นานาชาติต่างก็เป็นห่วง และประณามรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า นำโดย พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ประมุขประเทศ และรัฐบาลพม่า ได้กระทำการปราบปรามพระสงฆ์และพี่น้องประชาชนอย่างรุนแรง ล่าสุดนี้ล้มตายไปหลายสิบคน และบาดเจ็บเป็นอันมากอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่ประเทศพม่านั้น พระสงฆ์เป็นสถาบันที่ชาวพม่าให้ความเคารพสูงสุด และการที่พระสงฆ์พม่าออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหารนั้นเชื่อว่าถ้าประชาชนไม่เดือดร้อนอย่างไม่หนักหนาสาหัส สากรรจ์จริงๆ แล้ว พระสงฆ์คงจะไม่นำประท้วงอย่างแน่นอน พระสงฆ์พม่าส่วนใหญ่มีความเป็นชาตินิยมสูง มีเอกภาพ รักชาติ และที่สำคัญยิ่งคือ สถาบันพระสงฆ์เป็นผู้นำทางสัจธรรม เป็นนำทางจิต มโน วิญญาณ เป็นนำทางความคิดโดยธรรม และเป็นนำอารยธรรม ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม เมื่อบ้านเมืองมีความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม เมื่อเห็นว่าหมดหนทาง เป็นธรรมดาอยู่เองที่พระสงฆ์จะต้องออกมาประท้วง เพื่อหาความเป็นธรรมให้กับประชาชน จึงเป็นการสมควรแล้ว
ย้อนกลับไปดูความเป็นมาของพม่า หลังจากอังกฤษได้ยึดเอาประเทศพม่าเป็นประเทศราชแล้วกิจการพระพุทธศาสนาก็เป็นไปตามยถากรรม คือไม่ได้รับความอุปถัมภ์อย่างสมัยที่พม่าเป็นเอกราช มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก นับว่ายังเป็นความโชคดีอยู่ที่พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในชีวิตจิตใจของชาวพม่ามาช้าแล้ว จนกระทั่งคำว่า “พม่า” กับ “พุทธศาสนิกชน” เกือบจะเป็นคำเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงดำรงมั่นมาได้ ทั้งนี้ก็โดยความร่วมแรงร่วมใจระหว่างพระสงฆ์กับประชาชนชาวพม่านั่นเอง แม้ว่าจะมีความบกพร่องบ้าง แต่ถ้าพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมแล้วก็น่าเห็นใจมากอยู่
พระพุทธศาสนามีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของชาวพม่ามาก แทบจะแยกกันไม่ออกทีเดียว ชาวพม่าคนใดถือศาสนาอื่นจากพระพุทธศาสนา เขาเรียกกันว่า “กะละ” (Kala) ซึ่งแปลว่า “ชาวต่างประเทศ” (เพี้ยนมาจาก กุลา = แขก) คือกลายเป็นคนแปลกหน้า ชาวพม่าส่วนมากนิยมการบวชเป็นสามเณรมาก เกือบจะพูดได้ว่าผู้ชายชาวพม่าที่นับถือพระพุทธศาสนาทุกคนเคยบรรพชาเป็นสามเณรมาแล้วทั้งนั้น และก็มีไม่น้อยที่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ การบรรพชาอุปสมบทในพม่าถือเป็นประเพณีมากกว่าที่จะบวชแบบสละโลก หลังจากที่ได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทแล้วอาจลาสิกขาไปดำรงเพศเป็นฆราวาสเมื่อใดก็ได้
ชาวพุทธที่เคร่งครัดมากจะนิยมส่งบุตรหลานของตนไปอยู่ที่วัดชั่วระยะหนึ่ง บางทีก็นานบางทีก็ชั่วระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้เพราะชาวพม่าถือกันว่า การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้นั้น จะต้องมีชีวิตอยู่ในวัดชั่วระยะหนึ่ง มิฉะนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน พุทธศาสนิกชนชาวพม่า จึงมักจะสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ได้ทุกคนและจะสวดเสมอทั้งในเวลาเช้าและเย็น ชาวพม่านิยมสร้างพระเจดีย์มาก ไม่ว่าที่ใดถ้ามีเนินสูงๆ มักจะเห็นเจดีย์เสมอ ทุกๆ วัดจะมีโรงเรียน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาเช่นเดียวกันในประเทศไทย และมีพระภิกษุชาวพม่ามากมายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการศึกษาพระไตรปิฎกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิธรรมปิฎก
