพราะ คตส. ทำตามกฎหมาย ที่ต้องการเอาคนผิดต่อประเทศชาติมาลงโทษและเอาบุคคลที่ทำผิดมาลงโทษ โดย คตส. ทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว หรือ ครอบครัวเดียว เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
"ดังนั้นทีมทนายที่ออกมาเรียกร้องให้ คตส.ลาออก ควรคำนึงถึงจริยธรรมของวิชาชีพทนายความด้วย ไม่ใช่เป็นการสร้างงานเพื่อให้เกิดค่าจ้าง ทนายความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ไปวิ่งโร่ไปแย่งงาน หรือหาลูกค้า ซึ่งผิดวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ" นายสัก กล่าว
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า คตส.ไม่มีผลงานนั้น เนื่องจากหลายคดี คตส.เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่มีหลายดดีผู้ถูกกกล่าวหาไม่ยอมเดินทางกลับมาในประเทศ มีข้ออ้างติดภารกิจที่ต่างประเทศตลอด ผู้ถูกกล่าวหาหนีศาลไม่ยอมมาต่อสู้ หากมั่นใจว่าไม่ผิดเพราะเหตุใดจึงไม่ยอมกลับมาชี้แจง ดังนั้นหากศาลพิพากษายกฟ้อง ค่อยมาว่า คตส.ไม่ทำงาน ถ้าไม่ผิดก็ให้กลับมาต่อสู้กัน
"คตส.ไม่หวั่นไหว เปรียบได้กับใบตองแห้ง ที่ต่างจากการกระทำของบุคคลที่ทำเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว และครอบครัวเดียวและการที่ทำงานเช่นนั้น ก็เพื่อค่าจ้าง เพราะ คตส.เราทำงานเพื่อนำคนทุจริตมาลงโทษ และคนที่ทำให้รัฐเสียหายต้องรับผิดชอบในผลเสียหายนั้น ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ ดังนั้นการมีคนพูดเช่นนี้เป็นการมองว่าเกิดจากการสร้างงานเพื่อให้เกิดค่าจ้างอันผิดวิสัยและวิชาชีพของทนายความ เพราะทนายความ มีเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ใช่วิ่งโร่ไปหางานในลักษณะเช่นนี้" นายสัก ระบุ
นายสัก ยังชี้แจง เรื่องการได้รับส่วนแบ่ง กรณีการให้ข้อมูลกับ คตส. แล้วได้รับค่าตอบแทนตามระเบียบเรื่องการให้ค่าตอบแทน 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อคดีสิ้นสุดลงนั้น ขอยืนยันว่าเป็นการออกระเบียบตามกฎหมายป.ป.ช. ซึ่งตั้งแต่มี ป.ป.ช.ยังไม่เคยมีระเบียบเช่นนี้ คตส.เห็นว่ามีประโยชน์ จึงออกระเบียบนี้ขึ้นมา ส่วนสินบน 25 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เพราะเงินที่ได้จะเป็นส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน จะได้ก็ต่อเมื่อคดีมีคำพิพากษาถึงที่สุด
"ดังนั้นด้วยความรับผิดชอบตามหน้าที่ของคตส. จึงขอยืนยันว่า จะไม่ลาออก ส่วนที่ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าหากกลับมาแล้วอยากให้เรื่องแล้วๆ กันไป เพื่อสมานฉันฑ์นั้น คตส.จะไม่มีการสมานฉันท์กับใครได้ ถ้าตรวจสอบพบการกระทำผิดสร้างความเสียหายให้แก่รัฐ และมีการไต่สวนสรุปสำนวนส่งสู่ศาล ซึ่งในกระบวนการนี้ จึงไม่สามารถสมานฉันท์กับใครได้" นายสักกล่าว
**"ศิโรตม์"ปฏิเสธละเว้นเก็บภาษีแม้ว
วานนี้ (1 ต.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดแถลงเปิดคดีดำ หมายเลขที่ อ.2953/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร นายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีต ผอ.สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากร น.ส.สุจินดา แสงชมพู อดีตนิติกร 9 ชช. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตนิติกร 8 ว. และ น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ อดีตนิติกร 7 ว. เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร ร่วมกันละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรฯ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลอาญา มาตรา 154 , 157 กรณีงดเว้นการคำนวณภาษีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา ในการโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดา ของคุณหญิงพจมาน และกลุ่มคนรับใช้
โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้ง 5 ฟังแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ จากนั้นอัยการโจทก์ แถลงขอนำพยานขึ้นเบิกความรวม 8 ปาก โดยพยานลำดับที่ 1-4 เป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งจะนำสืบเกี่ยวกับที่มาของคดี ส่วนพยานลำดับที่ 5-6 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร นำสืบเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูลการคำนวณภาษี พยานลำดับที่ 7 เป็นศาสตราจารย์ ด้านกฎหมายที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการคำนวณภาษี และพยานลำดับที่ 8 เป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรที่จะรับรองพยานเอกสาร ซึ่งคดีนี้โจทก์มีพยานเอกสารนำสืบรวม 69 อันดับ
ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยแถลงต่อศาลว่า เนื่องจากคดีนี้มีพยานเอกสารจำนวนมาก และข้อเท็จจริงมีความซับซ้อน จึงขอเวลาในการตรวจสอบพยานหลักฐานโจทก์ ก่อนยื่นบัญชีพยาน
ศาลสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดตรวจสอบพยานหลักฐานเป็นวันที่ 3 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น. นอกจากนี้ จำเลยที่ 2-5 ได้ยื่นคำร้องขอสืบพยานลับหลัง อ้างว่าต้องปฏิบัติภารกิจ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี กรณีไม่มีเหตุอันควร ให้ยกคำร้อง
ส่วนเรื่องจริยธรรมที่จะให้คตส. ลาออกนั้นยืนยันว่า คตส. ใช้อำนาจหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น ก่อนที่จะติติงจริยธรรมผู้อื่น ควรดูจริยธรรมตัวเองก่อน เพราะ คตส. ทำตามกฎหมาย ที่ต้องการเอาคนผิดต่อประเทศชาติมาลงโทษและเอาบุคคลที่ทำผิดมาลงโทษ โดย คตส. ทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว หรือ ครอบครัวเดียว เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
"ดังนั้นทีมทนายที่ออกมาเรียกร้องให้ คตส.ลาออก ควรคำนึงถึงจริยธรรมของวิชาชีพทนายความด้วย ไม่ใช่เป็นการสร้างงานเพื่อให้เกิดค่าจ้าง ทนายความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ไปวิ่งโร่ไปแย่งงาน หรือหาลูกค้า ซึ่งผิดวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ" นายสัก กล่าว
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า คตส.ไม่มีผลงานนั้น เนื่องจากหลายคดี คตส.เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่มีหลายดดีผู้ถูกกกล่าวหาไม่ยอมเดินทางกลับมาในประเทศ มีข้ออ้างติดภารกิจที่ต่างประเทศตลอด ผู้ถูกกล่าวหาหนีศาลไม่ยอมมาต่อสู้ หากมั่นใจว่าไม่ผิดเพราะเหตุใดจึงไม่ยอมกลับมาชี้แจง ดังนั้นหากศาลพิพากษายกฟ้อง ค่อยมาว่า คตส.ไม่ทำงาน ถ้าไม่ผิดก็ให้กลับมาต่อสู้กัน
"คตส.ไม่หวั่นไหว เปรียบได้กับใบตองแห้ง ที่ต่างจากการกระทำของบุคคลที่ทำเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว และครอบครัวเดียวและการที่ทำงานเช่นนั้น ก็เพื่อค่าจ้าง เพราะ คตส.เราทำงานเพื่อนำคนทุจริตมาลงโทษ และคนที่ทำให้รัฐเสียหายต้องรับผิดชอบในผลเสียหายนั้น ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ ดังนั้นการมีคนพูดเช่นนี้เป็นการมองว่าเกิดจากการสร้างงานเพื่อให้เกิดค่าจ้างอันผิดวิสัยและวิชาชีพของทนายความ เพราะทนายความ มีเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ใช่วิ่งโร่ไปหางานในลักษณะเช่นนี้" นายสัก ระบุ