นอกจากนั้นพระพม่าก็ออกจะยุ่งและก้าวก่ายในทางการบ้านเมืองอยู่มากและ เสียงของพระเป็นเสียงที่ค่อนข้างดังมากสักหน่อย ทั้งเป็นอาจารย์คอยแนะนำ แก้ปัญหาทั้งที่เกี่ยวกับศาสนาและการบ้านการเมือง และบางกรณี การเกี่ยวข้องของพระก็ทำให้ยุติกรณีพิพาทต่างๆ ของชาวบ้าน ทำให้เกิดสันติสุขและประชาชนได้รับความยุติธรรมมากขึ้น การที่พระพม่ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากจะเห็นได้ชัดก็คือนับตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา จนถึงระหว่างสงครามโลกนั้น พระพม่าได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อเอกราชเป็นลำดับมา
พ. ศ. 2479 ตะขิ่น อองซาน (Aung San) และตะขิ่นนุ (Nu) ซึ่งเป็นผู้นำของนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักเรียนชั้นมัธยม ได้ร่วมกันต่อต้านระบบการศึกษาของต่างชาติ ความสำเร็จของพวกเขาก่อให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ตามมา พ. ศ. 2484 อองซาน ได้เลือกเอาสมาชิกตะขิ่นไว้ 30 คน อย่างลับๆ ภายหลังคือ “สหายสามสิบ” ให้ไปฝึกการรบแบบกองโจรจากญี่ปุ่น ในสมาชิกเหล่านี้รวมทั้งตะขิ่น เนวิน (Ne Win) รวมอยู่ด้วย
ในปี พ. ศ. 2486 ญี่ปุ่นต้องการที่จะเห็นรัฐบาลแห่งชาติของพม่า ซึ่งพวกตนให้การสนับสนุนนั้นมาอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพญี่ปุ่น จึงได้ประกาศ “ให้เอกราช” แก่พม่าในเดือนสิงหาคมของปีนั้น โดยมี ดร.บะม่อ (Ba Maw) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประมุขของรัฐบาลหุ่นคณะนี้
ตะขิ่นอองซานได้รับประกาศให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม
ตะขิ่นนุได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ทว่าพวกตะขิ่นไม่ค่อยพอใจการจัดการต่างๆ ของญี่ปุ่น อองซานจึงได้ติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างลับๆ
พ. ศ. 2488 อองซาน กลับทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นคาดไม่ถึง โดยได้ย้ายกองทัพจำนวน 10,000 คน ไปเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรในนาม “กองกำลังพม่าผู้รักชาติ” (Patriotic Burmese Forces) และได้ช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรตีเอาเมืองย่างกุ้งกลับคืนมาจากญี่ปุ่นได้ มีการลงนามยอมแพ้ของญี่ปุ่นที่เมืองหลวงของพม่า ในวันที่ 28 สิงหาคม 2488
หลังจากนั้น อองซาน ได้จัดตั้งองค์การมวลชนในรูปกองกำลังต่างๆ ไว้มากทั้งติดอาวุธและไม่ติดอาวุธ จนสามารถตั้งสภาองค์การมวลชนกอบกู้ประเทศได้ จวนจะได้เอกราชจากอังกฤษ วันที่ 19 กรกฎาคม พ. ศ. 2490 ก็ได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง พร้อมด้วยอาวุธ ได้เข้าไปกราดยิงนายพลอู อองซาน และรัฐมนตรีอีก 6 คน จนถึงแก่ความตายในขณะที่กำลังประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่พอใจต่อนโยบายที่จะให้อิสระแก่ชนกลุ่มน้อยนั่นเอง โดยอูซอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและถูกประหารชีวิตในท้ายที่สุด
หาก นายพลอู อองซาน ไม่ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตไปเสียก่อน คงจะพัฒนาการเมืองการปกครองของพม่าให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็อาจเป็นได้
พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2491 โดยการนำของนายกรัฐมนตรี อูนุ และในปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลพม่าได้ออกกฎหมายรับรองพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติ และยังได้ออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งรับรองว่า จะให้ความคุ้มครองและให้ความอุปถัมภ์แก่ทุกๆ ศาสนาซึ่งมีอยู่ในพม่า อันได้แก่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู
โครงสร้างการเมืองการปกครองของพม่า (Politics Structure) ปัจจุบันพม่าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารพม่า จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar และเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ. ศ. 2540 พม่าเปลี่ยนชื่อ “สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบวินัยแห่งรัฐ” (สภาสลอร์ก) เป็น “สภาสันติภาพและการพัฒนารัฐ” (เอสพีดีซี) ปัจจุบันมี พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย เป็นประธานสหภาพแห่งรัฐ มีรัฐบาล โดยคณะทหารยึดอำนาจปกครอง พลโทโซ วิน เป็นนายกรัฐมนตรี เมืองหลวงปัจจุบัน เนปีดอ
จะเห็นได้ว่าการเมืองในพม่า มีปัญหาอุปสรรคมากมายขัดแย้งกันเอง ทั้งนี้เพราะชนเผ่าในพม่ามีความแตกต่างหลากหลายนั่นเอง ตกลงกันไม่ได้ รัฐพม่าเองก็กดขี่ เอาเปรียบชนเผ่าอื่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยปัจจัยดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้กองทัพพม่าเข้ามามีบทบาทในการปกครองบ้านเมือง เพราะความไม่ไว้วางใจในการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างตะวันตก ที่จะยอมให้ฝ่ายพลเรือนมีอำนาจทางการเมือง
ครั้งหนึ่งได้ทราบเรื่องราวต่างๆ จากนักศึกษาพม่าจำนวนหนึ่งที่หลบหนีลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเมืองไทยโดยมี UN รับรอง ว่ารัฐบาลทหารนั้นมีความโหดเหี้ยม ทรมานผู้ต้องหาทางการเมืองในห้องขังอย่างโหดเหี้ยมในทุกรูปแบบเกินที่จะกล่าวได้
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในอีกมุมหนึ่ง เนื่องจาก (1) ประเทศไทยเองก็ยังมีการปกครองแบบเผด็จการทหารสลับเผด็จการรัฐระบบรัฐสภาโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ กันมายาวนานร่วม 75 ปี นี่คือความจริงที่ไม่บิดเบือน (2) ประเทศไทยเป็นประเทศที่อ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง (3) ทั้งผู้ปกครองประชาชนอ่อนแอ ขาดที่พึ่ง สรณะ และปัญญาที่ถูกต้อง (4) รัฐบาลไทยตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นมือ เป็นเท้าให้มหาอำนาจ ตกเป็นแนวร่วมให้มหาอำนาจในการแทรกแซงกิจการภายในของพม่า ทำให้พม่าไม่พอใจไทยอย่างมาก อาจเป็นเหตุให้ยาเสพติด ยาบ้าทะลักเข้าไทย และการที่ชาวพม่าเข้ามาทำงานในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพื่อเข้ามาแทรกซึมในไทยหรือไม่ เหมือนๆ กับที่ญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยได้ส่งคนญี่ปุ่นมาทำทีเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทย พอได้จังหวะเวลาก็กลายเป็นนายทหาร และยึดประเทศไทยในที่สุดซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว
ลึกๆ แล้วเราเห็นใจประชาชนพม่า เราต่างก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนๆ กัน และใครๆ ก็ต้องคิดถึงความมั่นคงของประเทศตนเป็นที่ตั้ง ก็อยากเห็น ประเทศเมียนมาร์ ได้พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยธรรม ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า จึงนำเสนอแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติเมียนมาร์ เพื่อนบ้านของเรา ด้วยการปกครองแบบธรรมาธิปไตย โดยเสนอให้ประชาชนและนายทหารที่มีคุณธรรม มีปัญญาตามแนวทางศาสนาพุทธ ได้ร่วมกันเรียกร้อง (ระบอบ) หรือหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของกฎธรรมชาติ คือ คือความเป็นใหญ่แห่งธรรม หมายถึง (1) สภาพที่ทรงไว้ (2) สภาวะที่ไม่ตาย (3) สภาวะสันติถาวร (4) แก่นธรรม (5) ต้นเหตุ (6) หลักเอกภาพ (7) สัจธรรม (8) ความจริงแท้ (9) ความยุติธรรม (10) หลักการ (11) คุณธรรม (12) ความถูกต้อง (13) ความประพฤติชอบ (14) สัมมาทิฐิ (15) พระธรรม (16) คำสั่งสอนของพระศาสดาที่ปรากฏขึ้น ฯลฯ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมาธิปไตย หมายถึง (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น (2) สักการธรรม (3) ทำความเคารพธรรม (4) นับถือธรรม (5) บูชาธรรม (6) ยำเกรงธรรม (7) มีธรรมเป็นธงชัย (8) มีธรรมเป็นยอด (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรม หรือบรมธรรม, ธรรมาธิปไตย เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง) จึงได้ประยุกต์สภาวธรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เข้ากับลักษณะพิเศษของเมียนมาร์ กล่าวโดยย่อคือ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องโดยธรรม ตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายกุศล ฝ่ายพัฒนา ได้แก่
(1) หลักธรรมาธิปไตย (2) ประมุขสหภาพแห่งรัฐ จะเป็นปัจจัยให้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (3) อำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นปัจจัยให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ (4) เสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยให้มีความเสมอภาคทางโอกาส (5) ความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นปัจจัยให้มีภราดรภาพ (6) ความมีภราดรภาพ จะเป็นปัจจัยให้มีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคี (7) ความมีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม จะเป็นปัจจัยให้มีดุลยภาพ (8) ความมีดุลยภาพ จะเป็นปัจจัยให้มีหลักนิติธรรม (9) หลักนิติธรรม หลักทั้ง 9 นี้ จะเป็นเหตุปัจจัยโดยธรรมให้การยกร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ เป็นธรรมต่อประชาชนเมียนมาร์ หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยต่อการเมืองการปกครองมีความมั่นคงยั่งยืนสืบไป และถ้าเป็นไปได้ ก็เชื่อได้ว่าจะเป็นเหตุให้ปวงชนชาวเมียนมาร์ พ้นจากขุมนรก จะเป็นทั้งชัยชนะและเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ ขอให้ผู้มีใจเป็นธรรม รักสันติทั้งหลาย สถานทูตเมียนมาร์ในไทย และสหประชาชาติ ได้พิจารณาด้วยเถิด
ย้อนกลับไปดูความเป็นมาของพม่า หลังจากอังกฤษได้ยึดเอาประเทศพม่าเป็นประเทศราชแล้วกิจการพระพุทธศาสนาก็เป็นไปตามยถากรรม คือไม่ได้รับความอุปถัมภ์อย่างสมัยที่พม่าเป็นเอกราช มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก นับว่ายังเป็นความโชคดีอยู่ที่พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในชีวิตจิตใจของชาวพม่ามาช้าแล้ว จนกระทั่งคำว่า “พม่า” กับ “พุทธศาสนิกชน” เกือบจะเป็นคำเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงดำรงมั่นมาได้ ทั้งนี้ก็โดยความร่วมแรงร่วมใจระหว่างพระสงฆ์กับประชาชนชาวพม่านั่นเอง แม้ว่าจะมีความบกพร่องบ้าง แต่ถ้าพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมแล้วก็น่าเห็นใจมากอยู่
พระพุทธศาสนามีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของชาวพม่ามาก แทบจะแยกกันไม่ออกทีเดียว ชาวพม่าคนใดถือศาสนาอื่นจากพระพุทธศาสนา เขาเรียกกันว่า “กะละ” (Kala) ซึ่งแปลว่า “ชาวต่างประเทศ” (เพี้ยนมาจาก กุลา = แขก) คือกลายเป็นคนแปลกหน้า ชาวพม่าส่วนมากนิยมการบวชเป็นสามเณรมาก เกือบจะพูดได้ว่าผู้ชายชาวพม่าที่นับถือพระพุทธศาสนาทุกคนเคยบรรพชาเป็นสามเณรมาแล้วทั้งนั้น และก็มีไม่น้อยที่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ การบรรพชาอุปสมบทในพม่าถือเป็นประเพณีมากกว่าที่จะบวชแบบสละโลก หลังจากที่ได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทแล้วอาจลาสิกขาไปดำรงเพศเป็นฆราวาสเมื่อใดก็ได้