นายสัก ยังชี้แจง เรื่องการได้รับส่วนแบ่ง กรณีการให้ข้อมูลกับ คตส. แล้วได้รับค่าตอบแทนตามระเบียบเรื่องการให้ค่าตอบแทน 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อคดีสิ้นสุดลงนั้น ขอยืนยันว่าเป็นการออกระเบียบตามกฎหมายป.ป.ช. ซึ่งตั้งแต่มี ป.ป.ช.ยังไม่เคยมีระเบียบเช่นนี้ คตส.เห็นว่ามีประโยชน์ จึงออกระเบียบนี้ขึ้นมา ส่วนสินบน 25 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เพราะเงินที่ได้จะเป็นส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน จะได้ก็ต่อเมื่อคดีมีคำพิพากษาถึงที่สุด
"ดังนั้นด้วยความรับผิดชอบตามหน้าที่ของคตส. จึงขอยืนยันว่า จะไม่ลาออก ส่วนที่ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าหากกลับมาแล้วอยากให้เรื่องแล้วๆ กันไป เพื่อสมานฉันฑ์นั้น คตส.จะไม่มีการสมานฉันท์กับใครได้ ถ้าตรวจสอบพบการกระทำผิดสร้างความเสียหายให้แก่รัฐ และมีการไต่สวนสรุปสำนวนส่งสู่ศาล ซึ่งในกระบวนการนี้ จึงไม่สามารถสมานฉันท์กับใครได้" นายสักกล่าว
**"ศิโรตม์"ปฏิเสธละเว้นเก็บภาษีแม้ว
วานนี้ (1 ต.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดแถลงเปิดคดีดำ หมายเลขที่ อ.2953/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร นายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีต ผอ.สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากร น.ส.สุจินดา แสงชมพู อดีตนิติกร 9 ชช. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตนิติกร 8 ว. และ น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ อดีตนิติกร 7 ว. เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร ร่วมกันละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรฯ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลอาญา มาตรา 154 , 157 กรณีงดเว้นการคำนวณภาษีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา ในการโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดา ของคุณหญิงพจมาน และกลุ่มคนรับใช้
โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้ง 5 ฟังแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ จากนั้นอัยการโจทก์ แถลงขอนำพยานขึ้นเบิกความรวม 8 ปาก โดยพยานลำดับที่ 1-4 เป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งจะนำสืบเกี่ยวกับที่มาของคดี ส่วนพยานลำดับที่ 5-6 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร นำสืบเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูลการคำนวณภาษี พยานลำดับที่ 7 เป็นศาสตราจารย์ ด้านกฎหมายที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการคำนวณภาษี และพยานลำดับที่ 8 เป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรที่จะรับรองพยานเอกสาร ซึ่งคดีนี้โจทก์มีพยานเอกสารนำสืบรวม 69 อันดับ
ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยแถลงต่อศาลว่า เนื่องจากคดีนี้มีพยานเอกสารจำนวนมาก และข้อเท็จจริงมีความซับซ้อน จึงขอเวลาในการตรวจสอบพยานหลักฐานโจทก์ ก่อนยื่นบัญชีพยาน
ศาลสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดตรวจสอบพยานหลักฐานเป็นวันที่ 3 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น. นอกจากนี้ จำเลยที่ 2-5 ได้ยื่นคำร้องขอสืบพยานลับหลัง อ้างว่าต้องปฏิบัติภารกิจ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี กรณีไม่มีเหตุอันควร ให้ยกคำร้อง