ชาวพุทธที่เคร่งครัดมากจะนิยมส่งบุตรหลานของตนไปอยู่ที่วัดชั่วระยะหนึ่ง บางทีก็นานบางทีก็ชั่วระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้เพราะชาวพม่าถือกันว่า การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้นั้น จะต้องมีชีวิตอยู่ในวัดชั่วระยะหนึ่ง มิฉะนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน พุทธศาสนิกชนชาวพม่า จึงมักจะสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ได้ทุกคนและจะสวดเสมอทั้งในเวลาเช้าและเย็น ชาวพม่านิยมสร้างพระเจดีย์มาก ไม่ว่าที่ใดถ้ามีเนินสูงๆ มักจะเห็นเจดีย์เสมอ ทุกๆ วัดจะมีโรงเรียน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาเช่นเดียวกันในประเทศไทย และมีพระภิกษุชาวพม่ามากมายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการศึกษาพระไตรปิฎกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิธรรมปิฎก
นอกจากนั้นพระพม่าก็ออกจะยุ่งและก้าวก่ายในทางการบ้านเมืองอยู่มากและ เสียงของพระเป็นเสียงที่ค่อนข้างดังมากสักหน่อย ทั้งเป็นอาจารย์คอยแนะนำ แก้ปัญหาทั้งที่เกี่ยวกับศาสนาและการบ้านการเมือง และบางกรณี การเกี่ยวข้องของพระก็ทำให้ยุติกรณีพิพาทต่างๆ ของชาวบ้าน ทำให้เกิดสันติสุขและประชาชนได้รับความยุติธรรมมากขึ้น การที่พระพม่ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากจะเห็นได้ชัดก็คือนับตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา จนถึงระหว่างสงครามโลกนั้น พระพม่าได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อเอกราชเป็นลำดับมา
พ. ศ. 2479 ตะขิ่น อองซาน (Aung San) และตะขิ่นนุ (Nu) ซึ่งเป็นผู้นำของนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักเรียนชั้นมัธยม ได้ร่วมกันต่อต้านระบบการศึกษาของต่างชาติ ความสำเร็จของพวกเขาก่อให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ตามมา พ. ศ. 2484 อองซาน ได้เลือกเอาสมาชิกตะขิ่นไว้ 30 คน อย่างลับๆ ภายหลังคือ “สหายสามสิบ” ให้ไปฝึกการรบแบบกองโจรจากญี่ปุ่น ในสมาชิกเหล่านี้รวมทั้งตะขิ่น เนวิน (Ne Win) รวมอยู่ด้วย
ในปี พ. ศ. 2486 ญี่ปุ่นต้องการที่จะเห็นรัฐบาลแห่งชาติของพม่า ซึ่งพวกตนให้การสนับสนุนนั้นมาอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพญี่ปุ่น จึงได้ประกาศ “ให้เอกราช” แก่พม่าในเดือนสิงหาคมของปีนั้น โดยมี ดร.บะม่อ (Ba Maw) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประมุขของรัฐบาลหุ่นคณะนี้
ตะขิ่นอองซานได้รับประกาศให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม
ตะขิ่นนุได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ทว่าพวกตะขิ่นไม่ค่อยพอใจการจัดการต่างๆ ของญี่ปุ่น อองซานจึงได้ติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างลับๆ
พ. ศ. 2488 อองซาน กลับทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นคาดไม่ถึง โดยได้ย้ายกองทัพจำนวน 10,000 คน ไปเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรในนาม “กองกำลังพม่าผู้รักชาติ” (Patriotic Burmese Forces) และได้ช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรตีเอาเมืองย่างกุ้งกลับคืนมาจากญี่ปุ่นได้ มีการลงนามยอมแพ้ของญี่ปุ่นที่เมืองหลวงของพม่า ในวันที่ 28 สิงหาคม 2488
หลังจากนั้น อองซาน ได้จัดตั้งองค์การมวลชนในรูปกองกำลังต่างๆ ไว้มากทั้งติดอาวุธและไม่ติดอาวุธ จนสามารถตั้งสภาองค์การมวลชนกอบกู้ประเทศได้ จวนจะได้เอกราชจากอังกฤษ วันที่ 19 กรกฎาคม พ. ศ. 2490 ก็ได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง พร้อมด้วยอาวุธ ได้เข้าไปกราดยิงนายพลอู อองซาน และรัฐมนตรีอีก 6 คน จนถึงแก่ความตายในขณะที่กำลังประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่พอใจต่อนโยบายที่จะให้อิสระแก่ชนกลุ่มน้อยนั่นเอง โดยอูซอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและถูกประหารชีวิตในท้ายที่สุด
หาก นายพลอู อองซาน ไม่ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตไปเสียก่อน คงจะพัฒนาการเมืองการปกครองของพม่าให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็อาจเป็นได้
พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2491 โดยการนำของนายกรัฐมนตรี อูนุ และในปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลพม่าได้ออกกฎหมายรับรองพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติ และยังได้ออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งรับรองว่า จะให้ความคุ้มครองและให้ความอุปถัมภ์แก่ทุกๆ ศาสนาซึ่งมีอยู่ในพม่า อันได้แก่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู
โครงสร้างการเมืองการปกครองของพม่า (Politics Structure) ปัจจุบันพม่าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารพม่า จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar และเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ. ศ. 2540 พม่าเปลี่ยนชื่อ “สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบวินัยแห่งรัฐ” (สภาสลอร์ก) เป็น “สภาสันติภาพและการพัฒนารัฐ” (เอสพีดีซี) ปัจจุบันมี พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย เป็นประธานสหภาพแห่งรัฐ มีรัฐบาล โดยคณะทหารยึดอำนาจปกครอง พลโทโซ วิน เป็นนายกรัฐมนตรี เมืองหลวงปัจจุบัน เนปีดอ
จะเห็นได้ว่าการเมืองในพม่า มีปัญหาอุปสรรคมากมายขัดแย้งกันเอง ทั้งนี้เพราะชนเผ่าในพม่ามีความแตกต่างหลากหลายนั่นเอง ตกลงกันไม่ได้ รัฐพม่าเองก็กดขี่ เอาเปรียบชนเผ่าอื่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยปัจจัยดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้กองทัพพม่าเข้ามามีบทบาทในการปกครองบ้านเมือง เพราะความไม่ไว้วางใจในการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างตะวันตก ที่จะยอมให้ฝ่ายพลเรือนมีอำนาจทางการเมือง
ครั้งหนึ่งได้ทราบเรื่องราวต่างๆ จากนักศึกษาพม่าจำนวนหนึ่งที่หลบหนีลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเมืองไทยโดยมี UN รับรอง ว่ารัฐบาลทหารนั้นมีความโหดเหี้ยม ทรมานผู้ต้องหาทางการเมืองในห้องขังอย่างโหดเหี้ยมในทุกรูปแบบเกินที่จะกล่าวได้
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในอีกมุมหนึ่ง เนื่องจาก (1) ประเทศไทยเองก็ยังมีการปกครองแบบเผด็จการทหารสลับเผด็จการรัฐระบบรัฐสภาโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ กันมายาวนานร่วม 75 ปี นี่คือความจริงที่ไม่บิดเบือน (2) ประเทศไทยเป็นประเทศที่อ่อนแอและไม่เป็นตัวของตัวเอง (3) ทั้งผู้ปกครองประชาชนอ่อนแอ ขาดที่พึ่ง สรณะ และปัญญาที่ถูกต้อง (4) รัฐบาลไทยตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นมือ เป็นเท้าให้มหาอำนาจ ตกเป็นแนวร่วมให้มหาอำนาจในการแทรกแซงกิจการภายในของพม่า ทำให้พม่าไม่พอใจไทยอย่างมาก อาจเป็นเหตุให้ยาเสพติด ยาบ้าทะลักเข้าไทย และการที่ชาวพม่าเข้ามาทำงานในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพื่อเข้ามาแทรกซึมในไทยหรือไม่ เหมือนๆ กับที่ญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยได้ส่งคนญี่ปุ่นมาทำทีเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทย พอได้จังหวะเวลาก็กลายเป็นนายทหาร และยึดประเทศไทยในที่สุดซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว
ลึกๆ แล้วเราเห็นใจประชาชนพม่า เราต่างก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนๆ กัน และใครๆ ก็ต้องคิดถึงความมั่นคงของประเทศตนเป็นที่ตั้ง ก็อยากเห็น ประเทศเมียนมาร์ ได้พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยธรรม ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า จึงนำเสนอแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติเมียนมาร์ เพื่อนบ้านของเรา ด้วยการปกครองแบบธรรมาธิปไตย โดยเสนอให้ประชาชนและนายทหารที่มีคุณธรรม มีปัญญาตามแนวทางศาสนาพุทธ ได้ร่วมกันเรียกร้อง (ระบอบ) หรือหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของกฎธรรมชาติ คือ คือความเป็นใหญ่แห่งธรรม หมายถึง (1) สภาพที่ทรงไว้ (2) สภาวะที่ไม่ตาย (3) สภาวะสันติถาวร (4) แก่นธรรม (5) ต้นเหตุ (6) หลักเอกภาพ (7) สัจธรรม (8) ความจริงแท้ (9) ความยุติธรรม (10) หลักการ (11) คุณธรรม (12) ความถูกต้อง (13) ความประพฤติชอบ (14) สัมมาทิฐิ (15) พระธรรม (16) คำสั่งสอนของพระศาสดาที่ปรากฏขึ้น ฯลฯ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมาธิปไตย หมายถึง (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น (2) สักการธรรม (3) ทำความเคารพธรรม (4) นับถือธรรม (5) บูชาธรรม (6) ยำเกรงธรรม (7) มีธรรมเป็นธงชัย (8) มีธรรมเป็นยอด (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรม หรือบรมธรรม, ธรรมาธิปไตย เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง) จึงได้ประยุกต์สภาวธรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เข้ากับลักษณะพิเศษของเมียนมาร์ กล่าวโดยย่อคือ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องโดยธรรม ตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายกุศล ฝ่ายพัฒนา ได้แก่
(1) หลักธรรมาธิปไตย (2) ประมุขสหภาพแห่งรัฐ จะเป็นปัจจัยให้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (3) อำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นปัจจัยให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ (4) เสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยให้มีความเสมอภาคทางโอกาส (5) ความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นปัจจัยให้มีภราดรภาพ (6) ความมีภราดรภาพ จะเป็นปัจจัยให้มีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคี (7) ความมีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม จะเป็นปัจจัยให้มีดุลยภาพ (8) ความมีดุลยภาพ จะเป็นปัจจัยให้มีหลักนิติธรรม (9) หลักนิติธรรม หลักทั้ง 9 นี้ จะเป็นเหตุปัจจัยโดยธรรมให้การยกร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ เป็นธรรมต่อประชาชนเมียนมาร์ หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยต่อการเมืองการปกครองมีความมั่นคงยั่งยืนสืบไป และถ้าเป็นไปได้ ก็เชื่อได้ว่าจะเป็นเหตุให้ปวงชนชาวเมียนมาร์ พ้นจากขุมนรก จะเป็นทั้งชัยชนะและเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ ขอให้ผู้มีใจเป็นธรรม รักสันติทั้งหลาย สถานทูตเมียนมาร์ในไทย และสหประชาชาติ ได้พิจารณาด้วยเถิด